ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปฏิสันถารคารวะ เพชรที่ถูกมองข้าม  (อ่าน 32 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29569
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ปฏิสันถารคารวะ เพชรที่ถูกมองข้าม
« เมื่อ: ธันวาคม 11, 2025, 06:51:05 am »
0
.



ปฏิสันถารคารวะ (บาลีวันละคำ 2,918)

ดูก่อนภราดา.! การต้อนรับที่ไม่จริงใจ คือการค้ากำไรจากการขายของปลอม



 :25: :25: :25:

ปฏิสันถารคารวะ เพชรที่ถูกมองข้าม

ปฏิสันถารคารวะอ่านว่า ปะ-ติ-สัน-ถา-ระ-คา-ระ-วะ
ประกอบด้วยคำว่า ปฏิสันถาร + คารวะ

@@@@@@@

(๑) “ปฏิสันถาร”

เขียนแบบบาลีเป็น “ปฏิสนฺถาร” อ่านว่า ปะ-ติ-สัน-ถา-ระ รากศัพท์มาจาก ปฏิ (คำอุปสรรค = เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ) + สํ (คำอุปสรรค = พร้อมกัน, ร่วมกัน, ทั้งหมด) + ถรฺ (ธาตุ = แผ่ไป, ปูลาด, ปกปิด) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น นฺ (สํ > สนฺ), ทีฆะต้นธาตุ คือ อะ ที่ ถ-(รฺ) เป็น อา (ถรฺ > ถาร)

: ปฏิ + สํ + ถรฺ = ปฏิสํถรฺ + ณ = ปฏิสํถรณ > ปฏิสํถร > ปฏิสนฺถร > ปฏิสนฺถาร แปลตามศัพท์ว่า “การปกปิดอาการที่ไม่สมควรไว้อย่างมิดชิด” หมายความว่า เมื่อต้องพบปะกับเพื่อนมนุษย์ก็เก็บกิริยาอาการความรู้สึกที่ไม่ชอบไม่พอใจที่อาจจะมีไว้ให้มิดชิด แสดงออกแต่อาการที่ดี

“ปฏิสนฺถาร” (ปุงลิงค์) หมายถึง การต้อนรับฉันเพื่อน, การต้อนรับอย่างกรุณา, การให้เกียรติ, ไมตรีจิต, การสงเคราะห์, มิตรภาพ (friendly welcome, kind reception, honour, goodwill, favour, friendship)


@@@@@@@

“ปฏิสนฺถาร” ภาษาไทยใช้ทับศัพท์ว่า “ปฏิสันถาร” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า

“ปฏิสันถาร : (คำนาม) การทักทายปราศรัยแขกผู้มาหา (มักใช้แก่ผู้น้อย); การต้อนรับแขก. (ป. ปฏิสนฺถาร).”

เรามักเข้าใจกันแคบๆ ว่า ปฏิสันถารมีความหมายเพียงแค่การทักทายปราศรัย แต่ปฏิสันถารมีความหมายมากกว่านั้น

ในคัมภีร์อธิบายว่า ปฏิสันถารมี 2 อย่าง คือ

(1) อามิสปฏิสันถาร (อา-มิด-สะ-) การต้อนรับด้วยสิ่งของ เช่น น้ำดื่ม อาหาร ของขบเคี้ยวบริโภค เป็นต้น

(2) ธรรมปฏิสันถาร (ทำ-มะ-) การต้อนรับด้วยธรรม คือกล่าวธรรมให้ฟังหรือแนะนำในทางธรรม อย่างนี้เป็นธรรมปฏิสันถารแบบธรรมดา ธรรมปฏิสันถารอย่างบริบูรณ์ คือ เอาใจใส่ช่วยเหลือสงเคราะห์ แก้ไขปัญหา บรรเทาข้อสงสัย ขจัดปัดเป่าข้อติดขัดยากลำบากเดือดร้อนทั้งหลาย ให้ผู้มาหาลุล่วงกิจอันเป็นกุศล พ้นความอึดอัดขัดข้อง

(พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต)





(๒) “คารวะ”

เขียนแบบบาลีเป็น “คารว” อ่านว่า คา-ระ-วะ รากศัพท์มาจาก ครุ + ณ ปัจจัย

(ก) “ครุ” (คะ-รุ) รากศัพท์มาจาก
     (1) ครฺ (ธาตุ = ไหลไป; ลอยขึ้น) + อุ ปัจจัย : ครฺ + อุ = ครุ แปลตามศัพท์ว่า (1) “สิ่งที่เลื่อนไหลกว้างขวางไป” (2) “ผู้ลอยเด่น”
     (2) คิรฺ (ธาตุ = คาย, หลั่ง) + อุ ปัจจัย, ลบสระต้นธาตุ (คิรฺ > ครฺ) : คิรฺ + อุ = คิรุ > ครุ แปลตามศัพท์ว่า
          (๑) “ผู้คายความรักให้หมู่ศิษย์”
          (๒) “ผู้หลั่งความรักไปในหมู่ศิษย์”

“ครุ” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้
    เป็นคุณศัพท์ หมายถึง –
    (1) หนัก, น้ำหนักบรรทุก (heavy, a load)
    (2) สำคัญ, ควรเคารพ, พึงเคารพ (important, venerable, reverend)
    เป็นคำนาม (ปุงลิงค์) หมายถึง
    (3) คนที่ควรนับถือ, ครู (a venerable person, a teacher)


@@@@@@@

(ข) ครุ + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แผลง อุ ที่ (ค)-รุ เป็น โอ แล้วแปลง โอ เป็น อว (ครุ > คโร > ครว), ทีฆะ อะ ที่ต้นศัพท์ คือ ค-(รว) เป็น อา ด้วยอำนาจ ณ ปัจจัย (ครว > คารว)

: ครุ + ณ = ครุณ > ครุ > คโร > ครว > คารว (ปุงลิงค์) แปลตามศัพท์ว่า “ภาวะแห่งครุ” หมายถึง การคารวะ, ความเคารพ, ความนับถือ (reverence, respect, esteem); ความยำเกรง, ความนอบน้อม (respect for, reverence towards)

ความหมายในภาษาไทย พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า

“คารวะ : (คำนาม) ความเคารพ, ความนับถือ. (คำกริยา) แสดงความเคารพ. (ป.).”

“คารวะ” ท่านจัดเป็นมงคลข้อหนึ่งในมงคล 38 ประการ อันเป็นคุณธรรมที่ยังผู้ประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงความสุขความเจริญก้าวหน้า





ประสมคำ

ปฏิสนฺถาร + คารว = ปฏิสนฺถารคารว (ปะ-ติ-สัน-ถา-ระ-คา-ระ-วะ) เขียนแบบไทยเป็น “ปฏิสันถารคารวะ” แปลว่า “การเคารพในปฏิสันถาร” หมายถึง การให้ความสำคัญแก่การต้อนรับผู้มาหามาเยือน หรือเห็นว่าการต้อนรับผู้มาหามาเยือนเป็นเรื่องสำคัญอันจะละเลยเสียมิได้

ขยายความ

“คารวะ” ท่านแสดงไว้ในพระไตรปิฎก (คัมภีร์ปริวาร พระวินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม 8 ข้อ 850, อปริหานิยสูตร อังคุตรนิกาย ฉักกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม 22 ข้อ 303) ชุดหนึ่งว่ามี 6 อย่าง

@@@@@@@

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต ข้อ [261] แสดงไว้ดังนี้

คารวะ หรือ คารวตา 6 ความเคารพ, การถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะพึงใส่ใจและปฏิบัติด้วยความเอื้อเฟื้อ หรือโดยความหนักแน่นจริงจัง, การมองเห็นคุณค่าและความสำคัญแล้วปฏิบัติต่อบุคคลหรือสิ่งนั้นโดยถูกต้อง ด้วยความจริงใจ (Gārava, Gāravatā: reverence; esteem; attention; respect; appreciative action)

1. สัตถุคารวตา ความเคารพในพระศาสดา (reverence for the Master) ข้อนี้บางแห่งเขียนเป็น พุทธคารวตา (ความเคารพในพระพุทธเจ้า (Satthu-gāravatā: reverence for the Buddha)

2. ธัมมคารวตา ความเคารพในธรรม (Dhamma-gāravatā: reverence for the Dhamma)

3. สังฆคารวตา ความเคารพในสงฆ์ (Saŋgha-gāravatā: reverence for the Order)

4. สิกขาคารวตา ความเคารพในการศึกษา (Sikkhā-gāravatā: reverence for the Training)

5. อัปปมาทคารวตา ความเคารพในความไม่ประมาท (Appamāda-gāravatā: reverence for earnestness)

6. ปฏิสันถารคารวตา ความเคารพในปฏิสันถาร คือ การต้อนรับปราศรัย (Paṭisanthāra-gāravatā: reverence for hospitality)

ธรรม 6 อย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแห่งภิกษุ.

@@@@@@@

“ปฏิสันถาร” ท่านจัดเข้าเป็น 1 ในสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญ 6 : อย่าง 3 อย่าง คือ พระรัตนตรัย อีก 2 อย่างคือ “สิกขา” และ “อัปปมาท” ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ “อัปปมาท” (ความไม่ประมาท) เป็นสุดยอดแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนา

ทำไมท่านจึงจัด “ปฏิสันถาร” ว่าเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญเทียบเท่ากับพระรัตนตรัย เทียบเท่ากับการศึกษา เทียบเท่ากับความไม่ประมาท เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างลึกซึ้ง

ลองนึกดูง่ายๆ เราให้ความสำคัญแก่พระรัตนตรัยเพียงใด ก็ต้องให้ความสำคัญแก่ “ปฏิสันถาร” เพียงนั้น ใช่หรือไม่ แต่ในความรู้สึกของชาวเราและที่ปฏิบัติกันทั่วไป เราเคยให้ความสำคัญแก่ “ปฏิสันถาร” มากเท่ากับพระรัตนตรัยหรือไม่ เราเห็นความสำคัญของ “ปฏิสันถาร” มากถึงขนาดนั้นหรือไม่

ถ้าเทียบกับพระรัตนตรัย เทียบกับการศึกษา เทียบกับความไม่ประมาทแล้ว แทบจะไม่มีใครนึก “ปฏิสันถาร” กันเลยด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่

ทำไมเรามองข้าม “เพชร” ที่สำคัญที่สุดกันได้ถึงขนาดนี้.?

@@@@@@@

ดูก่อนภราดา.! การต้อนรับที่ไม่จริงใจ คือการค้ากำไรจากการขายของปลอม




Thank to : https://dhamtara.com/?p=10245
8 มิถุนายน 2020 | tppattaya2343@gmail.com
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29569
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฏิสันถารคารวะ เพชรที่ถูกมองข้าม
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2025, 07:02:45 am »
0
.



ปฏิสันถารคารวตา (๑)



 :25: :25: :25:

เพชรที่ถูกหมกโคลน

บรรดาเรื่องในวัดอันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายทั้งหลาย ปฏิสันถารคารวตาเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าเสียดายที่สุด

“เรื่องที่น่าเสียดาย” หมายความว่า เรื่องที่น่าทำ แต่ไม่ทำ เรื่องที่น่ามี แต่ไม่มี เรื่องที่น่าเป็น แต่ไม่เป็น

ยกตัวอย่างเช่น คณะสงฆ์ควรมี “กองวิชาการพระพุทธศาสนา” เพื่อทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาทางพระธรรมวินัยที่ชาวบ้านสงสัย พระทำอย่างนี้ถูกไหม เรื่องนั้นทำกันอย่างนั้นถูกหรือผิด ไม่ใช่ปล่อยให้พูดกันไป สงสัยกันไป โดยไม่มีคำตอบ

คณะสงฆ์ควรมี “กองวิชาการพระพุทธศาสนา” เช่นว่านี้
แต่ก็ไม่มี ไม่ตั้ง ไม่คิดจะตั้ง
เสนอให้ตั้ง ก็ไม่ฟัง ไม่เอา
จึงเป็น “เรื่องที่น่าเสียดาย”
ปฏิสันถารคารวตาเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าเสียดายที่สุด

“ปฏิสันถารคารวตา” อ่านว่า ปะ-ติ-สัน-ถา-ระ-คา-ระ-วะ-ตา แปลว่า การเห็นความสำคัญของการต้อนรับ

@@@@@@@

สมมุติว่า วันหนึ่งท่านมีความจำเป็นจะต้องเข้าไปในวัดเพื่อทำกิจอะไรก็ตามสักอย่างหนึ่ง ท่านไม่รู้จักวัดนั้น ไม่รู้จักพระในวัดนั้น ไม่รู้จักใคร

ท่านเดินเข้าไปในวัด ท่านจะไปตั้งต้นตรงไหน.?

ถ้าเผอิญเจอพระหรือเณรหรือใครสักคนในวัด แล้วท่านถามอะไรสักอย่าง-ตามกิจธุระที่ท่านตั้งใจมา โอกาสที่ท่านจะได้รับคำตอบที่ได้เรื่องหรือไม่ได้เรื่องจะมีเท่าๆ กัน

แต่มีแนวโน้มว่าจะไม่ได้เรื่องมากกว่า

แล้วพระหรือเณรหรือใครสักคนนั้นก็จะปล่อยให้ท่านงมหาอะไรก็ตามไปตามเรื่องของท่าน เหตุผลของท่านเหล่านั้นก็คือ-ธุระไม่ใช่ ไม่ใช่ธุระ

ยิ่งวัดที่มีผู้คนแห่กันเข้าไปไหว้พระขอพรหรือทำพิธีกรรมประจำชีวิตกันคึกคักขวักไขว่ จะไม่มีใครสนใจท่านแม้แต่น้อย

ผมเคยเสี่ยงเข้าไปถามถึงพระรูปนั้นรูปนี้ที่แน่ใจว่าท่านอยู่วัดนั้น

คำตอบจากคนที่ทำหน้าที่อยู่ในวัด คือ ไม่รู้ ไม่รู้จัก

@@@@@@@

คราวหนึ่ง วัดมหาธาตุบ้านผมมีงาน ผมรับอาสาเอาฎีกานิมนต์พระวัดในกรุงเทพฯ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับวัดมหาธาตุไปถวาย (ไม่แน่ใจว่าคนรุ่นใหม่เข้าใจหรือเปล่า คือเอาหนังสือเชิญร่วมงานไปส่งที่วัดนั้นๆ นะครับ)

มีวัดหนึ่ง-ถ้าเอ่ยชื่อก็จะรู้จักกันทั่วโลก-ผมเดินหากุฏิท่านเจ้าอาวาสไม่เจอ ไม่เจอพระ ไม่เจอเณร ไม่เจอใครสักคน หลงเข้าไปที่ตึกหน้าตาเหมือนสำนักงานของวัด โผล่เข้าไปก็เจอเณรรูปหนึ่งนั่งอยู่หน้าจอคอม. มีโยมผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งชะโงกดูหน้าจออยู่ใกล้ๆ กัน ไม่มีท่าทีว่าจะรับรู้ว่ามีแขกเข้ามา ไม่ทักไม่ถาม ไม่พูดอะไร ง่วนอยู่หน้าจอคอม.

ผมถามว่ากุฏิเจ้าอาวาสไปทางไหน ก็ชี้มือไปทางโน้นแบบรำคาญๆ

เจอแบบนั้นผมก็ลมออกหู

“ผมเอาฎีกามาถวายหลวงพ่อนะครับ ไม่ใช่มาขอทาน”

ผมพูดแค่นั้นแล้วออกไปทันที ผมรู้ตัวว่าเป็นคนโทสจริต ใจร้อน ขืนอยู่เกิดเรื่องแน่

โอกาสต่อมา เจอท่านเจ้าอาวาส ต่อว่าท่านเล็กน้อย บรรยายสรุปเหตุการณ์ให้ท่านฟัง ท่านขอโทษ ตั้งแต่วันนั้นผมก็ยังไม่ได้เข้าไปวัดนั้นอีกเลย

@@@@@@@

พระธรรมสิงหบุราจารย์ หรือหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน สิงห์บุรี เล่าให้ฟังว่า สมัยท่านเป็นพระธรรมดาเข้าไปทำกิจที่กรุงเทพฯ แล้วเกิดความจำเป็นปัจจุบันทันด่วนจะต้องเข้าห้องน้ำ

ท่านเข้าไปในวัดที่อยู่ใกล้ที่สุด เห็นห้องน้ำก็รีบเข้าไป แต่ปรากฏว่าทุกห้องล็อคกุญแจหมด ตามหาพระเณรก็ไม่มีใครช่วยแก้ปัญหาให้ได้ ได้รับความทุกข์แสนสาหัสพร้อมกับความคับแค้นใจ

พอท่านได้เป็นเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน ท่านก็สร้างห้องน้ำไว้รอบวัด ทุกห้องเปิดบริการตลอดเวลา

ในบรรดาวัดที่ผมเคยไปมา ยังไม่เคยเห็นวัดไหนมีห้องน้ำที่พร้อมบริการมากเท่าวัดอัมพวันของหลวงพ่อจรัญ





บรรดาวัดต่างๆ ในเมืองไทย เรื่องที่น่าเสียดายมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือขาดการปฏิสันถาร
ไม่มีแผนกต้อนรับของวัด
ไม่มีสำนักงานกลางของวัดไว้รับรองแขก
ไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ต้อนรับแขก

ไม่มีป้ายบอกทางที่ชี้บอกว่าต้องการติดต่ออะไรกับทางวัดให้เดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาไปที่ตรงนั้นๆ หรือตั้งหน่วยต้อนรับไว้ตรงที่เห็นได้ง่ายที่สุดภายในวัด เข้าประตูวัดไปเห็นได้ทันที มีเจ้าหน้าที่ของวัดยิ้มรอรับอยู่ตลอดเวลา

ใครมีกิจธุระอะไร ไม่ว่าจะจิ๊บจ๊อยแบบ-ห้องน้ำมีไหมครับ หรือเรื่องคอขาดบาดตายขนาดไหน ไปที่ตรงนั้น
one stop service กันตรงนั้นได้เลย ไม่มีธุระอะไรเลย แวะไปขอน้ำร้อนน้ำชากาแฟกินก็ยังได้

เอ้า โยม มายังไงกันละนั่น หาใคร เข้ามานั่งพักก่อน
อ๋อ หามหาย้อยเรอะ ได้เลย นั่งก่อนโยม เดี๋ยวให้เด็กไปตามให้
โยมอยู่ถึงไหนกันละนี่
บ้านโยมฝนฟ้าอากาศเป็นไงบ้างล่ะปีนี้
ช่วงโควิดนี่ลำบากกันหน่อยนะ
เอ้า นั่นมหาย้อยมาแล้ว เชิญโต๊ะรับรองด้านโน้นเลยจ้ะโยม

@@@@@@@

ไม่มีบรรยากาศแบบนี้
ถามว่า บรรยากาศแบบนี้จัดให้มีขึ้นในวัดทุกวัดได้ไหมครับ?
ขอความกรุณาอย่าคิดแบบ-ลากภูเขามาขวางทาง โอย-มันทำไม่ได้หรอก
ช่วยกันคิดแก้ปัญหา ช่วยกันคิดหาวิธีที่มันจะทำได้

ถ้าทำได้ วัดจะเป็นศูนย์รวมใจของผู้คน-ได้ใจคนเป็นอันมาก
ตามกฎหมาย วัดมีสถานะเป็นนิติบุคคล
นั่นเท่ากับกฎหมายเปิดช่องไว้ให้แล้วที่จะช่วยกันทำวัดให้เป็นที่พึ่งของผู้คนประชาชน
ไม่ใช่บ้านส่วนตนของพระเณร

เหนืออื่นใด ในพระไตรปิฎก-แหล่งรวมหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาท่านยกย่อง “ปฏิสันถารคารวตา” ไว้เสมอกับพระรัตนตรัย

งงละสิ เคยศึกษาเรียนรู้และตระหนักกันบ้างหรือไม่
ในบ้านเรา เราเรียนบาลีกันเพื่อจะสอบได้ ไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อรู้พระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น เราอาจลืมนึกหลักธรรมที่ควรจะระลึกได้

ถ้ายังไม่เคยศึกษาเรื่องนี้ ตอนหน้าเราจะตามไปขุด “เพชร” เม็ดงามที่ถูกหมกโคลนกัน


         นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
         ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ | ๑๔:๐๕




Thank to : https://dhamtara.com/?p=23741
10 มิถุนายน 2020 | admin2
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29569
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฏิสันถารคารวะ เพชรที่ถูกมองข้าม
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2025, 07:19:32 am »
0
.

2013 Photograph, Wat Jed Yod Ancient Temple Gate, Chang Phueak, Mueang Chiang Mai, Chiang Mai, Thailand, © 2016. ภาพถ่าย ๒๕๕๖ วัดเจ็ดยอด ประตูวัดโบราณ ช้างเผือก เมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ ประเทศไทย


ปฏิสันถารคารวตา (๒)



 :25: :25: :25:

เพชรที่ถูกหมกโคลน

คัมภีร์ปริวาร พระวินัยปิฎก พระไตรปิฎกเล่ม ๘ ข้อ ๘๕๐ แสดง “คารวะ” ๖ อย่างไว้ดังนี้

ตตฺถ กตเม ฉ คารวา, พุทฺเธ คารโว ธมฺเม คารโว สงฺเฆ คารโว สิกฺขาย คารโว อปฺปมาเท คารโว ปฏิสนฺถาเร คารโว. อิเม ฉ คารวา.

ในหัวข้อเหล่านั้น ความเคารพ ๖ เป็นไฉน.? คือ
ความเคารพในพระพุทธเจ้า
ความเคารพในพระธรรม
ความเคารพในพระสงฆ์
ความเคารพในสิกขา
ความเคารพในอัปปมาท
ความเคารพในปฏิสันถาร
นี้คือความเคารพ ๖.

@@@@@@@

ในอปริหานิยสูตร อังคุตรนิกาย ฉักกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๒ ข้อ ๓๐๓-๓๐๔ แสดง “คารวะ” ๖ อย่าง ไว้ดังนี้

(ต้นฉบับบาลีบางส่วนเฉพาะที่เป็นบทหลัก)
…. ฉยิเม ภนฺเต ธมฺมา ภิกฺขุโน อปริหานาย สํวตฺตนฺติ, กตเม ฉ, สตฺถุคารวตา ธมฺมคารวตา สงฺฆคารวตา สิกฺขาคารวตา อปฺปมาทคารวตา ปฏิสนฺถารคารวตา. อิเม โข ภนฺเต ฉ ธมฺมา ภิกฺขุโน อปริหานาย สํวตฺตนฺตีติ. ….

(คำแปลเต็มพระสูตร)
ครั้งนั้น เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสวเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่อันควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๖ ประการนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ –

ความเป็นผู้เคารพในพระศาสดา ๑
ความเป็นผู้เคารพในพระธรรม ๑
ความเป็นผู้เคารพในพระสงฆ์ ๑
ความเป็นผู้เคารพในสิกขา ๑
ความเป็นผู้เคารพในความไม่ประมาท ๑
ความเป็นผู้เคารพในปฏิสันถาร ๑
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๖ ประการนี้แลย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ

เทวดาตนนั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย ลำดับนั้น เทวดาตนนั้นรู้ว่า “พระศาสดาทรงพอพระทัย (คำ) ของเรา” จึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้น


@@@@@@@

ครั้นพอล่วงราตรีนั้นไป พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาตนหนึ่ง มีรัศมีงามยิ่งนัก ยังวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสวแล้ว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่อันควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๖ ประการนี้ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน? คือ

ความเป็นผู้เคารพในพระศาสดา ๑
ความเป็นผู้เคารพในพระธรรม ๑
ความเป็นผู้เคารพในพระสงฆ์ ๑
ความเป็นผู้เคารพในสิกขา ๑
ความเป็นผู้เคารพในความไม่ประมาท ๑
ความเป็นผู้เคารพในปฏิสันถาร ๑
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๖ ประการนี้แลย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาตนนั้นได้กล่าวดังนี้ แล้วอภิวาทเรา ทำประทักษิณแล้วได้หายไป ณ ที่นั้น.

(จบข้อความในอปริหานิยสูตร)

@@@@@@@

อีกแห่งหนึ่ง ในอัปปมาทสูตร อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต พระไตรปิฎกเล่ม ๒๓ ข้อ ๒๙ แสดง “คารวะ” อีกชุดหนึ่ง มี ๗ อย่าง , ๖ อย่างเหมือนในอปริหานิยสูตร เพียงแต่เพิ่ม “สมาธิคารวตา ความเป็นผู้เคารพในสมาธิ” อีกข้อหนึ่ง เรียงลำดับต่อจาก สิกฺขาคารวตา คือแทรกระหว่าง สิกฺขาคารวตา กับ อปฺปมาทคารวตา

ตอนท้ายมีคาถาสรุปดังนี้

สตฺถุครุ ธมฺมครุ
สงฺเฆ จ ติพฺพคารโว
สมาธิครุ อาตาปี
สิกฺขาย ติพฺพคารโว.
อปฺปมาทครุ ภิกฺขุ
ปฏิสนฺถารคารโว
อภพฺโพ ปริหานาย
นิพฺพานสฺเสว สนฺติเก.

ภิกษุผู้เคารพในพระศาสดา เคารพในพระธรรม
เคารพอย่างแรงกล้าในพระสงฆ์
เคารพในสมาธิ มีความเพียร
เคารพอย่างแรงกล้าในสิกขา
เคารพในความไม่ประมาท
เคารพในปฏิสันถาร
ย่อมเป็นผู้ไม่ควรที่จะเสื่อม
ดำรงอยู่ ณ ที่ใกล้นิพพานทีเดียว

หมายเหตุ : คาถาสรุปนี้ในอปริหานิยสูตรก็มีเหมือนกัน ต่างแต่ไม่มี ๒ บาท คือ “สมาธิครุ อาตาปี สิกฺขาย ติพฺพคารโว.” นอกนั้นเหมือนกัน





เป็นอันได้ความตามพระไตรปิฎกว่า “ปฏิสันถาร” ท่านจัดเข้าเป็น ๑ ในสิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญ ๗ อย่าง , ๓ อย่างคือพระรัตนตรัย อีก ๓ อย่างคือ “สิกขา” “สมาธิ” และ “อัปปมาท” ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ “อัปปมาท” (ความไม่ประมาท) เป็นสุดยอดแห่งคำสอนในพระพุทธศาสนา

ทำไมท่านจึงจัด “ปฏิสันถาร” ว่าเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ
เทียบเท่ากับพระรัตนตรัย
เทียบเท่ากับการศึกษา
เทียบเท่ากับสมาธิ
เทียบเท่ากับความไม่ประมาท
ทั้งๆ ที่ “ปฏิสันถาร” เป็นธรรมะเพียงแค่ระดับ “มารยาทสังคม” เท่านั้น เป็นเรื่องที่ควรพิจารณาอย่างลึกซึ้ง

     • ลองนึกดูง่ายๆ เราให้ความสำคัญแก่พระรัตนตรัยเพียงใด ก็ต้องให้ความสำคัญแก่ “ปฏิสันถาร” เพียงนั้น ใช่หรือไม่.?
     • แต่ในสายตาของชาวเราและที่ปฏิบัติกันทั่วไป เราเคยให้ความสำคัญแก่ “ปฏิสันถาร” มากเท่ากับพระรัตนตรัยหรือไม่.?
     • เราเห็นความสำคัญของ “ปฏิสันถาร” มากถึงขนาดนั้นหรือไม่.?
     • ถ้าเทียบกับพระรัตนตรัย เทียบกับการศึกษา เทียบกับสมาธิ เทียบกับความไม่ประมาทแล้ว “ปฏิสันถาร” ก็เป็นม้านอกสายตา แทบจะไม่มีใครนึกถึงกันเลยด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่.?

@@@@@@@

ลองนึกดูเถิด เราทุ่มเทให้กับการศึกษา เรามีสำนักฝึกปฏิบัติสมาธิ เราสอนสมาธิควบคู่กับวิปัสสนาในฐานะเป็นธรรมะระดับสูง เรายกย่องเชิดชูอัปปมาทธรรมไว้ในที่สูงสุด

แต่มีที่ไหนนึกถึง “ปฏิสันถาร” บ้าง มีสำนักไหนบ้างที่ยกเอา “ปฏิสันถาร” ขึ้นมาฝึกสอนกันในระดับสำคัญเหมือนที่ฝึกสอนสมาธิวิปัสสนา

ปฏิสันถารที่ถูกต้องเหมาะสม อำนวยประโยชน์ยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดคุณอนันต์เพียงไร.?
ปฏิสันถารที่บกพร่อง หละหลวม หรือละเลย ทำลายประโยชน์ยิ่งใหญ่ ก่อให้เกิดโทษมหันต์ปานไหน.?

ใครจำเรื่องในคัมภีร์ได้บ้าง ลองนำมาเล่าสู่กันฟังสักเรื่องสองเรื่องสิขอรับ-อย่างเรื่องศากยวงศ์พินาศเพราะการปฏิสันถารที่ผิดพลาดนั่นก็ได้

ใครที่ผ่านชีวิตผ่านโลกมาพอสมควร ย่อมจะเคยได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็น หรือแม้แต่ได้ประสบของจริงมาด้วยตัวเองกันบ้างแล้ว-มากพอที่จะหาเหตุผลมาตอบได้ว่า ทำไมท่านจึงให้ความสำคัญแก่ “ปฏิสันถาร” เทียบเท่ากับพระรัตนตรัย เทียบเท่ากับการศึกษา เทียบเท่ากับสมาธิ และเทียบเท่ากับความไม่ประมาท

ทำไมเรามองข้าม “เพชร” ที่สำคัญที่สุดกันได้ถึงขนาดนี้.?
ถ้ายังไม่เคยคิด ต้องเริ่มคิดกันแล้วนะครับ และถ้ายังไม่ฉุกคิดว่าเราหมกเพชรเม็ดงามไว้ในโคลน หรือพูดให้ตรงกว่านั้น-เราเหยียบเพชรเม็ดงามไว้ใต้ฝ่าเท้าโดยไม่รู้คุณค่า เราก็จะเป็นมนุษย์ที่โงเขลาเบาปัญญาเป็นที่สุด

วัดสามหมื่น-สี่หมื่นวัด เพชรสามหมื่น-สี่หมื่นเม็ด ช่วยกันคิดสิขอรับว่า จะขุดขึ้นมาเจียระไนประดับไว้ในพระศาสนาให้งามแวววาวได้อย่างไร กราบละขอรับ-กรุณาอย่าลากภูเขามาขวางทางกันอยู่เลย


        นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย
        ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ | ๑๘:๕๗




Thank to : https://dhamtara.com/?p=23745
10 มิถุนายน 2020 | admin2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 11, 2025, 10:24:10 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29569
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฏิสันถารคารวะ เพชรที่ถูกมองข้าม
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2025, 08:50:57 am »
0
.



พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ สุตฺต. องฺ. (๔) : สตฺตก-อฏฺฐก-นวกนิปาตา

เทวตาวคฺโค จตุตฺโถ


[๒๙] อถโข อญฺญตรา เทวตา อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา เยน ภควาเตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิ เอกมนฺตํ ฐิตา โข สา เทวตา ภควนฺตํ เอตทโวจ สตฺติเม ภนฺเต ธมฺมา ภิกฺขุโน อปริหานาย สํวตฺตนฺติ
   
{๒๙.๑} กตเม สตฺต สตฺถุคารวตา ธมฺมคารวตา สงฺฆคารวตา สิกฺขาคารวตา สมาธิคารวตา อปฺปมาทคารวตา ปฏิสนฺถารคารวตา

อิเม โข ภนฺเต สตฺต ธมฺมา ภิกฺขุโน อปริหานาย สํวตฺตนฺตีติ อิทมโวจ สา เทวตา สมนุญฺโญ สตฺถา อโหสิ ฯ

อถโข สา เทวตา สมนุญฺโญ เม สตฺถาติ ภควนฺตํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายิ ฯ
     
{๒๙.๒} อถโข ภควา ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ภิกฺขู อามนฺเตสิ อิมํ ภิกฺขเว รตฺตึ อญฺญตรา เทวตา อภิกฺกนฺตาย รตฺติยา อภิกฺกนฺตวณฺณา เกวลกปฺปํ เชตวนํ โอภาเสตฺวา เยนาหํ เตนุปสงฺกมิ อุปสงฺกมิตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา เอกมนฺตํ อฏฺฐาสิ เอกมนฺตํ ฐิตา โข ภิกฺขเว สาเทวตา มํ เอตทโวจ สตฺติเม ภนฺเต ธมฺมา ภิกฺขุโน อปริหานาย สํวตฺตนฺติ

กตเม สตฺต ตา อิเม โข ภนฺเต สตฺต ธมฺมา ภิกฺขุโน อปริหานาย สํวตฺตนฺตีติ อิทมโวจ 

ภิกฺขเว สา เทวตา อิทํ วตฺวา มํ อภิวาเทตฺวา ปทกฺขิณํ กตฺวา ตตฺเถวนฺตรธายีติ ฯ
         
สตฺถุครุ ธมฺมครุ        สํเฆ จ ติพฺพคารโว
สมาธิครุ อาตาปี       สิกฺขาย ติพฺพคารโว
อปฺปมาทครุ ภิกฺขุ     ปฏิสนฺถารคารโว
อภพฺโพ ปริหานาย    นิพฺพานสฺเสว สนฺติเกติ ฯ

____________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=23&item=29&items=1





พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต


๔. เทวตาวรรค หมวดว่าด้วยเทวดา
๑. อัปปมาทคารวสูตร ว่าด้วยความเคารพในความไม่ประมาท


[๓๒] ครั้งนั้น เมื่อราตรีผ่านไป(๑-) เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก เปล่งรัศมีให้สว่างไปทั่วพระเชตวัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
       
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๗ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ       
 
ธรรม ๗ ประการ อะไรบ้าง คือ     
๑. ความเป็นผู้มีความเคารพในพระศาสดา             
๒. ความเป็นผู้มีความเคารพในพระธรรม           
๓. ความเป็นผู้มีความเคารพในพระสงฆ์         
๔. ความเป็นผู้มีความเคารพในสิกขา           
๕. ความเป็นผู้มีความเคารพในสมาธิ             
๖. ความเป็นผู้มีความเคารพในความไม่ประมาท         
๗. ความเป็นผู้มีความเคารพในปฏิสันถาร(๒-)
       
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ”

เมื่อเทวดานั้นได้กราบทูลดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย ครั้นเทวดานั้นรู้ว่า ‘พระศาสดาทรงพอพระทัยเรา’ จึงถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ(๓-) แล้วหายไป ณ ที่นั้นแล
       
@@@@@@@

ครั้นคืนนั้นผ่านไป พระผู้มีพระภาคได้รับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคืนนี้ เมื่อราตรีผ่านไป เทวดาองค์หนึ่งมีวรรณะงดงามยิ่งนัก เปล่งรัศมีให้สว่างไปทั่วพระเชตวัน เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ไหว้เราแล้วยืนอยู่ ณที่สมควร ได้กล่าวกับเราดังนี้ว่า
       
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๗ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ
       
ธรรม ๗ ประการ อะไรบ้าง คือ
๑. ความเป็นผู้มีความเคารพในพระศาสดา
๒. ความเป็นผู้มีความเคารพในพระธรรม
๓. ความเป็นผู้มีความเคารพในพระสงฆ์
๔. ความเป็นผู้มีความเคารพในสิกขา
๕. ความเป็นผู้มีความเคารพในสมาธิ
๖. ความเป็นผู้มีความเคารพในความไม่ประมาท
๗. ความเป็นผู้มีความเคารพในปฏิสันถาร
       
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรม ๗ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เสื่อมแก่ภิกษุ
       
ภิกษุทั้งหลาย เทวดานั้นครั้นกล่าวดังนี้แล้ว จึงไหว้เรา ทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้นแล


@@@@@@@

ภิกษุมีความเคารพในศาสดา
มีความเคารพในธรรม
มีความเคารพอย่างแรงกล้าในสงฆ์
มีความเคารพในสมาธิ มีความเพียร
มีความเคารพอย่างแรงกล้าในสิกขา
มีความเคารพในความไม่ประมาท
มีความเคารพในปฏิสันถาร
เป็นผู้ไม่ควรเสื่อม ดำรงอยู่ใกล้นิพพานทีเดียว

           อัปปมาทคารวสูตรที่ ๑ จบ

___________________________
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=23&siri=29





เชิงอรรถ

(๑-) ราตรีผ่านไป ในที่นี้หมายถึงปฐมยาม (ยามแรก) กำหนดเวลา ๔ ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา ๑๘ นาฬิกา ถึง ๒๒ นาฬิกาแห่งราตรีผ่านไป กำลังอยู่ในช่วงมัชฌิมยาม (ยามท่ามกลาง) คือ กำลังอยู่ในช่วงเวลา ๒๒ นาฬิกา ถึง ๒ นาฬิกาของวันใหม่ (องฺ.ฉกฺก.อ. ๓/๒๑-๒๒/๑๐๘) และดู องฺ.ฉกฺก. (แปล) ๒๒/๓๒/๔๗๘

(๒-) ปฏิสันถาร ในที่นี้หมายถึงการต้อนรับ มี ๒ อย่าง คือ
      (๑) อามิสปฏิสันถาร (การต้อนรับด้วยอามิส)
      (๒) ธัมมปฏิสันถาร (การต้อนรับด้วยธรรม) (องฺ.ทุก. (แปล) ๒๐/๑๕๓/๑๒๓)

(๓-) ทำประทักษิณ หมายถึง เดินเวียนขวา โดยการประนมมือเวียนไปทางขวาตามเข็มนาฬิกา ๓ รอบ มีผู้ที่ตนเคารพอยู่ทางขวา เสร็จแล้วหันหน้าไปทางผู้ที่ตนเคารพ เดินถอยหลังจนสุดสายตา จนมองไม่เห็นผู้ที่ตนเคารพ แล้วคุกเข่าลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ (การกราบด้วยอวัยวะทั้ง ๕ อย่าง ลงกับพื้น คือ กราบเอาเข่าทั้งสอง มือทั้งสอง และศีรษะ (หน้าผาก) จรดลงกับพื้น) แล้วลุกขึ้นเดินจากไป (วิ.อ. ๑/๑๕/๑๗๖-๑๗๗)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 11, 2025, 10:38:34 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29569
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ปฏิสันถารคารวะ เพชรที่ถูกมองข้าม
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: ธันวาคม 11, 2025, 11:42:11 am »
0
.



[31] ปฏิสันถาร 2 (การต้อนรับ, การรับรอง, การทักทายปราศรัย)
       
1. อามิสปฏิสันถาร (ปฏิสันถารด้วยสิ่งของ)
2. ธรรมปฏิสันถาร (ปฏิสันถารด้วยธรรมหรือโดยธรรม
)


องฺ.ทุก. 20/397/116.
อภิ.วิ. 35/921/487.
____________________________
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)

 :25: :25: :25:

ปฏิสันถาร การทักทายปราศรัย,การต้อนรับแขก มี ๒ อย่างคือ
       
๑. อามิสปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยสิ่งของ
๒. ธรรมปฏิสันถาร ต้อนรับด้วยธรรม คือ กล่าวแนะนำในทางธรรม
           
อีกนัยหนึ่งว่า ต้อนรับโดยธรรม คือ การต้อนรับที่ทำพอดีสมควรแก่ฐานะของแขก มีการลุกรับเป็นต้น หรือช่วยเหลือสงเคราะห์ ขจัดปัญหาข้อติดขัด ทำกุศลกิจให้ลุล่วง

________________________
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)



 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๐  พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต


[๓๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิสันถาร ๒ อย่างนี้
          ๒ อย่างเป็นไฉน คือ
          อามิสปฏิสันถาร ๑
          ธรรมปฏิสันถาร ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิสันถาร ๒ อย่างนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาปฏิสันถาร ๒ อย่างนี้ ธรรมปฏิสันถารเป็นเลิศ ฯ

___________________________
https://84000.org/tipitaka/read/?20/397/116

 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕  พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์

[๙๒๑] อสาขัลยะ ความเป็นผู้มีวาจาไม่อ่อนหวาน เป็นไฉน
         วาจาใด เป็นปม หยาบคาย เผ็ดร้อนต่อผู้อื่น กระทบผู้อื่น ยั่วให้โกรธ ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ บุคคลพูดวาจาเช่นนั้น ความเป็นผู้มีวาจาไม่อ่อนหวาน ความเป็นผู้มีวาจาไม่สละสลวย
         ความเป็นผู้มีวาจาหยาบในลักษณะดังกล่าวนั้น อันใด
         นี้เรียกว่า อสาขัลยะ ความเป็นผู้มีวาจาไม่อ่อนหวาน
             
         อัปปฏิสันถาระ ความไม่มีการปฏิสันถาร เป็นไฉน
         ปฏิสันถาร ๒ คือ
         อามิสปฏิสันถาร ๑
         ธัมมปฏิสันถาร ๑
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่ทำการปฏิสันถาร ด้วยอามิสปฏิสันถาร หรือด้วยธัมมปฏิสันถาร นี้เรียกว่า อัปปฏิสันถาระ ความไม่มีการปฏิสันถาร

__________________________
https://84000.org/tipitaka/read/?35/921
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ