ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: “ปิดทองหลังพระ” : หากไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้  (อ่าน 9 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29554
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.

ขอบคุณภาพจาก https://www.motorexpo.co.th/special/2236&refer=origina


“ปิดทองหลังพระ”

หลังจากเห็นชื่อเรื่องในคอลัมน์ Easy living เล่มนี้ ขาประจำ@Rama ทุกท่านคงคุ้นชินกับสุภาษิตไทยคำนี้



 :25: :25: :25:

“ปิดทองหลังพระ” สุภาษิตนี้อาจโดนใจใครหลายคน หลังจากผ่านพ้นเดือนที่มีวันหยุดยาวกันตั้งแต่เทศกาลวันสงกรานต์ วันฉัตรมงคล จนถึงวันวิสาขบูชาหลายคนในตอนนี้ก็คงมีงานกองเต็มหน้าตัก ความท้อแท้ เหนื่อยหน่าย กำลังเข้ามาครอบงำ บวกกับความคาดหวัง ความกดดัน เสียงตำหนิติติงจากเจ้านาย อาจทำให้คนทำงานอย่างเราๆ คิดถอดใจขึ้นมาได้

   “งานก็หนัก เหนื่อยก็เหนื่อย ทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
     หรือ “ทำดีแทบตาย สุดท้ายก็โดนว่า”
     คำพูดเหล่านี้อาจผ่านเข้ามาในหัวสมอง ในช่วงที่กำลังเครียดๆ

แบบนี้ วันนี้ @Rama จึงขอหยิบยกเรื่องราวที่ได้ผ่านทาง Content ต่างๆ ซึ่งส่วนตัวผู้เขียนเองรู้สึกประทับใจและมีกำลังใจทุกครั้งที่ได้หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาอ่าน เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งใน “บันทึกความทรงจำของ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร” (สำนักพิมพ์มติชน) อดีตนายตำรวจราชสำนักประจำและยังเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ท่านเขียนถึงเหตุการณ์ที่ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ไว้อย่างน่าประทับใจว่า

@@@@@@@

“ในคืนวันหนึ่งของปีพ.ศ.2510 หลังจากได้รับพระราชทานเลี้ยง อาหารค่ำ ในวังไกลกังวลแล้ว ผมจำได้ว่า คืนนั้นผู้ที่โชคดีได้เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานพระจิตรลดา เป็นนายตำรวจ 8 นาย และนายทหารเรือ 1 นาย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จลงมาพร้อมด้วยกล่องใส่พระเครื่องในพระหัตถ์ ทรงอยู่ในฉลองพระองค์ชุดลำลอง ขณะที่ทรงวางพระเครื่องลงบนฝ่ามือที่ผมแบออกรับอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่าองค์พระเครื่องร้อนเหมือนเพิ่งออกจากเตา

ซึ่งต่อมาได้มีโอกาสกราบบังคมทูลถามพระองค์ท่านจึงได้ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงสร้างพระเครื่ององค์นั้นด้วยการนำเอาวัตถุมงคลหลายชนิดผสมกัน ทั้งดินจากปูชนียสถานต่างๆ ทั่วประเทศ ดอกไม้ที่ประชาชนทูลเกล้าถวายในโอกาสต่างๆ และเส้นพระเจ้า(เส้นผม)ของพระองค์เอง เมื่อผสมกันโดยใช้กาวลาเท็กซ์เป็นตัวยึดแล้ว จึงทรงกดลงในพิมพ์ (อ.ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาเป็นศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แกะพิมพ์ถวาย) โดยไม่ได้เอาเข้าเตาเผา”

    “หลังจากที่ได้รับพระราชทานองค์พระเครื่องแล้ว ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาทความว่า พระที่ให้ไปน่ะ ก่อนจะเอาไปบูชา ให้ปิดทองเสียก่อน แต่ให้ปิดเฉพาะข้างหลังพระเท่านั้น
     พระราชทานพระบรมราชาธิบายด้วยว่า ที่ให้ปิดทองหลังพระก็เพื่อเตือนตัวเองว่า การทำความดีไม่จำเป็นต้องอวดใคร หรือประกาศให้ใครรู้ ให้ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ และถือว่าความสำเร็จในการทำหน้าที่เป็นบำเหน็จรางวัลที่สมบูรณ์แล้ว
     ผมเอาพระเครื่องพระราชทานไปปิดทองที่หลังพระแล้วก็ซื้อกรอบใส่ หลังจากนั้นมา “สมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดิน” องค์นั้น ก็เป็นพระเครื่องเพียงองค์เดียวที่ห้อยคอผม..”



ขอบคุณภาพจาก https://www.motorexpo.co.th/special/2236&refer=origina


“หลังจากที่ไปเร่ร่อนปฏิบัติหน้าที่อยู่ไกลเบื้องพระยุคลบาท ผมได้มีโอกาสกลับไปเข้าเฝ้าฯ ที่วังไกลกังวลอีกครั้งความรู้สึกเมื่อได้เข้าเฝ้าฯ ซึ่งมีความปิติยินดีที่ได้เข้าเฝ้าฯ พระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็มีความน้อยใจในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ด้วยความลำบาก และเผชิญกับอันตรายนานาชนิดมาโดยตลอด บางครั้งจนแทบเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ปรากฏว่ากรมตำรวจมิได้ตอบแทนด้วยบำเหน็จใดๆ ทั้งสิ้น.....”

    “ก่อนเสด็จขึ้นในคืนนั้น ผมจึงก้มลงกราบบนโต๊ะเสวย แล้วกราบบังคมทูลว่า ใคร่ขอพระราชทานอะไรสักอย่างหนึ่ง...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตรัสถามว่า “จะเอาอะไร.?”
     
และผมก็กราบบังคมทูลอย่างกล้าหาญชาญชัยว่า จะขอพระบรมราชานุญาต ปิดทองบนหน้าพระ ที่ได้รับพระราชทานไป

พระเจ้าอยู่หัวตรัสถามเหตุผลที่ผมขอปิดทองหน้าพระ ผมกราบบังคมทูลอย่างตรงไปตรงมาว่า
   "พระสมเด็จจิตรลดาหรือพระกำลังแผ่นดินนั้น นับตั้งแต่ได้รับพระราชทานไปห้อยคอแล้ว ต้องทำงานหนักและเหนื่อยเป็นที่สุด เกือบได้รับอันตรายร้ายแรงก็หลายครั้ง มิหนำซ้ำกรมตำรวจยังไม่ให้เงินเดือนขึ้นแม้แต่บาทเดียวอีกด้วย..."

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแย้มพระสรวจ(ยิ้ม) ก่อนที่จะมีพระราชดำรัสตอบด้วยพระสุรเสียงที่ส่อพระเมตตาและพระกรุณาว่า
    “ปิดทองไปข้างหลังพระเรื่อยๆ แล้วทองจะล้นออกมาที่หน้าพระเอง...”

    @@@@@@@

   ”การปิดทองหลังพระ เป็นสิ่งที่หลายคนคงไม่ชอบ เพราะเป็นการทำดีแล้ว ไม่มีคนเห็นว่าเราได้ทำดี แต่หากไม่มีใครปิดทองหลังพระบ้าง ก็คงไม่มีพระที่งดงามบริบูรณ์ได้

    ทุกครั้งที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ทำงาน (เยอะๆ) จึงนึกถึงคำว่า “ปิดทองหลังพระ” อยู่เสมอเพื่อคอยเตือนสติบอกกับตัวเองว่า โอกาสที่ได้ทำงานตรงจุดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน สิ่งที่เราทำนั้นแม้จะไม่มีใครเห็น ไม่มีคำสรรเสริญ แต่ทุกครั้งที่ทำงาน ให้ทำาด้วยใจรัก ความสุขจะเกิดขึ้นเอง การทำดีไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้ เพราะหนึ่งคนที่รู้แน่ๆ คือตัวเราเอง

    ดังนั้นทุกครั้งที่ทำดี และเห็นสิ่งที่ได้ทำมีประโยชน์กับใครอีกหลายๆคนในสังคมต่างหาก ที่ทำให้หัวใจพองโตขึ้น ต้องมีผู้ที่ทำงานปิดทองหลังพระอยู่ในสังคมบ้าง มันจึงจะทำให้การทำงานสมบูรณ์ครบถ้วน หากครั้งหนึ่งโอกาสมาถึงให้คุณได้ปิดทอง


@@@@@@@

เหตุใดท่านจึงต้องคอยปิดทองแต่เพียงด้านเดียว.??

    “การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้วคนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้”

     พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 25 กรกฎาคม 2506



__________________________________________
ที่มา : คอลัมน์ Easy living  นิตยสารวาไรตี้เพื่อสุขภาพ @Rama
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันนี้ เวลา 08:48:32 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ