ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: นาลันทา นักรบในเปลวเพลิง  (อ่าน 3500 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
นาลันทา นักรบในเปลวเพลิง
« เมื่อ: มิถุนายน 13, 2011, 07:18:18 pm »
0

นาลันทา นักรบในเปลวเพลิง


ประวัติการพลีชีพในพระพุทธสาสนา นั้นไม่ได้ไปพลีชีพเพื่อทำร้ายใครเลย แต่เป็นการตั้งสัจจะในการบำเพ็ญเพียรหรือทำความดีอย่างใดอันหนึ่งเท่านั้น เพราะพระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้นไม่ใช้ความรุนแรงทุกประเภท ปฏิเสธการทำสงคราม ส่วนใหญ่จะหนีสงคราม นิสัยเก่าของชาวพุทธก็ยังติดมาจนถึงปัจจุบัน ภายในสามปี ประชากรชาวพุทธในสามจังหวัดภาคใต้ของไทย จาก สามแสนคน ปัจจุบันเหลืออยู่เพียง เก้าหมื่นคนเท่านั้น วัดก็ร้างไปหลายวัดแล้ว 

มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ของพวกเติร์กสมัยที่บุกเข้านาลันทา ว่าพวกเติร์กคิดว่านาลันทาเป็นป้อมปราการแห่งหนึ่ง ทหารเติร์กพังประตูเข้าไปโดยปราศจากการต่อต้านใดๆ ภายในมีนักรบหัวโล้นห่มผ้าสีเหลือง นักรบในป้อมเหล่านั้น นั่งสงบนิ่งกันเป็นกลุ่มๆ ครั้นทหารเอาดาบฟันหัวขาดกระเด็นไปทีละคน นักรบเหล่านั้นก็มิได้มีความเกรงกลัว ก็พากันนั่งสงบให้ทหารตัดหัวไปทีละคน จนหมดสิ้นไป 

มินฮัช (Minhaj) นักประวัติศาสตร์ มุสลิมได้เล่าถึง โมฮัมเม็ด บุขเตียร์ (Mohammed Bukhtiar) ทำลายเมืองๆหนึ่ง ในแคว้นพิหารตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งวิชาการ ของพระพุทธศาสนา แห่งหนึ่ง เมืองนี้ก็คือนาลันทา นั่นเอง.

ข้อมูลบางแหล่งว่า พวกมุสลิมซึ่งมีแม่ทัพชื่อ บักตยาร์ ขิลจิ พร้อมทหาร 200 คน บุกเข้ามาฆ่าพระสงฆ์ องค์แล้วองค์เล่า แต่พระภิกษุสงฆ์เหล่านั้น ก็ยังคงนั่งกันเฉย ไม่ลุกหนี  ไม่ต่อสู้.บางท่านเล่าถึง การบุกโจมตีนาลันทาว่า

“ป้อมปราการที่นี่ ช่างน่าแปลก นักรบทุกคน ล้วนแต่นุ่งห่มสีเหลือง โกนหัวโล้น ไม่มีอาวุธในมือ นั่งกันอยู่เป็นแถวๆ เมื่อเราบุกเข้าไปถึง ก็ไม่ลุกหนี ไม่ต่อสู้ เมื่อเราเอามีดฟันคอขาด คนแล้วคนเล่า ก็ยังนั่งกันอยู่เฉยๆ ไม่ร้องขอชีวิต ไม่โอดครวญ”

ตารนาถกล่าวว่า มุสลิมได้สร้างความพินาศ ย่อยยับ ให้แก่นาลันทา, โดยฆ่าพระภิกษุ อย่างเหี้ยมเกรียม บุกรุกทำลาย จุดไฟเผา จนนาลันทา กลายสภาพ เป็นเถ้าถ่านไป ในที่สุด.พวกมุสลิม ยังได้เผาทำลาย ตำรับตำราต่างๆ ในทางพระพุทธศาสนา ในมหาวิทยาลัยนาลันทา จนหมดสิ้น.

กล่าวกันว่า เผาตำรับตำราอยู่ถึง 3 เดือน จึงได้เผาหมด. นอกจากนี้มุสลิม ยังเอาไฟคอกพระภิกษุ โดยหวังจะให้ตายให้หมด แต่ก็ยังมี พระส่วนน้อยที่หนีไปได้ โดยหนีเข้าไปอยู่ ในธิเบตบ้าง เนปาลบ้าง.เมื่อได้ฆ่าและเผาแล้ว พวกมุสลิม ยังได้ขนเอาทรัพย์สมบัติ อันมหาศาลไปด้วย. มุสลิมนั้น หวังจะทำลาย พระพุทธศาสนา ให้หมดสิ้น ไปจากอินเดีย.


แต่ของทางมหายานเช่นจีนหรือญี่ปุ่น นี่แปลกออกไปเลย อย่างวัดเส้าหลินเนื่องจากพระโดนนักบวชลัทธิเต๋ารังแก ท่านตั๊กม้อ จึงฝึกศิลปะวรยุทธ์ให้ป้องกันตัว แต่กาลเวลาผ่านไปกลายเป็นพระนักรบไปเสีย


บางครั้งจักรพรรดิ์ในราชวงศ์ต่างๆก็เข้ามาขอความช่วยเหลือหรือใช้วัดเส้าหลินเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองและการทหาร วัดก็กลายเป็นโรงฝึกกังฟู ฝึกทหาร แทนการศึกษาพระธรรม ในปัจจุบันกลายเป็นโรงถ่ายหนัง กับ สถานที่ขายของระลึกให้กับนักท่องเที่ยวแทน พระภิกษุกับวัดก็มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ

ญี่ปุ่นเองก็ใช่ย่อย ในประวัติศาสตร์ พระญี่ปุ่นก็เกี่ยวข้องกับการทหารมากๆ ถึงกับช่วยทหารรบในสงครามเลยทีเดียว เนื่องจากชนชั้นทางสังคมในญี่ปุ่นที่นิยมนับถือพระพุทธศาสนามากที่สุดคือ ชนชั้นซามูไร ส่วนพวกขุนนางและพระราชวงศ์นั้นเขาถือลัทธิชินโต ส่วนชาวบ้านนั้นก็ชินโตผสมกับพุทธเห็นอะไรดีก็ไหว้ เพราะ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความรู้มากพอที่จะศึกษาพระพุทธศาสนา

ดังนั้นเมื่อ ชนชั้นซามูไร ซึ่งเป็นพวกนักรบ นิยมชมชอบ และสนับสนุนพระพุทธศาสนามาก จนเกิดวิธีการแบบที่เรียกว่า ฆ่าคนด้วยจิตว่าง ซึ่งเป็นการหาทางออกแบบน้ำขุ่นๆของพวกซามูไรที่นับถือพระพุทธศาสนา เนื่องจากซามูไรเป็นอาชีพฆ่าคน ทีนี้พอนับถือพุทธแล้วประกอบอาชีพไม่ได้ ก็เลยต้องหาข้อแก้ตัวในลักษณะดังกล่าว เกิดการฆ่าชนิดที่เรียกว่า ฆ่าด้วยจิตว่าง

แต่จริงๆคือการฆ่าคนแบบไร้น้ำจิตน้ำใจมากกว่า ก็เห็นชัดเจนว่า พระพุทธศาสนาในญี่ปุ่นนั้นเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยโชกุนโตกุกาว่า แต่เมื่อเกิดการปฏิวัติล้มล้างระบบโชกุน โดยฝ่ายนิยมจักรพรรดิ ทำให้เกิดสมัยเมจิ ความสำคัญของพระพุทธศาสนาก็ค่อยๆลดทอนลง ความสำคัญของชินโตก็โดดเด่นมากขึ้น


ที่มา  http://www.gotoknow.org/blog/peacewarrior/93320
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ