« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มกราคม 19, 2025, 07:14:05 am »
0
.
อนติมานี : ไม่ดูหมิ่นผู้อื่นกิริยาที่อ่อนโยนหรือวาจาที่อ่อนหวานเป็นเครื่องหมายที่บ่งให้รู้ถึงสภาพจิตใจที่ราบเรียบสงบ ลองเทียบดูว่า เวลาโกรธจิตใจก็ไม่อยู่ในสภาพที่ราบเรียบ อาการทางกายทางวาจาก็จะผิดปกติไป หยาบขึ้น ถ้าจิตใจราบเรียบ ก็จะอ่อนโยนอ่อนหวาน คือ ไม่มีกิเลสประเภทดูหมิ่น ดูถูก ดูแคลนผู้อื่น
ในเรื่องอริยวังสะ ปฏิปทา ปฏิปทาของผู้ที่เดินตามอริยวงศ์ มี ๔ ข้อ คือ
๑. สันโดษด้วยอาหาร ถ้าเป็นพระก็คืออาหารบิณฑบาต ถ้าเป็นฆราวาสก็คืออาหารทั่วไป
๒. สันโดษในจีวร หรือเสื้อผ้า
๓. สันโดษในที่อยู่อาศัย หรือเสนาสนะ
๔. ยินดีในภาวนา
ตอนสุดท้าย ท่านจะบอกไว้ทุกข้อว่า แม้จะเป็นผู้สันโดษอย่างนี้ มีคุณสมบัติอย่างนี้ เมื่อไม่ได้ก็ไม่ได้เดือดร้อน เมื่อได้ก็ไม่หมกมุ่น ไม่ติดอยู่ในปัจจัยที่ได้นั้น และไม่ดูหมิ่นผู้อื่น ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะคุณธรรมอันนั้น เนวตฺตานุกฺกํเสติ โน ปรํ วมฺเภติ - ไม่ยกตนข่มผู้อื่น
พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนภิกษุบางรูปที่ออกไปบิณฑบาต แล้วก็ได้บิณฑบาตเต็มบาตร ยังได้รับนิมนต์วันรุ่งขึ้นอีก กลับมาวัดก็มาดูหมิ่นภิกษุที่มีลาภน้อย มีอาหารน้อย ไม่เหมือนตัว
พระพุทธเจ้าก็เปรียบว่า เหมือนแมลงกุดจี่ขี้ ที่มันกินอุจจาระจนเต็มท้อง แล้วปั้นเป็นก้อนกลมๆ หอบติดหน้าท้องไว้อีก ไปไหนก็หอบไปด้วย พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแสดงเพื่อไม่ให้ภิกษุหรือใครก็ตาม ที่จะยกตนข่มขู่หรือดูหมิ่นผู้อื่น เป็นข้อหนึ่งในสันตบท หรือธรรมที่เป็นไปเพื่อสันตบท เพื่อจะไม่ดูหมิ่นผู้อื่น แม้ในคุณสมบัติที่ตนมี ไม่ต้องพูดถึงไม่มีคุณสมบัติ
@@@@@@@
มีสุภาษิตที่เรามักจะได้ยินกันอยู่เสมอว่า "คนที่เห็นคนเป็นคนนั่นแหละ..คน คนที่เห็นคนไม่เป็นคน..ใช่คนไม่" ก็คือว่า เมื่อเราเป็นคนเหมือนกัน ถ้าไม่เห็นคนอื่นเป็นคน ก็ไม่ใช่คนด้วย คือ ไปด่าลูกน้องว่าไอ้ควายอย่างนี้นะครับ คนที่ปกครองควายจะเป็นใคร ก็ต้องเป็นควายด้วยบางคนก็ดูหมิ่นผู้อื่น เพราะเห็นว่าเขามีการศึกษาน้อยกว่า มียศน้อยกว่า มีตำแหน่งฐานะน้อยกว่า ยากจนกว่า หรือว่าความสวยงามทางร่างกายน้อยกว่า มีชาติตระกูลที่ต่ำกว่า เป็นต้น ก็ดูหมิ่นเขาด้วยเหตุเหล่านี้
อติมานี คือ ยกตนข่มผู้อื่น
อนติมานี คือ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น
ที่จริงคนที่เขามีการศึกษาน้อยกว่าเรา เป็นเพราะเขามีโอกาสน้อยกว่าก็ได้ แต่มันสมองและความเฉลียวฉลาด บางทีก็ไม่ได้ด้อยกว่าคนที่ดูถูกเขาหรอก ลองดูมันสมองชนบท เด็กบ้านนอกนี่น่าดูนะครับ แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียน พอได้เรียนก็เฉลียวฉลาดเยอะ ที่เป็นผู้ใหญ่บริหารคณะสงฆ์อยู่เวลานี้ ก็คนชนบททั้งนั้น แม้แต่ข้าราชการผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน คนกรุงเทพฯมีน้อย เพราะฉะนั้น ไม่ควรจะดูถูกกัน ด้วยเหตุที่เขามีการศึกษาน้อยกว่า
พระพุทธเจ้าบางทีท่านนั่งเอาจีวรคลุมพระเศียรอยู่ใต้ต้นไม้ มีคนเข้าไปถามพระองค์ว่า ตระกูลอะไร ชาติอะไร
พระพุทธเจ้าตรัสว่า...
มา ชาติ ปุจฺฉ จรณญฺจ ปุจฺฉ - อย่าถามเรื่องชาติตระกูลเลย
จรณญฺจ ปุจฺฉ - ถามเรื่องความประพฤติดีกว่า
ที่จริงท่านก็ไม่ได้มีปมด้อยเรื่องชาติตระกูล บอกว่าไฟที่เกิดจากเชื้อต่างๆ แม้จะเกิดจากไม้บ้าง แกลบบ้าง อื่นๆ บ้าง มันก็ล้วนแต่เป็นไฟ หุงข้าวสุกเหมือนกัน สำเร็จประโยชน์ที่ใช้ไฟได้ มันต่างกันที่เชื้อเท่านั้น
@@@@@@@
อาจารย์ทองขาวเล่าว่า “มีเรื่องเล่ากันมาในสมัยรัชกาลที่๖ ตอนท่านเรียนที่อังกฤษ ก็ได้ทราบว่าท่านเป็นคนสนุกสนานกับนักเรียนไทย แต่ต่อมาเมื่อท่านได้รับสถาปนาเป็นสยาม-มกุฎราชกุมาร ท่านก็ไม่ค่อยเล่นแล้ว ท่านก็ชักถือตัว ผู้ที่ดูแลก็กราบทูลมาถึงรัชกาลที่ ๕ ว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชมีความประพฤติเปลี่ยนแปลงไป ต่อมารัชกาลที่ ๕ ก็ได้เขียนโคลงบอกว่า
ฝูงชนกําเนิดคล้าย คลึงกัน
ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ แผกบ้าง
ความรู้อาจเรียนทัน กันหมด
ยกแต่ชั่วดีกระด้าง อ่อนแก้ ฤาไหว
เป็นบทพระราชนิพนธ์ที่ทรงเตือนให้ระลึกถึงว่าอย่าถือเนื้อถือตัว ตอนนั้นรัชกาลที่ ๕ ทรงเสด็จไปประเทศอังกฤษ และเป็นวันทรงคล้ายวันประสูติของเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ทรงเอาไดอารี่มาบอกว่า พระบิดาเขียนพระโคลงให้ในวันนั้น ทรงทราบอยู่แล้วว่ามีผู้ไปฟ้อง หลังจากนั้นมา พระองค์ก็เปลี่ยนนิสัยกลับไปอย่างเดิมเป็นผู้ที่สม่ำเสมอกับทุกคน จนต่อมาได้ครองราชย์ เล่นละครแล้วท่านก็ไม่ได้เป็นตัวพระ แต่เป็นตัวเสนา”
เรียกว่า เตือนครั้งเดียว ได้ผลไปตลอด นี่เรียกว่า ม้าดีนะครับ ม้าอาชาไนย บางคนก็ดูหมิ่นเขาว่ามียศน้อยกว่า ถ้าเขาคิดได้ว่าที่เขามียศน้อยกว่าเพราะว่าเขาทำงานทีหลัง ถ้าเริ่มพร้อมๆ กัน เขาอาจจะมากกว่าก็ได้ หรือถ้าเขาเริ่มมาก่อน อาจจะมีตำแหน่งที่สูงกว่าก็ได้ บางคนแยกตัวไป ไม่ยอมกินข้าวกับใคร พวกนี้มีอหังการสูง แก้ไขลำบาก นอกจากไปโดนอะไรแรงๆ เข้า จึงจะย้อนกลับมาได้
ในสมัยพุทธกาล นายฉันนะก็อติมานะแรง ว่าเป็นผู้ใกล้ชิดพระพุทธเจ้า ออกบวชก็ตามเสด็จ ใครสั่งสอนอะไรก็ไม่ฟัง นี่คือ อติมานี เหมือนกัน
@@@@@@@
บางคนก็ไปดูหมิ่นคนอื่นในเรื่องตำแหน่งฐานะน้อยกว่า ถ้านึกว่าสาขางานที่เขาชำนาญ มันมีเพียงแค่นั้น เขาก็น้อยกว่าเป็นธรรมดา บางคนนี่คติวิบัติ คือ เขาอยู่ในที่ที่ตำแหน่งมันมีแค่นั้นแล้ว เขาขึ้นไปมากกว่านั้นไม่ได้ ต้องนึกถึงเรื่องนี้ด้วย ว่าเอ๊ะ ทำไมคนนี้จึงฐานะต่ำต้อย บางทีที่เขามีอยู่แค่นั้น อย่างเป็นฆราวาส ถึงจะเก่งแค่ไหนก็ไม่ได้เป็นสังฆราช แม้แต่เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะตำบลก็ไม่ได้เป็น ในทางกลับกัน พระเก่งเท่าไหร่ ก็เป็นพันเอกไม่ได้ มันมีข้อจำกัดอยู่
เพราะฉะนั้น คนที่เขาคิดเป็น เขาก็จะคิดอย่างนี้ ก็ไม่ดูถูกใคร อย่างเวลาปรับคณะรัฐมนตรี ถ้าถูกปรับออกก็จะทุรนทุรายกัน ที่จริงถ้าเผื่อเขาคิดได้ทั้งสองด้านก็จะไม่มีปัญหาอะไร คือทุกอย่างที่เขาเป็นอยู่มันมีทั้งคุณทั้งโทษ ถ้าส่วนที่เป็นคุณมันหายไป ส่วนที่เป็นโทษก็หายไปด้วย มันก็เท่านั้น
วันก่อนมีการวิจารณ์เรื่องสมัครผู้ว่าฯ บอกว่าเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วอยู่ๆ มาสมัครเป็นผู้ว่าฯ มันไม่เอาไหน อย่างนี้ก็มี การที่ใหญ่แล้วมาเล็กก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา คือ ต้องใหญ่เป็นเล็กเป็น แฟบเป็นพองเป็น มันถึงจะอยู่ได้ เรือเวลาน้ำขึ้นก็ขึ้นไป ตามน้ำ เวลาน้ำลงก็ลงไปตามน้ำ ถ้าเผื่อน้ำขึ้นแล้วมันไม่ขึ้นก็จม ถ้าเผื่อน้ำลงแล้วไม่ลง ก็ค้างเติ่งอยู่ที่ไหนไม่รู้ มันอยู่ไม่ได้ ต้องใหญ่เป็นเล็กเป็น อยู่ที่ไหนก็อยู่ได้ โอ้ อย่างนี้เราเคยเป็นมาแล้ว
พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ในสังยุตตนิกาย
“ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอเห็นคหบดีมั่งคั่งสมบูรณ์ เห็นพระราชามหากษัตริย์ เห็นใครต่อใคร ขอให้คิดว่าอย่างนี้ เราก็เคยเป็นมาแล้ว ในสังสารวัฏที่ยาวนานนี้ ถ้าไปเห็นคนยากจนเข็ญใจ คนทุพพลภาพ กำพร้ายากจน ก็ให้นึกอย่างนี้ เราก็เคยเป็นมาแล้ว โดยที่สุดแม้จะไปเห็นสุนัขขี้เรื้อน อย่างนี้เราก็เคยเป็นมาแล้ว”
มันเพื่อนเก่าเราทั้งนั้น ข้างบนข้างต่ำเราเคยเป็นมาแล้ว ก็เลยไม่ริษยา และก็ไม่ดูหมิ่นดูถูกใคร
อาจารย์ทองขาวเล่าว่า
“ได้ทราบว่า สมเด็จพระพุทธาจารย์โตท่านเดินไปผ่านเจอสุนัขนอนขวางทาง ท่านบอกว่า พ่อเจ้าประคุณเอ๊ยขอลูกผ่านไปหน่อยเถอะ คนก็ว่า เอ้า ทำไมไปทำอย่างนั้นล่ะ ท่านก็บอกว่า “ไม่แน่หมาตัวนี้อาจจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ได้”
นี่ก็แสดงว่า ท่านก็ไม่มีอติมานะ
มีอยู่คราวหนึ่ง ที่วัดของท่าน ตอนเย็นๆ ก็จะเตะตะกร้อชาวบ้านไปฟ้องท่านก็เฉย มาวันหนึ่ง ท่านเข้าวังได้จีวรผ้าไหมมา ตอนเย็นท่านก็เอาผ้าไตรใส่พานไปไว้กลางวงตะกร้อเลย แล้วกราบ บอกว่าโอ๊ยพ่อเจ้าประคุณเอ๊ย เตะตะกร้อสวยเหลือเกิน ลูกไม่มีอะไรจะให้รางวัล ขอถวายไตร ตั้งแต่นั้นพระเลิกเตะตะกร้อเลย”
นี่คือ เอาชนะด้วยอุบาย
บางคนก็ดูถูกคนยากคนจน เห็นคนจนก็เหยียดหยาม ถ้าคนที่คิดเป็น เขาก็จะคิดว่าเขาอาจมีดี มีความพยายามเหนือเราก็ได้ แต่เนื่องจากเขาทำงานทีหลัง หรือไม่มีมรดกจากบรรพบุรุษก็ได้ ฉะนั้นเขาก็ยังยากจนอยู่ คิดได้อย่างนี้ก็ไม่ดูถูกคนจน ยิ่งรวยนี่คนจนเป็นฐานให้เขา ได้อาศัยแรงงานคนจนเป็นฐานให้ทำอะไรต่ออะไรได้ ถ้าคนรวยเท่าเขาหมดแล้ว จะไปจ้างใคร
ถ้าคิดเป็น จะมองอะไรได้เห็นชัด ปัญหาอยู่ตรงที่คิดไม่ออกเพราะกิเลสตัวนี้มันปิดหูปิดตาหมด บางคนเกิดมาสวย ก็หลงตัวเองแล้วดูหมิ่นคนขี้เหร่ แต่ถ้าเขาคิดเป็น เขาต้องคิดว่าเออ คนขี้เหร่ดี มันทำให้เราดูสวยยิ่งขึ้น และเขาก็อาจมีคุณสมบัติอื่นๆ เหนือเราก็ได้
มันอยู่ที่ความคิดเป็น ถ้าคิดเป็นแล้ว กิเลสตัวนี้จะลดลงได้ง่าย เพราะในสังคมเราต้องมีคนทุกจำพวก คนกวาดถนน คนขนขยะ ทำอะไรทุกอย่าง คนขับรถเมล์ คนขับแท็กซี่ คนเป็นนายกฯ ต้องหลากหลายแล้วแต่ว่าใครจะไปอยู่ตรงไหน เท่านั้นเอง
แต่ว่าทุกคนก็ทำหน้าที่ให้สังคมนี้อยู่ได้ ต่างคนต่างก็ทำหน้าที่ ถ้าเขาทำหน้าที่ได้ดีที่สุด อันนั้นแหละ คือ เกียรติของเขา
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า จึงสรุปเอาไว้ว่า
คนจะดีหรือเลวเพราะชาติตระกูลก็หามิได้ คนจะดีหรือเลวก็เพราะการกระทำของตน
น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ กมฺมุนาวสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ
ชาติตระกูลก็เหมือนกัน บางคนก็เกิดในตระกูลต่ำ แต่ว่าเขาเป็นบุคคลอาชาไนยได้ เหมือนไฟที่เกิดจากเชื้อที่กล่าวมาแล้ว ฉะนั้นการคิดเป็น และการไม่ดูหมิ่นผู้อื่น จึงสำคัญ
@@@@@@@
ในสมัยพุทธกาล พระอุบาลีก็เป็นช่างตัดผม ท่านราธะก็เป็นคนยากจน พระยสะก็เป็นลูกเศรษฐี แต่เข้ามาบวชแล้วก็กลมกลืนกัน ท่านไม่มีความรังเกียจกันว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้นเข้ามาบวชแล้วละลายพฤติกรรมหมด ท่านเข้าถึงหัวใจของพุทธศาสนา ว่าพระพุทธเจ้าเองก็ต้องการปกครองสงฆ์ให้เป็นแบบอย่างของสังคม เป็นสังคมตัวอย่าง จึงไม่ให้มีวรรณะ เหลือแต่ความเป็นสมณศากยบุตรในฐานะที่เป็นมนุษย์
เกียรติของมนุษย์เป็นสิ่งที่สูงสุด ซึ่งใครจะเหยียดหยามไม่ได้ อย่างคนที่ไม่มีอะไรเลย ขี้เมาหยำเปโดยคุณธรรมแล้วเขาไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าลองไปขับรถชนเขาสิ กฎหมายเอาเรื่อง ในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหนือเชื้อชาติ เหนือสิ่งอื่นใดก็มีความเป็นมนุษย์ ต้องให้เกียรติในฐานะที่เขาเป็นมนุษย์ ถึงเขาจะเป็นอะไรไม่เป็นอะไร แต่ศักดิ์ศรีที่เขามีอยู่ ก็คือความเป็นมนุษย์
ปัจจุบันมีคำว่า สิทธิมนุษยชน ทุกคนมีสิทธิ์เสมอเหมือนกันหมด แต่ทางพุทธเรากว้างกว่านั้นอีก คือ เวลาแผ่เมตตา จิตจะแผ่กว้างออกไปถึงสัตว์โลกทุกชนิด บอกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราแผ่ออกไปจนถึงสัตว์ทุกชนิดทุกจำพวก ไม่ควรจะเบียดเบียนกัน ให้อยู่เป็นสุข
ในกรณียเมตตสูตร มีอยู่ตอนหนึ่งที่พูดเอาไว้ดีที่ว่า
น ปโร ปรํ นิกุพฺเพถ นาติ มญฺเญถ กตฺถจิ นํ กิญฺจิ
คนอื่นไม่ควรจะข่มเหงคนอื่นในที่ใดๆ เลย
พฺยาโรสนา ปฏิฆสญฺญา นาญฺญมสฺส ทุกฺขมิจฺเฉยย
ไม่ควรปรารถนาทุกข์แก่ผู้อื่น เพราะความโกรธ ความเคียดแค้นชิงชัง
ฉะนั้น เราควรจะสวดเมตตสูตรกัน จะทำให้เรามองเห็นคนอื่นมีคุณค่าเหมือนกันหมด เราใช้คำว่าสัตว์ทั้งหลาย คือ ทั้งหมดใน ๓๑ ภูมิ ตัวเองรักสุขเกลียดทุกข์อย่างไร คนอื่นก็อย่างนั้น ก็ไม่ควรจะไปรังเกียจรังแกทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่ดูหมิ่นซึ่งกันและกัน ให้เกียรติตามฐานะของเขา เช่น มีคนใช้อยู่ในบ้าน ก็ให้เกียรติตามฐานะของเขา ไม่ใช่จะไปยกมือไหว้เขา แต่ว่าเราให้เกียรติที่เขาเป็นเช่นนั้น
@@@@@@@
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่าให้ “ให้ทานโดยเคารพ” แม้แต่ให้กับสัตว์เดรัจฉาน ก็ให้ด้วยความตั้งอกตั้งใจ ด้วยความเอื้ออาทร ด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตา ไม่ใช่ต้องไปเคารพสุนัขอะไรทำนองนั้น ให้โดยเคารพ คือว่ามีจิตใจอ่อนโยน เอื้ออาทรต่อมัน ให้โดยเคารพ คือ ให้ด้วยเมตตา เอื้ออาทรว่า เพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน
มีนายทหารหญิงคนหนึ่ง ตอนเช้าหุงข้าวใส่ถุงมาเต็มเลยขับรถมาเผื่อจะเจอสุนัขที่ไหนบ้าง ถ้าเจอก็จอดเอาข้าวไปให้กินแสดงว่าใจดี ใจถึง ทำได้ยาก นานๆ จะมีสักคน
นโปเลียนเป็นคนที่ให้เกียรติเพื่อนมนุษย์มากเลย ท่านอาจจะมาจากระดับต่ำ ท่านเข้าใจมนุษย์ดีพอสมควร ท่านจะให้เกียรติคนที่ทำงานหนัก พวกกรรมกร เป็นต้น ไปเยี่ยมโรงงาน ก่อนจะกลับ ท่านจะโค้งให้คนงานเป็นการอำลา หรือแม้เวลาเดินอยู่ในวัง ถ้ามีคนแบกของหนักผ่านมา ท่านก็หลีกทางให้ มีคนบอกว่าหลีกให้เขาทำไม เขาเป็นคนงาน ท่านบอกไม่ได้ เขาทำงานหนัก คนทำงานหนักเป็นคนมีเกียรติเสมอ
หลวงพ่อปัญญานันทะ ท่านเดินทางไปใต้ ท่านนั่งรอรถไฟอยู่ คนงานที่กวาดทำความสะอาดอยู่ที่สถานีรถไฟ บ่นบอกว่า พวกนี้มาทำให้สกปรก ทิ้งข้าวทิ้งของเต็มไปหมด น่าเบื่อหน่ายหลวงพ่อก็ถามว่า โยม เขาจ้างโยมมาทำอะไร เขาตอบว่า มาทำความสะอาด หลวงพ่อก็บอกว่า แล้วถ้าพวกนี้เขาไม่มาทำสกปรกไว้ เขาจะจ้างโยมมาทำงานไหม
นี่ท่านจี้จุดดี สมัยที่ไปพม่ากับท่านโลกนาถ ไปขอพักที่วัดพระไทยด้วยกันไม่ให้พัก เลยไปพักที่วัดพระจีน พระจีนต้อนรับดี ที่หลับที่นอนดี ตื่นเช้ามาเลี้ยงข้าวต้มดี พอจะลากลับ ท่านยกมือไหว้ เพื่อนพระด้วยกันบอก อ้าว ไหว้ได้ยังไง เขาเป็นพระจีนท่านบอกว่า ไม่ได้ไหว้พระจีน ไหว้คุณธรรมของท่าน พระไทยไม่ให้พักเลย อย่าว่าแต่จะเลี้ยงข้าวต้ม ท่านปัญญาท่านมีคำพูดที่คมๆ เวลามีอะไรเกิดขึ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 19, 2025, 07:33:24 am โดย raponsan »

บันทึกการเข้า

ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ