ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธเจ้าไม่รับคำด่า...ด้วยวิธีใด  (อ่าน 2437 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28595
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
พระพุทธเจ้าไม่รับคำด่า...ด้วยวิธีใด
« เมื่อ: มีนาคม 23, 2011, 01:38:45 pm »
0
ว่าด้วยพระพุทธเจ้าไม่รับคำด่าของพราหมณ์


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗
สังยุตตนิกาย สคาถวรรค
อักโกสกสูตรที่ ๒

         
               [๖๓๑]     สมัยหนึ่ง     พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเวฬุวันอันเป็นที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต  กรุงราชคฤห์.

               อักโกสกภารทวาชพรหมณ์ได้สดับมาว่า  ได้ยินว่า  พราหมณภารทวาชโคตรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ในสำนักของพระสมณโคดมแล้ว  ดังนี้ ก็โกรธ  ขัดใจ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ  ครั้นแล้ว  ด่าบริภาษ พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยวาจาอันหยาบคาย  มิใช่ของสัตบุรุษ.

              [๖๓๒]   เมื่ออักโกสกภารทวาชพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว  พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ว่า
   
              ดูก่อนพราหมณ์ ท่านย่อมสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  มิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขก ของท่าน  ย่อมมาบ้างไหม.

          อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ตอบว่า  พระโคดมผู้เจริญ มิตรและอำมาตย์  ญาติสาโลหิต  ผู้เป็นแขกของข้าพระองค์ย่อมมาเป็นบางคราว.

          พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ท่านย่อมสำคัญความ ข้อนั้นเป็นไฉน  ท่านจัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มต้อนรับมิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างหรือไม่.

           อ.  พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์จัดของเคี้ยวของบริโภคหรือของ ดื่มต้อนรับมิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกเหล่านั้นบ้างในบางคราว.
                                                                                       
           พ. ดูก่อนพราหมณ์  ก็ถ้าว่ามิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับ  ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้นจะเป็นของใคร.

           อ.  พระโคดมผู้เจริญ ถ้าว่ามิตรและอำมาตย์ ญาติสาโลหิต ผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับ 
ของเคี้ยวของบริโภคหรือของดื่มนั้น ก็เป็นของข้าพระองค์อย่างเดิม


           พ.  ดูก่อนพราหมณ์ ข้อนี้ก็อย่างเดียวกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าอยู่ ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธอยู่   
ท่านหมายมั่นเราผู้ไม่หมายมั่นอยู่ เราไม่รับเรื่องมีการด่าเป็นต้นของท่านนั้


ดูก่อนพราหมณ์  เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้น ก็เป็นของท่านผู้เดียว 
ดูก่อนพราหมณ์   เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้น ก็เป็นของท่านผู้เดียว  แล้วตรัสต่อไปว่า
 
ดูก่อนพราหมณ์  ผู้ใดด่าตอบบุคคลผู้ด่าอยู่ โกรธตอบบุคคลผู้โกรธอยู่  หมายมั่นตอบบุคคลผู้หมายมั่นอยู่     
ดูก่อนพราหมณ์   ผู้นี้เรากล่าวว่า ย่อมบริโภคด้วยกัน  ย่อมการทำตอบกัน   
เรานั้นไม่บริโภคร่วม ไม่กระทำตอบด้วยท่านเป็นอันขาด 
 
ดูก่อนพราหมณ์   เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้น เป็นของท่านผู้เดียว   
ดูก่อนพราหมณ์   เรื่องมีการด่าเป็นต้นนั้น เป็นของท่านผู้เดียว.


           อ.  บริษัทพร้อมด้วยพระราชาย่อมทราบพระโคดมผู้เจริญ  อย่างนี้ว่าพระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์   ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ไฉนพระโคดมผู้เจริญจึงยังโกรธอยู่เล่า.
           

 [๖๓๓]  พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
           ผู้ไม่โกรธ  ฝึกฝนตนแล้ว  มีความเป็นอยู่สม่ำเสมอ หลุดพ้นแล้ว เพราะรู้ชอบสงบ คงที่อยู่   
ความโกรธจักมีมาแต่ที่ไหน
 
ผู้ใดโกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว  ผู้นั้นเป็นผู้ลามก กว่าบุคคลนั้นแหละ
เพราะการโกรธตอบนั้น  บุคคลไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธแล้ว
ชื่อว่า ย่อมชนะสงครามอันบุคคลชนะได้โดยยาก


ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้วเป็นผู้มีสติสงบเสียได้ ผู้นั้นชื่อว่าย่อมประพฤติประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย คือ แก่ตนและแก่บุคคลอื่น
         
เมื่อผู้นั้นรักษาประโยชน์อยู่ทั้งสองฝ่าย คือ  ของตนและของบุคคลอื่น 
ชนทั้งหลายผู้ไม่ฉลาดในธรรมย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า เป็นคนเขลา ดังนี้.

               [๖๓๔]   เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเจ้าอย่างนี้แล้ว    อักโกสกภารทาวชพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า 
           
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก         
พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศพระธรรมโดยปริยายเป็นอันมาก


เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำเปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง หรือ ส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า   
คนมีจักษุย่อมเห็นรูปฉฉะนั้น 

 
ข้าพระองค์นี้ขอ ถึงพระโคดมผู้เจริญ  พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ   
ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา  พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระโคดมผู้เจริญ.

          อักโกสกภารทวาชพราหมณ์ ได้บรรพชา ได้อุปสมบทแล้ว ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า   
ก็ท่านอักโกสกภารทวาชะอุปสมบทแล้วไม่นานแล  หลีกไปอยู่ผู้เดียว  ไม่ประมาท  มีความเพียร 
มีจิตมั่นคงอยู่ ไม่นานเท่าไรนัก ก็กระทำให้แจ้งซึ่งคุณวิเศษยอดเยี่ยม  เป็นที่สุดแห่งพรหมจรรย์   
ซึ่งกุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบมีความต้องการ 


ด้วยปัญญาเป็น เครื่องรู้ยิ่งเองในปัจจุบันนี้เข้าถึงอยู่ได้ทราบว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว 
กิจที่จะต้องทำได้ทำเสร็จแล้ว  กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีกแล้ว   
ท่านพระอักโกสกภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย   ดังนี้แล.

จบอักโกสกสูตร

ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=15&A=5185&w=%CD%D1%A1%E2%A1%CA%A1%CA%D9%B5%C3



อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พราหมณสังยุตต์ อรหันตวรรคที่ ๑
อักโกสกสูตรที่ ๒


               อรรถกถาอักโกสกสูตรที่ ๒              
               ในอักโกสกสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ : -

               บทว่า อกฺโกสกภารทฺวาโช ได้แก่ พราหมณ์นั้น ชื่อว่าภารทวาชะ.
               ก็พราหมณ์นั้นได้มาด่าพระตถาคตด้วยคาถาประมาณ ๕๐๐ เพราะเหตุนั้น พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงตั้งชื่อว่า อักโกสกภารทวาชะ.
               บทว่า กุปิโต อนตฺตมโน ความว่า โกรธและไม่พอใจด้วยเคืองว่า พระสมณโคดมให้พี่ชายของเราบวช ทำให้เสื่อมเสียให้แตกเป็นฝักฝ่าย.


               บทว่า อกฺโกสติ ความว่า ด่าด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ คือ เจ้าเป็นโจร เป็นคนโง่ เป็นคนหลง เป็นอูฐ เป็นโค เป็นลา เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์เดรัจฉาน เจ้าไม่มีสุคติ เจ้าหวังแต่ทุคติเท่านั้น.
               บทว่า ปริภาสติ ความว่า เมื่อกล่าวคำเป็นต้นว่า สมณะโล้น ข้อนั้นจงยกไว้ เจ้ายังทำว่า ข้าไม่มีโทษ บัดนี้ ข้าไปสู่ราชสกุลแล้วจะบอกเขาให้ลงอาชญาแก่เจ้า ดังนี้ ชื่อว่าบริภาษ.

               บทว่า สมฺภุญฺชติ ได้แก่ บริโภคร่วมกัน.
               บทว่า วีติหรติ ได้แก่ ทำคืนการที่ทำมาแล้ว.
               บทว่า ภวนฺตํ โข โคตมํ ถามว่า เพราะเหตุไร พราหมณ์จึงกล่าวอ
ย่างนี้.

               ตอบว่า เพราะพราหมณ์ได้ฟังคำของพระสมณโคดมนั้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ นั่นเป็นของท่านผู้เดียว ดูก่อนพราหมณ์ นั่นเป็นของท่านผู้เดียว โดยได้ฟังกันสืบๆ มาว่า ขึ้นชื่อว่าฤาษีทั้งหลายโกรธแล้ว ย่อมสาปให้เป็นเหมือนลูกโคผอมเป็นต้น จึงเกิดความกลัวแต่คำสาปว่า พระสมณโคดมเห็นทีจะสาปเราก็ได้ เพราะฉะนั้น พราหมณ์จึงได้กล่าวอย่างนี้.

               บทว่า ทนฺตสฺส ได้แก่ ผู้หมดพยศ.
               บทว่า ตาทิโน ได้แก่ ผู้ถึงลักษณะผู้คงที่.
               บทว่า ตสฺเสว เตน ปาปิโย ความว่า บุคคลนั้นแลเป็นผู้เลวกว่าบุคคลผู้โกรธนั้น.
               บทว่า สโต อุปสงฺกมติ ความว่า บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยสติย่อมอดกลั้นไว้ได้.
               บทว่า อุภินฺนํ ติกิจฺฉนฺตานํ ได้แก่ ผู้อดกลั้นทั้ง ๒ ฝ่า
ย.

               อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บุคคลใดมีสติเข้าไปสงบ ประพฤติประโยชน์อดกลั้นให้สำเร็จประโยชน์ทั้งสองฝ่าย. ชนทั้งหลายย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่าเป็นชนพาล ชนทั้งหลายเป็นเช่นไร คือเป็นผู้ไม่ฉลาดในธรรม.
               บทว่า ธมฺมสฺส ได้แก่ ธรรม คือเบญจขันธ์หรือสัจธรรม ๔.
               บทว่า อโกวิทา ได้แก่ ผู้ไม่ฉลาดในธรรม คือเป็นปุถุชนอันธพาล.

               จบอรรถกถาอักโกสกสูตรที่ ๒
             
ที่มา  http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=631
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 23, 2011, 01:50:43 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ