ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: แคว้นสักกะ และ ศากยวงศ์  (อ่าน 7277 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
แคว้นสักกะ และ ศากยวงศ์
« เมื่อ: มิถุนายน 09, 2011, 01:17:18 pm »
0


แคว้นสักกะ และ ศากยวงศ์


เจ้าศากยะทั้งหลายมีเชื้อชาติเป็นชาวอริยะหรืออารยัน ซึ่งเหล่าศากยวงศ์ล้วนมีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญประการหนึ่งคือถือตัวจัดด้วยถือว่าชาติตระกูลของตนอยู่ในวรรณะกษัตริย์ อันเป็นวรรณะสูงสุด แม้ในเหล่าวรรณะกษัตริย์ด้วยกัน เจ้าศากยะก็ถือตัวว่ายิ่งใหญ่และบริสุทธิ์โดยสายเลือดกว่าใคร ๆ ด้วยเหตุนี้ บรรดาเจ้าศากยะจึงอภิเษกสมรสกันในหมู่พี่น้องร่วมพระบิดามารดาเดียวกัน หรือในหมู่วงศานุวงศ์ใกล้ชิด เช่น กับราชวงศ์โกลิยะ แห่งกรุงเทวทหะ ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูลเดียวกัน

ต้นตระกูลของวงศ์ศากยะ คือ พระเจ้าโอกากราช กษัตริย์ผู้ทรงมีพระยศใหญ่ผู้สืบเชื้อสายมาจากต้นปฐมกษัตริย์แห่งศากยะ ซึ่งกล่าวไว้ว่าสืบต่อสัตติวงศ์เป็นปฐมตามลำดับมาถึง ๑๑ พระองค์ แล้วแตกขยายวงศ์ออกไปอีกถึง ๔๘,๐๐๐ พระองค์ เรียงลำดับมาถึงพระเจ้าโอกากราช ที่ ๓  จึงทรงมีพระราชโอรสและธิดารวมกัน ๙ พระองค์ ซึ่งโอรสและธิดาทั้ง ๙ พระองค์มาจากพระมารดาองค์ใหญ่ โดยเมื่อพระมเหษีองค์ใหญ่เสด็จสวรรคต

จึงได้เกิดแย่งชิงราชสมบัติกันขึ้น พระเจ้าโอกากราชที่ ๓ จึงได้ตัดสินพระทัยยกราชสมบัติทั้งหมดนั้นให้แก่พระโอรสของพระมเหษีองค์ใหม่ ส่วนโอรสธิดาทั้ง ๙ พระองค์นั้นก็ให้เสด็จออกจากเมืองไปตั้งพระนครแห่งใหม่ที่กลางป่าสักกะ ซึ่งบริเวณป่าสักกะนี้เป็นที่อยู่ของฤาษีกบิล หรือกบิลฤาษี โดยการตั้งนครแห่งใหม่นี้ได้ถูกขนานนามว่า “กบิลพัสดุ์” ตามชื่อของกบิลฤาษีนั้น และโดยธรรมเนียมโบราณนั้นการสมรสนอกราชตระกูลไม่เป็นประเพณีนิยมทั้งนี้เพื่อการรักษาความบริสุทธิ์แห่งสายโลหิต

 ดังนั้น พระโอรสและพระธิดาจึงได้อภิเษกซึ่งกันและกันจำนวน ๔ คู่ คือ  ๘  ท่าน ระหว่างชายกับหญิง พี่กับน้อง ยังเหลือพระธิดาองค์โตที่ต่อมาภายหลังได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าพาราณสีแล้วตั้งเมืองใหม่ขึ้นคือเมือง “เทวทหะ” แล้วโอรสธิดาของทั้งสองเมืองคือ กบิลพัสดุ์ และ เทวทหะ จึงได้อภิเษกสมรสกันนับแต่นั้น


นครกบิลพัสดุ์นั้นเป็นสกุลของพระศาสดา เป็นผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ สืบเชื้อสายลงมาโดยลำดับจนถึงพระเจ้าชยเสนะ พระเจ้าชยเสนะ นั้น มีพระราชบุตรพระนามว่า สีหนุ มีพระราชบุตรีพระนามว่า ยโสธรา ครั้นพระเจ้าชยเสนะทิวงคตแล้ว สีหนุราชบุตรได้ทรงครองราชย์สืบพระวงศ์ต่อมา ท้าวเธอทรงมีพระมเหสีพระนามว่า กัญจนา ซึ่งเป็นกนิษฐภคินีของพระเจ้าอัญชนะ เจ้าผู้ครองเทวทหะนคร

พระเจ้าสีหนุและพระนางกัญจนา มีพระราชบุตร ๕ พระองค์ คือ สุทโธทนะ ๑ (ต่อมาคือพุทธบิดา) สุกโกทนะ ๑ อมิโตทนะ ๑ โธโตทนะ ๑ ฆนิโตทนะ ๑ และ มีพระราชบุตรี ๒ พระองค์ คือ ปมิตา ๑ อมิตา ๑

ส่วนพระนางยโสธรา ผู้เป็นกนิษฐภคินีของพระเจ้าสีหนุนั้น ได้เป็นมเหสีของ พระเจ้าอัญชนะ มีพระราชบุตร ๒ พระองค์ คือ สุปปพุทธะ ๑ ทัณฑปาณิ ๑ พระราชบุตรี ๒ พระองค์ คือ มายา(หรือพระนางสิริมหามายาพระพุทธมารดา) ๑ และปชาบดี ๑ (หรือพระนางมหาปชาบดีซึ่งต่อมาคือพระน้านางผู้ทรงได้เป็น ภิกษุณีสงฆ์องค์แรกของพระพุทธศาสนา)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระศาสดาของเราทั้งหลายได้เสด็จมาอุบัติขึ้นในพวกอริยกชาติ ในจังหวัดมัชฌิมชนบท ชมพูทวีป แคว้นสักกะ ในสกุลกษัตริย์พวกศากยะผู้โคตมโคตร เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโธทนศากยะเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์ กับพระนางมายา ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี.

ที่มา http://www.phuttha.com/พระพุทธเจ้า/ปฐมบทเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ