ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำอย่างไร.? จึงจะดู "พระสมเด็จฯ" เป็น  (อ่าน 34 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29496
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ทำอย่างไร.? จึงจะดู "พระสมเด็จฯ" เป็น
« เมื่อ: ตุลาคม 30, 2025, 09:15:32 am »
0
.



ทำอย่างไร.? จึงจะดู "พระสมเด็จฯ" เป็น

การดูพระสมเด็จฯให้เป็นนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามสูงในการทำความเข้าใจเพื่อแยกแยะพระสมเด็จฯแท้ที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ออกจากพระสมเด็จฯกลุ่มอื่น ตรียัมปวาย ได้พูดถึงแนวทางพิจารณาพระสมเด็จฯทางทรรศนียะ ไว้ในหนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1 เน้นที่การพิจารณาพระสมเด็จฯพิมพ์ทรงมาตรฐาน 9 พิมพ์ทรงของวัดระฆังฯและวัดบางขุนพรหม เป็นหลัก โดยตัดเอาพระแบบพิมพ์พิเศษและเนื้อพิเศษออกไป

ตรียัมปวายได้จำแนกแนวทางการพิจารณาออกเป็น 3 ส่วนหลักๆคือ
    1. พิมพ์ทรง
    2. มวลสาร
    3. ลักษณะของปลอม
โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปความนำเสนอเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาดังต่อไปนี้

@@@@@@@

การพิจารณาพิมพ์ทรง

ตรียัมปวายบอกว่าการพิจารณาพิมพ์ทรงนั้น เป็นงานขั้นง่ายและแรกที่สุดสำหรับการศึกษาพิจารณา ผู้ศึกษาจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจและจดจำลักษณะต่างๆ ทางพิมพ์ทรงให้ได้แม่นยำก่อนเป็นปฐม เพื่อประโยชน์ในการคัดของปลอม และพระเครื่องฯสกุลสมเด็จฯของพระเกจิอาจารย์อื่นๆออกไปเสียก่อนในชั้นแรก เพื่อลดภาระการพิจารณาทางมวลสาร ซึ่งเป็นขั้นตอนถัดไปให้ได้มากที่สุด

ตรียัมปวายได้อธิบายเรื่องการพิจารณาพิมพ์ทรง โดยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน
    ขั้นตอนแรกเป็นการอธิบายเชิงทฤษฎี เรียกว่า “สกายทฤษฎี” และ
    ขั้นตอนที่สองเป็นการอธิบายเชิงปฏิบัติ เรียกว่า “ทรรศนภาพลักษณะทางพิมพ์ทรง”

“สกายทฤษฎี” นั้นเป็นหลักการพิจารณาทางพิมพ์ทรง 6 ประการ ประกอบด้วย พุทธลักษณะพระสมเด็จฯโดยทั่วไป (เช่นพุทธศิลป์ประณีต พุทธศิลป์พื้นเมือง พุทธศิลป์สังเขป) มูลกรณีของพิมพ์ทรง (มีจำนวน 9 พิมพ์ทรง คือ พิมพ์ทรงพระประธาน พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ทรงฐานแซม พิมพ์ทรงเกตุบัวตูม พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ พิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑ พิมพ์ทรงสังฆาฏิ พิมพ์ทรงเส้นด้าย พิมพ์ทรงฐานคู่

โดยที่ 3 พิมพ์ทรงหลัง มีเฉพาะของวัดบางขุนพรหม) อิทธิพลของพิมพ์ทรง (พิมพ์ทรงที่ต่างกันมีผลที่ต่างกันต่อแรงบันดาลใจ มูลค่าการเช่าบูชา และการปลอมแปลง) มูลสูตรสัญลักษณ์และการจำแนกพิมพ์ทรง (มูลสูตรสัญลักษณ์ เช่น มูลสูตรพุทธลักษณะ (ลักษณะของพระเกตุ พระศิระและวงพระพักตร์ พระกรรณ ฯลฯ) มูลสูตรพระอาสนะ มูลสูตรซุ้มประภามณฑล มูลสูตรภาคพื้นผนังคูหา มูลสูตรทรงกรอบ มูลสูตรพื้นที่ชายกรอบ มูลสูตรสัณฐานมิติ,

การจำแนกแบบพิมพ์ เช่น แบบพิมพ์เขื่อง แบบพิมพ์โปร่ง แบบพิมพ์ชะลูด แบบพิมพ์ป้อม แบบพิมพ์สันทัด แบบพิมพ์ย่อม แบบพิมพ์เลือน แบบพิมพ์เขื่องเส้นด้าย เป็นต้น)

สัญลักษณ์ของขอบข้าง (แนวดิ่งทางขอบ รอยเส้นตอกตัด แอ่งเล็กๆและรูพรุนปลายเข็ม) สัญลักษณ์ด้านหลัง (เช่น ริ้วรอยธรรมชาติ 8 ประการ คือ รูพรุนปลายเข็ม รอยปูไต่ รอยหนอนด้น รอยย่นตะไคร่น้ำหรือฟองเต้าหู้ รอยกาบหมาก รอยสังขยา รอยลายนิ้วมือ รอยริ้วระแหง)

“ทรรศนภาพลักษณะทางพิมพ์ทรง” เป็นการอธิบายเชิงปฏิบัติ โดยฝึกจากการดูรูปพระสมเด็จฯ ทั้งรูปจากองค์จริง (หรืออาจจะดูจากองค์จริงเลย)และรูปทรงภาพขีดเขียน (รูปแบบร่าง) ตรียัมปวายบอกว่า เส้นรอบวงของแต่ละพิมพ์ทรงจะเป็นคนละลักษณะ นอกจากพิมพ์ทรงฐานแซมกับพิมพ์ทรงฐานคู่ ที่จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน





การพิจารณาทางมวลสาร

ตรียัมปวาย ได้อธิบายถึงเรื่องการพิจารณาเนื้อหามวลสาร โดยบอกว่าเป็นการพิจารณาในขั้นที่สองต่อจากการพิจารณาทางพิมพ์ทรงและเป็นขั้นสุดท้ายทางทรรศนียะ เป็นแนวทางไปสู่การตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ตรียัมปวายบอกด้วยว่า ในทางปฏิบัตินั้น มักจะพิจารณาทั้ง 2 ประการไปพร้อมๆกัน เพียงแต่ตอนแรกวางน้ำหนักไปทางพิมพ์ทรง แล้วจึงวินิจฉัยทางเนื้อโดยละเอียด และผลต้องสอดคล้องกัน คือต้องไม่ปรากฏลักษณะของแท้และของปลอมอยู่ในพระองค์เดียวกัน

ในการพิจารณาเรื่องนี้ ตรียัมปวายได้ใช้หลักเกณฑ์ทฤษฎีต่างๆ 5 ประการดังนี้คือ
    1. สารทฤษฎี ว่าด้วย ลักษณะของเนื้อ
    2. ฉัพยทฤษฎี ว่าด้วย ลักษณะของผิว
    3. มิญชทฤษฎี ว่าด้วย ลักษณะของคราบกรุ
    4. รงคทฤษฎี ว่าด้วย ลักษณะของวรรณะ
    5. ทรรศนภาพลักษณะทางมวลสาร เป็นการพิจารณาภาพขยาย ตามที่ปรากฏในทฤษฎีข้างต้น

@@@@@@@

การพิจารณาของปลอม

ในส่วนของการพิจารณาของปลอมนั้น ตรียัมปวายบอกว่าลักษณะของปลอมที่สามารถตัดออกไปจากการพิจารณาพระสมเด็จฯแท้ได้ทันทีนั้น มีลักษณะดังเช่นต่อไปนี้ แบบที่มีปริมาตรเขื่อง แบบรูปเจ้าพระคุณสมเด็จ แบบตราแผ่นดิน แบบที่มีอักษรจารึก แบบที่มีอักขระเลขยันต์ แบบที่มีวรรณะประหลาด ตรียัมปวายยังพูดถึง งานฝีมือ ที่เป็นของปลอม ที่เรียกกันว่า “ฝีมืออานนท์” เริ่มทำขึ้นมาประมาณ 40 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งปลอมโดยการถอดพิมพ์มีลักษณะใกล้เคียงของแท้มากทั้งพิมพ์ทรงและเนื้อหามวลสาร สมควรที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเมื่อพบพระลักษณะดังกล่าว

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตแสดงความเห็นว่า การทำความเข้าใจเรื่องพิมพ์ทรงนี้ ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย มีความยากไม่น้อยกว่าการทำความเข้าใจเรื่องเนื้อพระสมเด็จฯ การทำความเข้าใจเรื่องพิมพ์ทรงขั้นพื้นฐานรวมถึงการจำตำหนิแม่พิมพ์นั้นไม่ยาก แต่เมื่อถึงขั้นที่ต้องแยกพระสมเด็จฯพิมพ์ทรงนิยมที่มีมูลค่าเช่าหาสูง ออกมานั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ

(พระที่ทำเลียนแบบจำนวนมากนั้นสามารถทำได้ใกล้เคียงจนกระทั่งเรียกว่ามีครบทุกอย่างตามลักษณะพิมพ์ทรงขั้นพื้นฐานรวมถึงตำหนิแม่พิมพ์ก็ว่าได้ หรือแม้กระทั่งพิมพ์ทรงนิยมก็สามารถทำได้ใกล้เคียงมากเช่นกัน แต่ถ้ามีความเข้าใจเรื่องพิมพ์ทรงอย่างแท้จริงแล้วจะสามารถแยกพระที่ไม่ใช่พิมพ์ทรงนิยมออกไปได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลานำไปพิจารณาด้านเนื้อหามวลสารอย่างละเอียด)

การที่พิมพ์ทรงนิยมเข้าใจได้ยากนั้น เป็นที่มาของคำถามที่ว่า “พระสมเด็จฯแท้ในพิมพ์ทรงเดียวกันนั้น แต่ละองค์ดูไม่เหมือนกันเลย ดูรู้ได้ยังไงว่าเป็นพระแท้” นิรนาม แห่งนิตยสารพรีเชียส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ เคยกล่าวไว้ว่า

   “...การดูพระแท้นั้น ไม่ใช่หยิบพระขึ้นมาแล้วส่องเลย อันนี้ถือว่าผิดแนวทางอย่างยิ่ง การหยิบพระขึ้นมาในมือเรา ให้สังเกตลักษณะแม่พิมพ์และส่วนประกอบต่างๆของแม่พิมพ์พระก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ ...ท่านไม่ได้ดูหน้าดูตา ดูลักษณะ หยิบพระขึ้นมาก็ส่องกล้องเลย แล้วท่านจะจำพระได้อย่างไร”

อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯอีกท่านหนึ่ง ได้กล่าวถึงหลักการพิจารณาพระสมเด็จฯ ที่สำคัญมากเช่นกันด้วยว่า

     “การดูพระสมเด็จฯ ให้ดูเป็นศิลป์ พระแต่ละองค์ ทำออกมาจะไม่เหมือนกัน เหมือนดูลายเซ็น ที่เป็นลักษณะของศิลป์เช่นเดียวกัน เมื่อเซ็นชื่อแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แต่จะคล้ายกัน โดยเราสามารถบอกได้ว่าเป็นลายเซ็นของใคร”

     ซึ่งล้วนสอดคล้องกับทฤษฎี “การพิสูจน์ลายเซ็นพระสมเด็จฯ” ตามแนวทางพิจารณาพระสมเด็จฯตามแนวทางพิสูจน์หลักฐานที่ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เคยนำเสนอมาบ้างแล้วนั่นเอง

@@@@@@@

บทส่งท้าย

“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตส่งท้ายด้วยบทความของอาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ กัลยาณมิตรในทางการศึกษาพระสมเด็จฯของท่านอาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่ได้พูดถึงเรื่องหลักการดูพระสมเด็จฯที่มาจากประสบการณ์ตรงของท่าน ในหนังสือ “สามสมเด็จ” ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2523 หัวข้อเรื่อง “ทำอย่างไรจึงจะดูพระสมเด็จเป็น” ไว้อย่างลึกซึ้งน่าสนใจดังต่อไปนี้

“ผู้ที่จะซึ้งถึงแก่นแท้ของพระสมเด็จได้นั้น อย่างน้อยก็ควรผ่านชีวิตการเป็น “นักเลงพระ” มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย พูดง่าย ๆ ก็คือ ท่านควรจะรู้ถึงความเก่าใหม่ของพระเครื่องแต่ละเนื้อมาบ้างพอสมควร หรือได้สนใจกับพระประเภทเนื้อผงขาว อย่างเช่น พระวัดเงินคลองเตย, พระวัดสามปลื้ม, หรือ พระวัดพลับมาก่อนบ้างแล้ว ...





7 หัวข้อดังต่อไปนี้ ก็คงจะช่วยเปิดทางนำท่านสู่อาณาจักรของขลังขององค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้อย่างปลอดภัย โดยให้ถือเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จด้วยความเพียรพยายามไว้ดังต่อไปนี้

1. จงเริ่มต้นศึกษา “ความเก่าใหม่” ของพระเนื้อผงขาวไว้ให้แม่นก่อน เป็นปฐมของการเรียนพระสมเด็จฯ

2. จงจำ “พิมพ์” และ “ขนาด” ของพระสมเด็จ (พิมพ์นิยม) องค์ที่เชื่อถือได้ของแต่ละวัดไว้ให้ติดตา หรือดูภาพที่เป็นของแท้ ดูซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จนสามารถเรียกชื่อแต่ละพิมพ์ได้ถูกต้อง

3. “เนื้อ” และ “ผิว” รวมทั้งเคล็ดลับของพระสมเด็จแต่ละวัดจะต่างกันมาก โปรดพิจารณาช้า ๆ แยกแยะพิมพ์และแบบให้ถูกต้อง

4. น้ำหนัก, ขนาด, การตัดขอบ, และความหนา เป็นองค์ประกอบที่สามารถบ่งบอกให้รู้ถึงของแท้และปลอมได้ ซึ่งก็จะต้องเรียนรู้เป็นขั้นตอนต่อไปอย่างละเอียด

5. “หนึ่งภาพดี มีค่ากว่า พันคำพูด” ภาษิตจีนบทนี้ดีที่สุดสำหรับการเป็นนักเลงพระหรือผู้สนใจในพระสมเด็จยิ่ง

6. จงเลิกสะสมพระสมเด็จฯพิมพ์ประหลาด ๆ ที่ขาดเหตุผล และอย่าเห็นแก่ “ของถูก” ซึ่งมีแต่ทางเสียทั้งเงินและเวลา ในที่สุดก็จะไม่ได้อะไรเลย

7. ไม่มีท่านผู้ชำนาญการระดับ “อาจารย์” ท่านใดเลย ที่สำเร็จวิชานี้มาได้ โดยไม่ลงทุนเช่าพระเลย! แม้พระพุทธองค์ยังให้ข้อคิดว่า ถ้าหวังผลก็ต้องหว่านพืชลงไป จึงจะประสบความสำเร็จ

ทั้ง 7 หัวข้อดังได้กล่าวไปแล้วนี้ ล้วนแต่ “หลักการใหญ่” ซึ่งผมได้ปฏิบัติมาก่อนเกือบทั้งสิ้น”

@@@@@@@

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต. คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่มีความงดงามมาก มีคราบรักเก่าปรากฏทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ แทบไม่ปรากฏการแตกลายงาเนื่องจากเป็นเนื้อหนึกนุ่ม (พระที่แตกลายงาเมื่อลงรักมักเป็นพระเนื้อหนึกแกร่ง) มีวรรณะขาว

มีองค์ประกอบพระสมเด็จแท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น และรอยรูพรุนเข็ม (เนื้อค่อนข้างละเอียดแน่นตัวทำให้ปรากฏน้อย) พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ตัดขอบชิดด้านซ้ายมือองค์พระ เห็นเส้นกรอบแม่พิมพ์เล็กน้อย

ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นแยก รอยริ้วระแหงให้เห็น มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ให้เห็นบ้างเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความเก่า ซึ่งมักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ

ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน
เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์

อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติม




Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/amulet/2892047
29 ต.ค. 2568 11:23 น. | ไลฟ์สไตล์ > พระเครื่อง | ไทยรัฐออนไลน์
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ