ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ‘หนังตากระตุก’ อาจไม่ใช่ลางบอกเหตุ แต่เป็นสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพ  (อ่าน 153 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29560
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



‘หนังตากระตุก’ อาจไม่ใช่ลางบอกเหตุ แต่เป็นสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพ

กรมการแพทย์ เผยภาวะตาปิดเกร็ง หนังตากระตุก หลายคนมักคิดว่าเป็นลางบอกเหตุ อาจสร้างความรำคาญได้ แท้จริงแล้วเป็นสัญญาณบอกโรค หมั่นสังเกตอาการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา

นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า Blepharospasm หรือภาวะตาปืดเกร็ง เป็นส่วนหนึ่งของอาการ focal dystonia ซึ่งเป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดจากอาการเกร็งของกล้ามเนื้อดวงตา มักพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และช่วงอายุที่พบบ่อยคือ ช่วงอายุประมาณ 40-60 ปี มักเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 2 ตา

นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า อาการเริ่มต้นของภาวะนี้คือ มีกระพริบตาบ่อยครั้ง ผู้ป่วยมักให้ประวัติว่ารู้สึกเคืองตาแสบตา จากนั้นจะเริ่มมีอาการเกร็งหรือรู้สึกดึงรั้ง หรือแน่นรอบดวงตาโดยเกิดขึ้นทั้งด้านบนและด้านล่าง ทำให้มีความลำบากในการลืมตา ตาเริ่มหรี่แคบลงจนถึงตาเปิดไม่ได้ชั่วขณะ อาการจะเป็นๆ หายๆ โดยระยะเวลาที่เกิดเป็นวินาทีถึงหลายนาทีได้

ทั้งนี้ การโดนแสงแดดหรือไฟสว่างจ้า ความเครียดวิตกกังวล มักกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมี sensory trick หรือการบรรเทาอาการจากการสัมผัสเบาๆที่บริเวณอื่น เช่น หางตาหรือแก้มแล้วทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาคลายตัว พบได้ในระยะแรกของโรค จากนั้นอาการจะค่อยๆหายไป ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์ประเมินหาสาเหตุ เพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไป





นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า ผู้ป่วยจะมีอาการ ภาวะอื่นที่อาจมีอาการคล้าย Blepharospasm เช่น หนังตาตกจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออาการที่ไม่สามารถเปิดตาได้จากสมองส่วนกลาง หรือใบหน้ากระตุกครึ่งซีก เป็นต้น การแยกโรคต้องอาศัยแพทย์ในการตรวจวินิจฉัย

นอกจากนี้ Blepharospasm อาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการเกร็งของใบหน้าคือ พบร่วมกับอาการเกร็งบริเวณปาก หรือในบางรายอาการเกร็งอาจลามถึงบริเวณคอหรือทั้งร่างกาย การรักษาด้วยการรับประทานยาไม่ค่อยได้ประสิทธิภาพ ผู้ป่วยอาจได้รับผลข้างเคียงจากยาลดอาการเกร็ง เช่น ง่วงนอน ปากคอแห้ง อาการสับสน เป็นต้น

นพ.ธนินทร์ กล่าวว่า ในปัจจุบันการรักษาจึงเน้นยา ที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่และไม่มีผลข้างเคียง การฉีดยาโบทูลินัมจึงเป็นการรักษาที่ใช้ในผู้ป่วยเพื่อลดอาการเกร็งรอบดวงตา ได้นาน 3-6 เดือนต่อการฉีด 1 ครั้ง ซึ่งมีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยและหายได้เองเมื่อยาหมดฤทธิ์

อย่างไรก็ตาม การฉีดโบทูลินัมไม่ได้ทำให้หายขาดจากโรคเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการแย่ลง หลีกเลี่ยงการขับรถหากยังคุมอาการได้ไม่ดีพอ และเฝ้าระวังอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ด้วย




ขอบคุณ : https://www.thecoverage.info/news/content/3792
The Coverage • Movement • 25 กรกฎาคม 2565
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29560
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ตากระตุก อาจไม่ใช่ลางบอกเหตุ แต่สะท้อนปัญหาสุขภาพดวงตาที่ต้องรีบรักษา!

เปลือกตากระตุก หลายคนมักไม่คิดถึงโรคภัยแต่คิดถึงลางบอกเหตุ และแน่นอนหากรู้ไม่ทันโรคต้องเป็นลางร้ายแน่ๆ จึงควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากกระตุกถี่เกินจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อเปลือกตาที่เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดได้

อาการเปลือกตากระตุก (Eyelid Twitching) หลายคนเชื่อว่ากระตุกขวาร้าย ซ้ายดี เป็นเรื่องของโชคลางที่มีผลกับการตัดสินใจในบางเรื่อง แต่ในทางการแพทย์ระบุว่า เกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อเปลือกตาเกิดการเกร็งกระตุก สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง ส่วนใหญ่จะเป็นที่เปลือกตาบน มีอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง และหากมีการกระตุกของส่วนอื่น ๆ บนใบหน้า อาจเป็นสัญญาณบอกโรคได้

เปลือกตากระตุกบอกความผิดปกติ กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น (Eyelid Myokymia)

ภาวะที่เปลือกตามีอาการเต้นหรือกระตุก เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยมีอาการเต้นหรือกระตุกเฉพาะบริเวณเปลือกตา ส่วนมากจะเป็นเพียงข้างเดียว พบว่าเกิดกับเปลือกตาล่างบ่อยกว่าเปลือกตาบน อาการมักเป็นสั้น ๆ และหายเองได้ในเวลาไม่กี่วินาทีหรือเป็นชั่วโมง แต่บางครั้งอาจมีอาการนานหลายสัปดาห์ได้

สาเหตุกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น

    • ความเหนื่อยล้า
    • ความเครียด ความวิตกกังวล
    • การดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์
    • การออกกำลังกาย
    • การสูบบุหรี่
    • อาการระคายเคืองตา
    • แสงจ้า ลมหรือมลภาวะทางอากาศ
    • ยาบางชนิด เช่น Topiramate, Clozapine, Gold Salts, Flunarizine ฯลฯ

นอกจากนี้โรคทางระบบประสาทบางอย่างอาจทำให้เกิดภาวะเปลือกตากระตุกได้ แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการทางระบบประสาทอื่นร่วมด้วย เช่น Demyelinating Diseases, Autoimmune Disease, Brainstem Pathology ฯลฯ ส่วนใหญ่แล้วกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่นมักจะหายได้เองถ้าหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว

    • ตาเขม่นไม่หายเป็นเวลานาน 2 – 3 สัปดาห์
    • ตาเขม่น ทำให้ลืมตายากหรือตาปิด
    • มีการกระตุกบริเวณอื่นของใบหน้าหรือร่างกายร่วมด้วย
    • ตาแดงหรือมีขี้ตาเปลือกตาตก

@@@@@@@

รักษากล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น

ส่วนมากสามารถหายเองได้ โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ หากเป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวันหรือนานเกิน 3 เดือน อาจพิจารณาให้รักษาด้วยการฉีด Botulinum Toxin

กล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก (Blepharospasm)

คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อเปลือกตาหดตัวผิดปกติ ทำให้กะพริบตาบ่อยขึ้น หลับตาทั้งสองข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ มักเริ่มจากอาการกล้ามเนื้อเปลือกตากระตุกเล็กน้อย และอาการค่อย ๆ เป็นมากขึ้น จนอาจรบกวนการมองเห็น เนื่องจากไม่สามารถลืมตาได้ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักพบในช่วงอายุ 40 – 60 ปี



ตากระตุก


สาเหตุของโรคกล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก

สาเหตุกล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุกยังไม่ทราบแน่ชัด อาจมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมในบางรายอาจมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของสมองส่วน Basal Ganglia

ปัจจัยกระตุ้นโรค

    • อุบัติเหตุที่ศีรษะหรือใบหน้า
    • ประวัติครอบครัวที่มีโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น Dystonia, Tremor ฯลฯ
    • Reflex Blepharospasm จากโรคทางตา เช่น ตาแห้ง, เปลือกตาอักเสบ, ตาอักเสบ, ภาวะไวต่อแสง ฯลฯ
    • มีสิ่งระคายเคืองเยื่อหุ้มสมอง
    • ภาวะเครียด
    • ผลจากยา เช่น กลุ่มยารักษาโรคพาร์กินสัน ฯลฯ
    • การสูบบุหรี่
    • พบได้ในโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติอื่น ๆ เช่น Tardive Dyskinesia, Generalized Dystonia, Wilson Disease, และ Parkinsonian Syndromes

รักษากล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก

รักษาปัจจัยที่กระตุ้น Reflex Blepharospasm ได้แก่ การใช้น้ำตาเทียม, การรักษาเปลือกตาอักเสบ, การใช้แว่นตาดำ โดยเฉพาะชนิด FL-41 ฯลฯ

    • กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อ กลุ่มยานอนหลับ
    • การฉีด Botulinum Toxin  มักให้ผลการรักษาที่ดี
    • การผ่าตัด เฉพาะในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการฉีด Botulinum Toxin

@@@@@@@@

กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก (Hemifacial Spasm)

ภาวะที่มีการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีก มักพบในช่วงอายุ 50 – 60 ปี และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อาการมักเริ่มที่เปลือกตาก่อนแล้วค่อย ๆ เป็นมากขึ้น โดยมีอาการกระตุกที่แก้มและริมฝีปากด้านเดียวกัน อาการกระตุกนี้ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อโรครุนแรงขึ้นจะมีอาการกระตุกเกือบตลอดเวลา อาจพบอาการกระตุกขอบใบหน้าอีกฝั่งได้ แต่พบน้อยมาก และจะมีอาการกระตุกไม่พร้อมกัน

ปัจจัยกระตุ้นโรค

    • การเคลื่อนไหวใบหน้า
    • ความวิตกกังวล ความเครียด ความเหนื่อยล้า

รักษากล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก

    • กลุ่มยากันชัก อาจช่วยลดอาการได้บ้างในบางราย
    • การฉีด Botulinum Toxin
    • การผ่าตัด Microvascular Decompression ในกรณีที่มีเส้นเลือดกดทับเส้นประสาท

แม้อาการเปลือกตากระตุกสามารถหายได้เอง แต่อย่านิ่งนอนใจ หากมีอาการเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน มีอาการผิดปกติของดวงตาที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็ว





ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ
https://www.pptvhd36.com/health/care/6830
โดย PPTV Online | เผยแพร่ : 19 เม.ย. 2568
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ