.
ภาพประกอบเนื้อหา - ภาพลายเส้นของนครธม วาดโดยชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 (ภาพจากหนังสือ Voyage d'exploration en Indo-Chine)ตำนานบรรพกษัตริย์เขมรเป็น “ตะกวด” ลิ้นสองแฉก เรื่องนี้มาจากไหน มีอะไรซ่อนอยู่เรื่องบรรพกษัตริย์เขมรเคยเป็นตะกวด มีการเล่าซ้ำกันหลายครั้ง และถูกโหมกระพือกลายเป็นกระแสสังคมอยู่บ่อย ๆ เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชากลับมาตึงเครียด จริงๆ แล้ว เรื่องดังกล่าวมีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่หรือไม่ ?
ต้นตอของเรื่องราวนี้อยู่ใน ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ของนักองค์นพรัตน์ ฉบับแปลไทยโดยหอพระสมุดวชิรญาณ เล่าถึงบรรพกษัตริย์ของเขมรว่าเป็นตะกวด หรือ ตรอกกวด ในภาษาเขมร
นิทานซึ่งแทรกอยู่ในพงศาวดารเขมรฉบับนี้เล่าว่า ในสมัยพุทธกาล มีตะกวดตัวหนึ่งได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้ากับเหล่านาคและเทวดาจนบรรลุธรรม จึงมีพุทธทำนายว่า ต่อไปตะกวดตัวนี้จะไปเกิดใหม่เป็นปฐมกษัตริย์กรุงกัมพูชา
พระพุทธเจ้าทรงกล่าวแก่พระอานนท์ ดังนี้ [ปรับย่อหน้าใหม่และเน้นคำเพิ่มเติมโดยกองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม]
“…ดูกรอานนท์เอ๋ย จำเดิมตั้งแต่นี้ต่อไปภายน่า เกาะโคกหมันนี้ แผ่นดินจะงอกขึ้นอีกใหญ่กว้าง แล้วจะเกิดเปนนครหนึ่ง
ซึ่งสัตว์ตะกวดมีจิตรเลื่อมใสศรัทธามากราบถวายบังคมต่อองค์พระตถาคต โดยอำนาจกุศลที่โสตประสาทได้ยินศัพทสำเนียงพระสัทธรรมเทศนาแห่งพระตถาคต ในเมื่อเวลาสำแดงให้พระยานาคแลฝูงเทวาได้สดับตรับฟังนั้น เมื่อสัตว์ตะกวดนี้สิ้นชีพแล้วจะได้ไปบังเกิดบนสวรรค์ แล้วจะได้จุติลงมาเป็นกระษัตริย์องค์หนึ่งครองกรุงอินทปรัตนคร
แลพระราชบุตรของกระษัตริย์องค์นั้น จะได้เสด็จมายังที่ตรงนี้ จึงพระยานาคที่ได้มาฟังพระธรรมเทศนานี้เองจะได้มาสร้างพระนคร เปนพระราชธานีใหญ่ ให้แก่พระราชบุตรของกระษัตริย์องค์นั้นประทับอยู่ แล้วขนานนามพระนครเรียกว่า กรุงกัมพูชาธิบดี ส่วนนานาประเทศจะเรียกว่าเขมระภาษา…”
ตอนท้ายของพุทธทำนายยังกล่าวด้วยว่า
“แลบรรดามนุษยชาติในพระราชธานีนี้ จะพูดจาสิ่งใด ๆ ไม่ค่อยยั่งยืนอยู่ในสัตยานุสัตย์ โดยบุรพกระษัตริย์ผู้ตั้งต้นแผ่นดิน มีชาติกำเนิดจากสัตว์ตะกวด อันมีลิ้นแฝดแตกแยกออกเป็น ๒ ซีก”
ลานหินสู่ประตูทางเข้าปราสาทนครวัด ภาพวาดลายเส้นโดยกิโอด์ จากรูปสเก๊ตช์ของมูโอต์แม้ “นิทาน” เรื่องนี้จะอยู่ในพงศาวดารกัมพูชา แต่ก็เป็นฉบับแปลจากภาษาเขมรเป็นภาษาไทยอีกที เนื้อหาบางส่วน (โดยเฉพาะส่วนท้ายสุดที่ยกมาอ้าง) จึงอาจถูกเพิ่มในภายหลัง เพราะคงประหลาดมากหากพงศาวดารกัมพูชาบรรยายอุปนิสัยของชนชาติตนเองว่าไม่ยึดมั่นในสัจวาจา
แล้วใครเป็นผู้แปล “ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา” ?
ในคำนำระบุชัดว่า ศาสตราจารย์ ยอช เซเดส์ (George Coedes) มอบต้นฉบับ “ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา” ฉบับภาษาเขมร ให้หอพระสมุดวชิรญาณเมื่อ พ.ศ. 2459 คณะทำงานหอพระสมุดฯ เห็นว่า “แปลกแลพิศดารกว่าที่เคยมีมาแต่ก่อน” จึงดำเนินการแปลเป็นภาษาไทยไว้
ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณแปลใหม่ (ภาพจาก เว็บไซต์หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)คนแปลพงศาวดารก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นผู้มีความรู้ดีทั้งภาษาไทยและภาษาเขมร นั่นคือ นายพันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์) บิดาของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีของไทยระหว่าง พ.ศ. 2500-2506 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดกรณีพิพาทเรื่อง “ปราสาทพระวิหาร” ระหว่างไทยกับกัมพูชา
เมื่อศาลโลกตัดสินความให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ข้อความในพงศาวดารเขมร (ที่แปลโดยบิดานายกฯ) จึงถูกหยิบมาเผยแพร่เป็นการใหญ่เพื่อสนองกระแสชาตินิยม และแสดงออกถึงความเกลียดชังที่มีต่อกัมพูชา โดยมี ศิลปชัย ชาญเฉลิม หรือ “นายหนหวย” คอยประชาสัมพันธ์ข้อมูลผ่านทางวิทยุกระจายเสียงและสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ในยุคนั้น
พุทธทำนายที่เผยว่าบรรพกษัตริย์เขมรเคยเป็นตะกวดจึงเป็นตัวอย่างของการยกนิทานหรือ “ตำนาน” ในประวัติศาสตร์มาเล่าซ้ำด้วยเจตนาที่เกินเลยไปจากการเสนอสิ่งที่หลักฐานบอก และเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์บาดแผลระหว่างชาติ ในห้วงเวลาที่ความเกลียดชังมีพลังเหนือเหตุและผล
อ่านเพิ่มเติม :-
• โจวต้ากวาน เผยกษัตริย์เจนละในดินแดนเขมรโบราณ “สมพาส” (ร่วมประเวณี) กับ “งู”
• “โจรสยาม VS เคลมโบเดีย” (ตอนที่ 2) ใคร – อะไร ทำให้ไทยกับเขมรเกลียดกันนัก ?
• ตำนาน “พระเจ้าแตงหวาน” ประวัติศาสตร์อันเลือนลางและวุ่นวายก่อนเมืองพระนครถูกทิ้งร้างขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 29 กรกฎาคม 2568
website :
https://www.silpa-mag.com/history/article_156238อ้างอิง : ราชพงษาวดารกรุงกัมพูชา ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณแปลใหม่. กรุงเทพฯ : โสภณพิพรรฒธนากร. อนุสรณ์เนื่องในงานศพ พระตำรวจตรี พระยากำแหงรณฤทธิ, พ.ศ. 2460.