ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลักธรรมคำสอนของพุทธไทย ไม่มีคำตอบให้แก่ "ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม"  (อ่าน 124 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 29447
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



พุทธไทยไม่มีคำตอบ.?

• พระพุทธศาสนา มีคำตอบให้แก่ "ปัจเจกบุคคล" ว่าจะก้าวพ้นความยากลำบากในชีวิต อย่างไร.?
• หลักธรรมคำสอนของพุทธไทย ไม่มีคำตอบให้แก่ "ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม"





 :25: :25:

ผมเขียนเรื่อง “มาตรฐานกลางของวัด” บอกว่า ถ้าคณะสงฆ์กำหนดมาตรฐานกลางของวัด-กล่าวคือวัดห้ามมีอะไร วัดควรมีหรือต้องมีอะไร ถ้ามีมาตรฐานกลางกำหนดไว้ วัดในคณะสงฆ์ไทยก็จะดำเนินไปในทิศทางที่เป็นมาตรฐาน ไม่ใช่ดำเนินไปแบบต่างวัดต่างไป ตามลักษณะนิสัยส่วนตัวของเจ้าอาวาส-อย่างที่กำลังเป็นอยู่

“ลักษณะนิสัยส่วนตัวของเจ้าอาวาส” เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมนุษย์ คือพอมีตำแหน่ง มีอำนาจ ก็อยากทำอะไร ๆ ตามที่ใจอยากทำ ทีนี้-ร้อยคนก็ร้อยอยาก  จึงไม่มีทางที่วัดต่าง ๆ จะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันได้

ตรงจุดนี้ทำให้คิดไปถึง-ความสำคัญของตัวบุคคล คือต้องยอมรับถึงธรรมชาติข้อนี้-ลักษณะนิสัยส่วนตัวของบุคคลเป็นเรื่องสำคัญ การศึกษา ฝึกฝน อบรม สั่งสอน เจาะลงไปถึงตัวบุคคลจึงเป็นเรื่องสำคัญ

พอคิดอย่างนี้ ก็นึกถึงแนวคิดของนักวิชาการท่านหนึ่ง-ซึ่งถ้าเอ่ยนามก็จะมีคนรู้จักเกินครึ่งค่อนประเทศ แต่เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งตัวบุคคล จึงไม่ขอเอ่ยนาม สนใจแต่สิ่งที่เขาคิด แต่ไม่ต้องไปสนใจว่าคนคิดเป็นใคร

แบบนี้ตรงกับที่ผมเคยอ่านเจอมานานแล้ว เข้าใจว่าเป็นวาทะของฝรั่ง เขาบอกว่า ถ้าความคิดนั้นดี ก็ไม่จำเป็นต้องถามว่าใครคิด

ข้อนี้จะตรงกันข้ามกับค่านิยมหรือธรรมชาติของสังคมไทย สังคมไทยเรา มีความคิดอะไรโผล่ขึ้นมา เราจะถามก่อนเลยว่า เป็นความคิดของใคร ใครเป็นคนคิด คิดเรื่องอะไรยังไม่ต้องพูด คือเราสนใจตัวคนคิดมากกว่าตัวความคิด

     ถ้าคนคิดเป็นคนสำคัญ หรือเป็นคนยิ่งใหญ่ หรืออาจให้คุณให้โทษแก่ส่วนรวมได้ ไม่ว่าความคิดนั้นจะ “ห่วยแตก” ขนาดไหน เราก็จะให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เช่น-รีบทำตาม
     แต่ถ้าคนคิดเป็นคนกระจอก ๆ เช่น-เป็นปู่แก่ ๆ คนหนึ่ง แม้ว่าความคิดนั้นจะดีเลิศประเสริฐศรีแค่ไหน เราก็จะไม่สนใจ
     เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ตัดตัวคนคิดออกไป สนใจเฉพาะสิ่งที่เขาคิด


@@@@@@@

นักวิชาการท่านหนึ่งซึ่งไม่ขอเอ่ยนามนั้น ท่านแสดงความเห็นไว้ดังนี้

... ว่ากันให้ถึงที่สุด โดยหลักการแล้ว พุทธไทยไม่มีคำตอบทางสังคมสักเรื่อง แม้ว่าวัดและศาสนิกได้ลงมือปฏิบัติการเพื่อแก้ปัญหาสังคมอยู่เหมือนกัน เช่น เลี้ยงเด็กกำพร้าที่พ่อ-แม่ตกเป็นเหยื่อของโรคเอดส์ หรือช่วยเด็กด้อยโอกาสให้ได้รับการศึกษา หรืออนุรักษ์ป่า ฯลฯ แต่โดยหลักธรรมคำสอนของพุทธไทย ไม่มีคำตอบให้แก่ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม มีแต่คำตอบให้แก่ปัจเจกบุคคลว่าจะก้าวพ้นความยากลำบากในชีวิตอย่างไร ...

สรุปสั้น ๆ ว่า นักวิชาการท่านนี้ท่านเห็นว่า พุทธไทยสอนไปที่ตัวบุคคล แต่ไม่มีคำสอนเรื่องโครงสร้างของสังคม คือวิธีจัดระเบียบสังคม วิธีบริหารจัดการสังคม วิธีปกครองสังคมให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขสันติ พุทธไทยไม่มีคำสอนเรื่องแบบนี้

ถ้าเป็นความจริงตามแนวคิดนี้-พุทธไทยสอนไปที่ตัวบุคคล การสอนไปที่ตัวบุคคลก็นับว่าถูกต้อง ตรงจุด ตรงประเด็น เพราะอะไร.? ก็เพราะลักษณะนิสัยส่วนตัวของบุคคลเป็นเรื่องสำคัญดังที่กล่าวข้างต้น

การศึกษา ฝึกฝน อบรม สั่งสอน เจาะลงไปถึงตัวบุคคลจึงเป็นเรื่องสำคัญ แก้ปัญหาตรงจุด ตรงประเด็น
สิ่งที่เรียกว่า “โครงสร้างของสังคม” ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาเองลอย ๆ หรือเทวดาที่ไหนเนรมิตขึ้น หากแต่ตัวบุคคลแต่ละคนนั่นเองเป็นผู้สร้างขึ้นมา

ถ้าตัวบุคคลได้รับการอบรมสั่งสอนให้มีคุณธรรม โครงสร้างของสังคมที่ตนสร้างขึ้นก็จะอำนวยประโยชน์ให้แก่สังคมได้จริง ถ้าตัวบุคคลเลว โครงสร้างของสังคมจะเลวตาม แต่ไม่ว่าโครงสร้างของสังคมจะเป็นอย่างไร ตัวตัดสินก็จะอยู่ที่ตัวบุคคลอยู่นั่นเอง

@@@@@@@

ขอให้ดูระบบหรือระบอบการปกครองที่มนุษย์กำหนดขึ้นและใช้กันอยู่-เช่นระบอบประชาธิปไตยที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเป็นระบอบที่ดี ถ้าตัวบุคคลที่เข้าไปขับเคลื่อนหรือมีบทบาทอยู่ในระบอบประชาธิปไตยเป็นคนไม่มีคุณธรรม เช่นมุ่งแต่จะกอบโกยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง แม้ระบอบหรือโครงสร้างจะดีปานใด ก็จะไม่อำนวยประโยชน์ให้แก่สังคมได้อย่างแท้จริง

ตรงข้ามกับระบอบเผด็จการที่เห็นว่ากันเป็นระบอบที่เลวร้าย แต่ถ้าตัวบุคคลที่ขับเคลื่อนหรือมีบทบาทอยู่ในระบอบนั้นเป็นคนมีคุณธรรม มุ่งทำประโยชน์สุขให้แก่ส่วนรวม สังคมก็ได้ประโยชน์ดีกว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีแต่นักการเมืองที่กอบโกยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องนั่นเสียด้วยซ้ำ ตัวบุคคลมีความสำคัญอย่างนี้

การมีคำสอนที่มุ่งฝึกฝน อบรม สั่งสอน เจาะลงไปถึงตัวบุคคล จึงเป็นคำสอนที่ตรงจุด ตรงประเด็น ไม่ว่าโครงสร้างของสังคมจะเป็นอย่างไร ขอให้ตัวบุคคลที่อยู่ในโครงสร้างนั้นมุ่งทำประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมเป็นที่ตั้งก็แล้วกัน

ดังนั้น การมีคำสอนที่มุ่งฝึกฝน อบรม สั่งสอน เจาะลงไปถึงตัวบุคคลจึงไม่ใช่เรื่องผิดหรือเป็นเรื่องไมดี ตรงกันข้าม เป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง

แต่เรื่องก็ไม่ควรจบอยู่แคนี้ เพราะความเห็นของนักวิชาการท่านนั้นยังได้บอกไว้ด้วยว่า ".......แต่โดยหลักธรรมคำสอนของพุทธไทย ไม่มีคำตอบให้แก่ปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคม......."





พูดตรง ๆ ว่า พุทธไทยไม่มีคำสอนเรื่องการบริหารจัดการโครงสร้างของสังคม พูดให้ชัดลงไป จะบริหารบ้านเมืองกันอย่างไร พุทธไทยไม่มีคำสอน พุทธไทยสอนแต่เรื่องส่วนตัว พุทธไทยไม่ได้สอนเรื่องส่วนรวม

ก่อนจะตอบประเด็นนี้ ควรหาคำจำกัดความให้ชัดก่อนว่า คำว่า “พุทธไทย” ผู้ใช้คำนี้มีเจตนาจะให้หมายถึงอะไร
ที่เรียกวา “พุทธไทย” นั้น คืออะไร.?

เมื่อใช้คำว่า “พุทธ” ควรหมายถึง พระพุทธศาสนา คือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า-หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา

ถ้าไปแยกเป็น “พุทธไทย” เดี๋ยวก็จะต้องมีพุทธลาว พุทธเขมร พุทธญวน พุทธจีน พุทธพม่า พุทธลังกา พุทธแขก พุทธฝรั่ง พุทธอะไรต่อมิอะไรให้เปรอะไป แล้วก็จะต้องไปหาคำจำกัดความกันอีกว่า แต่ละพุทธแตกต่างกันอย่างไร

พูดว่า “พระพุทธศาสนา” คำเดียวจบ คือหมายถึง หลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า-หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา หลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนามีว่าอย่างไรบ้าง ก็ไปดูที่คัมภีร์ประมวลคำสอน คือพระไตรปิฎก อรรถกถาฎีกาที่ตกลงยอมรับกันว่า-นี่คือแหล่งรวมหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา

คำสอนตัวบุคคลไม่ควรมีข้อสงสัย เพราะนักวิชาการท่านนั้นบอกไว้เองว่า พระพุทธศาสนามีคำตอบให้แก่ปัจเจกบุคคลว่าจะก้าวพ้นความยากลำบากในชีวิตอย่างไร

แต่ที่ควรสงสัยคือ คำสอนเรื่องโครงสร้างของสังคม คือวิธีจัดระเบียบสังคม วิธีบริหารจัดการสังคม วิธีปกครองสังคมให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขสันติ พระพุทธศาสนาไม่มีคำสอนว่าด้วยเรื่องเช่นนี้-กระนั้นหรือ.?

นี่คือ “ปรัปวาท” หรือ “การบ้าน” ที่นักวิชาการท่านนั้นทิ้งไว้ให้เราแก้

@@@@@@@

ผมขอเชิญชวน-ขอร้องผู้รักพระพุทธศาสนา-โดยเฉพาะนักเรียนบาลี ให้ช่วยกันทำการบ้านข้อนี้ ด้วยการตรวจสอบศึกษาค้นคว้าจากแหล่งรวมหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาเพื่อหาคำตอบว่า พระพุทธศาสนามีคำสอนว่าด้วยเรื่องโครงสร้างของสังคมตามความหมายที่ว่านั้น-หรือไม่มี

ถ้าไม่มี ไม่พบ เราก็จะได้ยืนยันว่า ความคิดเห็นของนักวิชาการท่านนั้นถูกต้องแล้ว ถ้ามี ถ้าพบ ก็ช่วยกันหยิบยกออกมาชี้ให้สังคมรับรู้ และช่วยกันยืนยันว่า ความคิดเห็นของนักวิชาการท่านนั้นไม่ถูกต้อง

เบาะแสแห่งหนึ่งที่น่าจะเป็นแหล่งรวมคำตอบก็คือ บรรดาวิทยานิพนธ์และงานวิจัยทั้งหลายที่มีผู้สร้างสรรค์ขึ้นไว้ในวงวิชาการ ปัญหาคือ อยากอ่านวิทยานิพนธ์และงานวิจัยว่าด้วยเรื่องอะไร ไปหาที่ตรงนี้ หรือใช้ระบบกลไกไฮเทค “คลิกตรงนี้” - มีใครปักป้ายบอกทางไว้บ้างหรือยัง ถ้ามีป้าย เอามาชี้ให้กันดู ถ้ายังไม่มีป้าย ช่วยกันทำขึ้น

ผมพูดเสมอว่า งานบาลี-งานพระพุทธศาสนามีให้ทำเยอะแยะไปหมด แต่เราขาดแคลนคนที่มีฉันทะอุตสาหะลงมือทำงาน เรามีนักเรียนบาลีจำนวนไม่น้อย  แต่เราไม่มี-และไมได้ปลูกฝังให้นักเรียนบาลีมีฉันทะอุตสาหะศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก เรามีผู้ส่งเสริมสนับสนุนให้เรียนบาลี แต่เราไม่มีผู้ส่งเสริมสนับสนุนให้ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก

ผมเข้าใจดีว่า การเชิญชวน-ขอร้องไปลอย ๆ แบบนี้ไม่มีผลอะไร คนที่เข้ามาอ่าน อ่านแล้วท่านก็ผ่านเลยไป ไม่มีใครเอาเป็นธุระ แต่ผมถือคติ-ลมพัดใบไม้ไหว ถ้าข้อเขียนนี้ทำให้หัวใครกระดุกกระดิกขึ้นมาได้-แม้วูบเดียวก็คุ้มเหนื่อยแล้ว


                 พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
                 ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
                 ๑๓ กันยายน ๒๕๖๘ , ๑๖:๕๔




ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : pinterest
ที่มา : เฟซบุ้ค ธรรมธารา ·16 ชั่วโมง
https://www.facebook.com/dhamtara/posts/pfbid0dDJzYBDkV5yEvNzwkpXftDW4torBU6GiTGM2cEgCng7BmFqkWPZz17vYGGLhPraJl?ref=embed_page
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ