.
การกั้นจิต : ภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนาภิกษุ ๕๐๐ รูป ในกรุงสาวัตถีเรียนกัมมัฏฐานตราบเท่าพระอรหัตในสํานักพระศาสดา แล้วคิดว่า เราจักทําสมณธรรม ภิกษุเหล่านั้นจึงเดินทางไปประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ได้ถึงตําบลใหญ่ตําบลหนึ่ง พวกชาวบ้านเห็นภิกษุเหล่านั้น จึงนิมนต์ให้นั่งบนอาสนะที่จัดไว้ อังคาสด้วยภัตตาหารทั้งหลาย มีข้าวยาคู เป็นต้น อันประณีต
แล้วเรียนถามว่า
“พวกท่านจะไปทางไหน ขอรับ”
ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า
“พวกเราจักไปสถานที่ที่ผาสุก”
ชาวบ้านจึงวิงวอนว่า
“นิมนต์พวกท่านอยู่ในที่นี้ตลอด ๓ เดือนนี้เถิด ขอรับ แม้พวกกระผมก็จักตั้งอยู่ในสรณะ รักษาศีล ในสํานักของพวกท่าน”
เมื่อพวกภิกษุรับนิมนต์แล้ว จึงเรียนว่า
“ในที่ไม่ไกลมีไพรสณฑ์ใหญ่มาก นิมนต์พวกท่านพักอยู่ที่ไพรสณฑ์นั้น เถิด ขอรับ”
ดังนี้แล้ว ส่งไปภิกษุเหล่านั้นเข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้นแล้ว
พวกเทวดาผู้สิงอยู่ในไพรสณฑ์ คิดว่า
“พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายมีศีล ถึงไพรสณฑ์นี้โดยลําดับแล้ว ก็เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายพํานักอยู่ในที่นี้ การที่พวกเราพาบุตรและภาดาขึ้นต้นไม้ไม่ควรเลย”
จึงนั่งลงบนพื้นดิน คิดว่า
“พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายอยู่ที่นี่คืนเดียว พรุ่งนี้จักไปเป็นแน่”
ในวันรุ่งขึ้น ฝ่ายพวกภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้าน แล้วก็กลับมายังไพรสณฑ์นั้นนั่นแล พวกเทวดาคิดว่า
“ใครๆ คงนิมนต์ภิกษุสงฆ์ไว้ฉันพรุ่งนี้ เพราะฉะนั้นจึงกลับมา วันนี้ไม่ไป พรุ่งนี้เห็น จักไปแน่”
แล้วก็พากันพักอยู่ที่พื้นดินประมาณครึ่งเดือน โดยอุบายนี้
แต่นั้นมา พวกเทวดาคิดว่า
“ท่านผู้เจริญทั้งหลายเห็นจักอยู่ในที่นี้ ตลอด ๓ เดือน ก็เมื่อท่านทั้งหลายอยู่ในที่นี้ พวกเราขึ้นนั่งบนต้นไม้ก็ไม่ควร ครั้นจะให้พวกบุตรและภาดานั่งบนพื้นดินตลอด ๓ เดือน ก็เป็นทุกข์ของพวกเรา พวกเราต้องทําอะไรๆ ให้ภิกษุเหล่านี้หนีไป จึงจะควร”
@@@@@@@
เทวดาเหล่านั้นเริ่มแสดงร่างผีหัวขาด และให้ได้ยินเสียงอมนุษย์ ในที่พักกลางคืน ที่พักกลางวัน และในที่จงกรมนั้นๆ โรคทั้งหลายมีจาม ไอ เป็นต้น เกิดแก่พวกภิกษุ
ภิกษุเหล่านั้นถามกันและกันว่า
“ผู้มีอายุ โรคอะไรเสียดแทงคุณ โรคอะไรเสียดแทงคุณ”
ภิกษุต่างกล่าวว่า
“โรคจามเสียดแทงผม โรคไอเสียดแทงผม”
ดังนี้แล้ว กล่าวว่า
“ผู้มีอายุ วันนี้ผมได้เห็นร่างผีหัวขาดในที่จงกรม ผมได้เห็นร่างผีใน ที่พักกลางคืน ผมได้ยินเสียงอมนุษย์ในที่พักกลางวัน ที่นี่เป็นที่ควรเว้นอยู่ที่นี่ ความไม่ผาสุกมีแก่พวกเรา พวกเราจักไปที่สํานักของพระศาสดา”
ภิกษุเหล่านั้นออกไปสู่สํานักของพระศาสดาโดยลําดับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง
ล่าดับนั้น พระศาสดาตรัสกะภิกษุเหล่านั้นว่า
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่อาจอยู่ในที่นั้นหรือ”
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า
“อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า อารมณ์อันน่ากลัว ปรากฏแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายผู้พํานักอยู่ในที่นั้น เพราะเหตุนั้น จึงมีความไม่ผาสุก ด้วยเหตุนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงคิดว่า ที่นั่นเป็นที่ควรเว้น แล้วทิ้งที่นั้นมาสู่สํานักของพระองค์”
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไปในที่นั้นนั่นแลสมควร”
“ไม่อาจ พระพุทธเจ้าข้า”
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่เอาอาวุธไป บัดนี้ พวกเธอจงเอาอาวุธไปเถิด”
“ถือเอาอาวุธชนิดไหนไปหรือ พระพุทธเจ้าข้า”
“เราจักให้อาวุธแก่พวกเธอ พวกเธอจงถือเอาอาวุธที่เราให้ไป”
ดังนี้แล้ว ตรัสเมตตสูตรทั้งสิ้นว่า
เมตตสูตร
“กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ ปรารถนาเพื่อจะตรัสรู้สันตบท พึงบําเพ็ญ ไตรสิกขา กุลบุตรนั้นพึงเป็นผู้อาจหาญ เป็นผู้ตรง ซื่อตรง ว่าง่าย อ่อนโยน ไม่เย่อหยิ่ง สันโดษ เลี้ยงง่าย มีกิจน้อย มีความประพฤติเบา มีอินทรีย์ อันสงบแล้ว มีปัญญาเครื่องรักษาตน ไม่คะนอง ไม่พัวพันในสกุลทั้งหลาย และไม่พึงประพฤติทุจริตเล็กน้อยอะไรๆ ซึ่งเป็นเหตุให้ท่านผู้รู้เหล่าอื่น ติเตียนได้ พึงเจริญเมตตาในสัตว์ทั้งหลายว่า
ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นผู้มีสุข มีความเกษม มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์มีชีวิตเหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ เป็นผู้สะดุ้งหรือเป็นผู้มั่นคง ไม่มีส่วนเหลือ สัตว์เหล่าใดมีกายยาวหรือใหญ่ ปานกลางหรือสั้น ผอมหรือพี ที่เราเห็นแล้ว หรือไม่ได้เห็น อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ ที่เกิดแล้วหรือแสวงหาที่เกิด
ขอสัตว์ทั้งหมดนั้น จงเป็นผู้มีตนถึงความสุขเถิด สัตว์อื่นไม่พึงข่มขู่สัตว์อื่น ไม่พึงดูหมิ่นอะไรเขาในที่ไหนๆ ไม่พึงปรารถนาทุกข์ให้แก่กันและกัน เพราะความโกรธ เพราะความเคียดแค้น
มารดาถนอมบุตรคนเดียวผู้เกิดในตน แม้ด้วยการยอมสละชีวิตได้ ฉันใด กุลบุตรผู้ฉลาดในประโยชน์ จึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณ ในสัตว์ทั้งปวง แม้ฉันนั้น
กุลบุตรนั้นพึงเจริญเมตตามีในใจไม่มีประมาณไปในโลกทั้งสิ้น ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ํา เบื้องขวาง ไม่คับแคบ ไม่มีเวร ไม่มีศัตรู
กุลบุตรผู้เจริญเมตตานั้น ยืนอยู่ก็ดี เดินอยู่ก็ดี นั่งอยู่ก็ดี นอนอยู่ก็ดี พึงเป็นผู้ปราศจากความง่วงเหงาเพียงใด ก็พึงตั้งสตินี้ไว้เพียงนั้น
บัณฑิตทั้งหลายกล่าววิหารธรรมนี้ว่า เป็นพรหมวิหารในธรรมวินัยของพระอริยเจ้า
และกุลบุตรผู้เจริญเมตตา ไม่เข้าไปอาศัยทิฐิ เป็นผู้มีศีล ถึงพร้อมแล้ว ด้วยทัศนะ นําความยินดีในกามทั้งหลายออกได้แล้ว ย่อมไม่ถึงความนอนในครรภ์อีก โดยแท้แล”
@@@@@@@
ดังนี้แล้ว ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงสาธยายเมตตสูตรนี้ตั้งแต่ไพรสณฑ์ ภายนอกวิหาร เข้าไปสู่ภายในวิหาร”
ภิกษุเหล่านั้นถวายบังคมพระศาสดา ออกเดินทางไปถึงไพรสณฑ์นั้น โดยลําดับ พากันสาธยายเมตตสูตรเป็นหมู่ ภายนอกวิหาร เข้าไปสู่ไพรสณฑ์ พวกเทวดาในไพรสณฑ์ทั้งหมดกลับได้เมตตาจิต ทําการต้อนรับภิกษุเหล่านั้น ถามโดยเอื้อเฟื้อ ถึงการรับบาตร จีวร การนวดเป็นกาย ทําการอารักขาให้อย่างเรียบร้อยแก่พวกภิกษุในที่นั้น ได้เป็นผู้นั่งสงบดังพนมจักร ขึ้นชื่อว่าเสียงแห่งอมนุษย์ มิได้มีแล้วในที่ไหนๆ
จิตของภิกษุเหล่านั้นมีอารมณ์เป็นหนึ่ง พวกเธอนั่งในที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ยังจิตให้หยั่งลงในวิปัสสนา เริ่มตั้งความสิ้นความเสื่อมในตน คิดว่า
“ขึ้นชื่อว่า อัตภาพนี้เช่นกับภาชนะดิน เพราะอรรถว่าต้องแตก ไม่มั่นคง” ดังนี้แล้ว เจริญวิปัสสนา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเอง ทรงทราบว่า ภิกษุเหล่านั้นเริ่มวิปัสสนาแล้ว จึงทรงเรียก ภิกษุเหล่านั้น ตรัสว่า
“อย่างนั้นนั่นแล ภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่า อัตภาพนี้ย่อมเป็นเช่นกับด้วยภาชนะดินโดยแท้ เพราะอรรถว่าต้องแตก ไม่มั่นคง”
ดังนี้แล้ว ทรงฉายพระโอภาสไป แม้ประทับอยู่ในที่ ๑๐๐ โยชน์ ก็เป็นประหนึ่งประทับนั่งในที่เฉพาะหน้าของภิกษุเหล่านั้น ทรงฉายพระฉัพพรรณรังสี มีพระรูปปรากฏอยู่ ตรัสพระคาถานี้ว่า
“รู้จักกายนี้อันเปรียบด้วยหม้อ กั้นจิตอันเปรียบด้วยนคร พึงรบมารด้วยอาวุธคือปัญญา พึงรักษาความชนะที่ชนะแล้ว และพึงเป็นผู้ไม่ติดอยู่”
ในเวลาจบเทศนา ภิกษุ ๕๐๐ รูป บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลายในที่นั่งเทียว แล้วสรรเสริญ ชมเชย ทั้งถวายบังคมพระสรีระ อันมีวรรณะเพียงดังทองของพระตถาคต ดังนี้แล
ขอบคุณที่มา : อรหันตธรรมบท ชุดที่ ๑
https://uttayarndham.org/publications/อรหันตธรรมบท-๑ อ้างอิง :-
เรื่องภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนา อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท จิตตวรรคที่ ๓
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=13&p=6