« เมื่อ: กรกฎาคม 03, 2011, 10:17:58 am »
0
บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ
อาตมาคงท่องคาถาเหมือนเดิม เหยียบบนดอกบัว เหินฟัาสู่นภากาศ รู้สึกกว่าร่างกายค่อย ๆ โตขึ้นๆ จนได้ขนาดเท่ากับขนาดตอนพบอมิตพุทธเจ้า
พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวกับอาตมาว่า “เวไนยสัตว์ที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นสูง คือพวกที่ขณะอยู่ในสัพพะโลกก็มุมานะในการบำเพ็ญตน ถือศีลเครงครัดดังมุกมณี ขยันหมั่นเพียรศึกษาพุทธตำราละ 10 บาป ทำ 10 บุญ อาศัยตามวิธีการบำเพ็ญของตนไปประพฤติปฏิบัติให้เป็นจริง พากเพียรพยายาม มานะบากบั่น 10 ปีประหนึ่งวันวันเดียว จวบจนสังขารที่เป็นเลือดเนื้อดับสูญ บวกกับกุศลภายนอก เช่นทำบุญ ทำทาน ประกอบมหากุศล ดังนั้นในชั่วขณะหนึ่งก่อนตายก็ได้ไปเกิดยังบัวชั้นสูง”
เวไนยสัตว์ที่ไปเกิดยังระดับสูงของบัวชั้นสูง ความฝันเฟื่องนั้นพูดได้ว่าไม่มีโดยสิ้นเชิง ทวารทั้ง 6 บริสุทธิ์ พวกเขาบางคนก็บรรลุถึงขั้นของพระโพธิสัตว์แล้ว แปลงกายได้ตามใจปรารถนา ท่องเที่ยวแสดงเทวฤทธิ์เป็นต้นว่า บรรดาโพธิสัตว์เมื่ออยู่ด้วยกันนึกจะแปลงเป็นดอกไม้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ นึกจะแปลงเป็นเจดีย์ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นเจดีย์ นึกจะแปลงเป็นก้อนหินร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นก้อนหิน นึกจะแปลงเป็นต้นไม้ ร่างกายก็จะเปลี่ยนเป็นต้นไม้
ในสระบัวชั้นสูง ดอกบัวที่เล็กที่สุดก็มีขนาดใหญ่เท่าเนื้อที่ของ 3 มณฑล หรืออีกนัยหนึ่ง มีขนาดใหญ่เป็น 3 เท่าของประเทศมาเลเซีย พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า จะพาอาตมาไปดูที่สระ
เรามาถึงบริเวณสระบัว สระบัวชั้นสูงต่างกับที่อื่นจริง ๆรอบ ๆ สระมีลักษณะเด่นสง่า เคร่งขรึมกว่าบัวชั้นกลางละชั้นล่างมีรั้วล้อมเป็นชั้น ๆ เปล่งประกายแสงสีต่าง ๆ ทั้งส่งกลิ่นหอมรวยรินกลิ่นหอมเหล่านี้ขจรขจายออกมาจากดอกบัวในสระนั่นเอง กลางสระบัวมีรัตนเจดีย์ รูปลักษณะเหมือนภูเขาสูง ตัวเจดีย์เป็นรูปหลายเหลี่ยม เปล่งประกายสัพรังสีพวยพุ่ง กลางสระยังมีสะพานงามวิจิตรเนื้อที่ของสระกว้างใหญ่จนมองไม่เห็นขอบสระ ภายใน สระไม่เท่าแต่มีดอกบัวบานสะพรั่งเท่านั้น ยังมีการประดับทัศนียภาพนานาสารพัน บนท้องฟ้านภาลัยมีฉัตรทิพย์ สร้อยระย้าไข่มุกเปล่งแสงวาววามงามระยับ ดอกบัวมีชั้นกลีบดอกมากจนนับไม่ถ้วน แต่ละชั้นล้วนมีรัตนเจดีย์ ศาลา อาราม ตำหนัก วิหาร วิจิตรงดงามยิ่ง ผู้อาศัยอยู่บนดอกบัวทั่วสารพางค์กายเป็นสีทองคำอร่ามโปร่งใส อาภรณ์สวยงามเปล่งแสงสีต่าง ๆ
พระโพธิสัตว์กวนอิมพลันถามอาตมาว่า “ณ ที่นี้มีคนผู้หนึ่งชื่อ ยิ่งกวง พระธรรมาจารย์ (พระเถระชั้นสูงคนหนึ่งใน 3 คนของจีนในยุคปัจจุบัน) ท่านรู้จักไหม”
อาตมารีบถามว่า“อยู่ไหน อาตมาได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านมานานแล้ว มีความเลื่อมใสศรัทธายิ่ง แต่ว่ายังไม่มีวาสนาได้พบหน้า ท่าน เลย”
ขณะกล่าววาจา ก็เห็นชายคนหนึ่งอายุ 30 เศษ พลันแปลงกายเป็นโฉมหน้าเดิมของพระธรรมาจารย์ยิ่งกวง ได้พบหน้ากันรู้สึกดีใจมาก หลังจากคารวะต่อกันแล้ว ก็เริ่มสนทนากันอย่างออกรสออกชาติเราคุยถึงเรื่องต่าง ๆ ลืมไปแล้วเสียส่วนมาก แต่ที่ยังจำได้แม่นยำคือคำสั่งกำชับของท่าน ท่านกล่าวว่า “อาตมาหวังว่าหลังจากที่ท่านกลับถึงแดนมนุษย์แล้ว จะได้ถ่ายทอดให้ผู้ร่วมทางธรรมได้ตระหนักทั่วกันว่า จะต้องถือศีลเป็นครู รักษาพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดสวดมนต์ไหว้พระ ศรัทธา ปณิธาน ปฎิปทา ก็จะตัองได้ใปเกิดยังสุคติภพแน่นอน จงเตือนพวกบำเพ็ญตนบางคน อย่าได้ทำเป็นอวดฉลาด เที่ยวแก้ไขเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยและระบบระเบียบที่พระพุทธองค์บัญญัติ ไว้โดยพลการ ป่าวร้องการเผยแพร่ธรรมะอย่างปฎิรูป ทำลายภาพพจน์ ละเมิดพระธรรมวินัย ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสลดจริง ๆ
เราเดินลงจากบัลลังก์ดอกบัวพร้อมกัน ท่านพาอาตมาไปยังตำหนักใหญ่ ตลอดทางมีปักษินเทวานานาชนิด ขับขานดนตรีอยู่บนกิ่งทองใบหยก ประสานกับเสียงมโหรีทิพย์พิมาน เสียงสวดมนต์ไพเราะเสนาะหูแว่วมาตามลม ทุกถิ่นสถานบานสะพรั่งไปด้วยดอกไม้สวยงามนานาพรรณส่งกลิ่นหอมรวยริน ช่อดอกรูปทรงกลมส่งประกายวาววับยังมีโคมไข่มุก โคมโมรา โคมแก้ว ตั้งเรียงรายเป็นทิวแถว ส่องประกายรัศมีสีสันต่าง ๆ จับนัยน์ตาพร่าพราย วิจิตรงดงามยากจะบรรยาย
บัวชั้นกลาง (สถานที่อยู่รวมของสามัญบุลคลกับอริยบุคคล)
“อัฐคีรีภาพ”
“พิพิธภัณฑ์ของโลกศรีปิฎก”
บัวชั้นสูง ดอกบานเห็นพุทธยะ
การไขปริศนาธรรมของอมิตพุทธเจ้า
กลับถึงถำหมีเล่อในแดนมนุษย์
ถือศีลเป็นพื้นฐาน รักษาศีลบริสุทธิ์ดุจมุกมณี ถือศีลเป็นครู
เข้าสู่ตำหนัก ภาพยิ่งสวยงามพิสดาร ทำเอาอาตมาเหมือนต้องมนต์สะกด ภายในหอเปล่งแสงสีทอง พื้นก็เปล่งประกายแสงสีต่าง ๆทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าล้วนเปล่งแสงในตัวได้ทั้งสิ้น พระธรรมมาจารย์ยิ่งกวงนำอาตมาขึ้นไปยังหอชั้นบน บนหอเก็บรวบรวมกระจกแก้วผลึกนานาชนิด ตรงกลางเป็นกระจกบานใหญ่ที่ส่องได้ทั้งตัวพระโพธิสัตว์กวนอิมแนะว่า “กระจกบานนี้จะส่องโฉมหน้าแท้จริงของทุกคนออกมาได้ ธาตุแท้บริสุทธิ์หรือไม่ มีความคิดฝันเฟื่องหรือไม่พอส่งกระจกดูก็จะเห็น ได้ชัด” ภายในหอมีม้านั่งตั้งเรียงรายอยู่ 2ข้างอย่างเป็นระเบียบ ม้านั่งเหล่านี้ประกอบด้วยรัตนะ 7 มีแสงในตัวบนโต๊ะตั้งของรูปร่างแปลกๆ ไว้ อาตมาดูไม่ออกว่าเป็นอะไรกันแน่พระโพธิสัตว์กวนอิมทราบว่าอาตมาคงหิวแล้ว จึงถามขึ้นว่า “หิวแล้วใช่ไหมล่ะ” ว่ากันตามจริง อาตมารู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน จึงตอบไปว่า“มีของอะไรพอกินแก้หิวได้บ้างไหมครับ”
ท่านตอบว่า “ของกินที่นี่ก็เหมือนกับที่บัวชั้นล่าง ท่านอยากกินของสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมาเอง” อาตมากล่าวว่า“งั้นก็ดีซี อาตมาอยากกินข้าวสวย แกงจืดผักกาดขาว อย่างอื่นไม่เอา”
กล่าวไม่ทันขาดคำ ข้าวสวย แกงจืดผักกาดขาวก็ตั้งอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า อาตมาถามทุกคนว่า“พวกท่านไม่ทานด้วยหรือ
พวกเขากล่าวว่า“โดยทั่วไปพวกเราไม่ต้องกินอะไรอยู่แล้วท่านตามสบายเถิด”
ตามที่ทราบ เวไนยสัตว์ในระดับสูงของบัวชั้นสูง ส่วนใหญ่จะสำเร็จเป็นโพธิสัตว์ ความฝันเฟื่องกระหายอยากอาหารจึงมีน้อยมาก กระทั่งไม่มีเลย เปรียบกับอาตมาแล้วก็ให้รู้สึกละอายใจ กินไปกินไป จนกระทั่งอิ่ม วางชามตะเกียบลงบนโต๊ะ พริบตาเดียวชามตะเกียบบนโต๊ะก็อันตรธานไปสิ้น อาตมาถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า“ทำไมถึงเป็น เช่นนั้น”
ท่านตอบว่า “นั่นเป็นเพราะท่านคิดว่าท่านหิว ก็นึกอยากจะกินข้าว ก็เหมือนผู้คนในโลกมนุษย์นอนหลับฝันไป ตอนฝันก็มีทุกสิ่งทุกอย่าง ครั้นตื่นขึ้นทุกอย่างก็สูญ สิ้น ท่านนึกอยากกินของกินก็มา กินอิ่มแล้ว ความคิดอยากกินหมดไป ของกินก็อันตรธานด้วย”
อาตมาผงกศีรษะรับทราบ
ท่านกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ครั้นธาตุบริสุทธิ์ ไม่นึกอยากกิน ไม่นึกอยากของใด ๆ ก็เป็นศูนยภาพ หามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ไม่แต่ถ้าหากมีความคิดอยากผุดขึ้น ก็จะเป็นดังท้องฟ้าที่ว่างเปล่าพลันมีเมฆหมอกเกิดขึ้นชั้นหนึ่ง เหตุผลนี้ท่านคอย ๆ ใคร่ครวญ ซึมซาบก็จะเข้าใจ 3 มิติของเหตุผลนี้ ได้โดยถองแท้”
ผู้ไปเกิดในบัวชั้นสูง มีความคิดฝันเฟื่องน้อยที่สุด ล้วนแล้วแต่จริงแท้ดังธาตุเดิม ในชั่วพริบตาจะสามารถอาศัยแรงบันดาลของอมิตพุทธเจ้าแปลงเป็นดอกไม้ ผลไม้และของถวายออกมาถวายสักการะพุทธ 10 ทิศ ครั้นถึงเวลาแสดงธรรม พระโพธิสัตว์นับหมื่นนับล้านรูปจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัว หรือในตำหนัก บนรัตนเจดีย์หรือต้นไม้ 7 แถว ฟังพระดำรัสตรัสแสดงธรรมโดยตรงจากอมิตพุทธเจ้า
อาตมาเรียนถามพระโพธิสัตว์กวนอิมว่า“ผู้คนในโลกมนุษย์คงมีมาเกิดในสุคติภพมากมาย เหตุใดญาติโยมของพวกเขาจึงมองไม่เห็นล่ะครับ”
ท่านตอบว่า “ผู้คนในโลกมนุษย์ส่วนใหญ่จะถูกบดบังโดยกรรมกีดขวาง จึงมีของที่มองไม่เห็นอีกมากนัก ถ้าหากหมั่นสวดมนต์ไหว้พระ ไม่มีความคิดฝันเฟื่อง ใจวางเปล่าเป็นศูนยภาพแล้ว ก็มีโอกาสได้เห็นแดนสุขาวดีเช่นกัน”
อาตมาถือโอกาสขอให้ท่านไขปริศนา โดยถามว่า“ถ้ากระนั้นต้องสวดมนต์อย่างไรจึงจะบรรลุผลได้เร็วที่สุด
ท่านตอบว่า “ต้องบำเพ็ญฌานกับพิสุทธิ์ควบคู่กัน ใจหนึ่งสวดพุทธ สวดพุทธไปเข้าฌานไป เรียกว่า ฌานวิสุทธิภูมิ”
อาตมารุกถามต่อ“ขอเรียนถามว่า ฌานวิสุทธิภูมิควรปฏิบัติอย่างไร”
ท่านผงกศีรษะอธิบายว่า “ใช้วิธีสวดโดยแบ่งคนออกเป็น2 ชุด (นี่เป็นวิธีปฏิบัติธรรมของเวไนยสัตว์ในวิสทธิภูมิ) ชุด ก.สวดอมิตพุทธ 2 คำ ชุด ข. ฟังไปสวดในใจไปด้วย จากนั้น ชุดข. สวดอมิตพุทธ 2 คำ ชุด ก. ฟังไปสวดในใจไปด้วย การปฎิบัติเช่นนี้ ทั้งไม่หนักแรง ทั้งสวดได้ไม่ขาดช่วง หูจะไว หูจะสวดเองซึ่งก็คือใจสวด ใจกับปากเป็นหนึ่งเดียว พุทธภาพก็จะปรากฎขึ้นเอง เมื่อใจสงบ ย่อมก่อเกิดสมาธิ สมาธิยอมก่อเกิดปัญญา”
ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า เวลาเหลือไม่มากแล้ว อาตมาจะพาท่านไปดูมหาเจดีย์อมิตพุทธเจ้า คือ “เจดีย์ดอกบัว”
เราผ่านตำหนักไปอีกหลายหลัง ยอดเจดึย์แว็บผ่านตัวเราไปไม่ช้าก็เห็นมหาเจดีย์สูงใหญ่มหึมาสุดเปรียบปาน ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเจดีย์สูงดังขุนเขาคุนหลุนของประเทศจีน ไม่ทราบมีกี่ชั้น (คงไม่ต่ำกว่าหลายหมื่นชั้น)“เจดีย์ดอกบัว” มีกี่เหลี่ยมก็แยกไม่ชัด ตัวเจดีย์มีลักษณะโปร่งใส สัพรังสีพวยพุ่ง ได้ยินเสียงสวดนโมอมิตพุทธแว่วจากภายในเจดีย์ 2 คำแรกชัดมาก คำเริ่มต้นฟังดูเศร้าสร้อยคล้ายกำลังวิงวอนขอความช่วยเหลือ ส่วนคำที่ 2 ให้ความรู้สึกอยากชิดใกล้
“เจดีย์ดอกบัว” องค์นี้ มีไว้สำหรับผู้คนที่ไปเกิดในระดับกลางของบัวชั้นสูงนับหมื่นนับแสนได้ใช้ เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ความสูงใหญ่ของเจดีย์ เปรียบเทียบไม่ถูก ไม่อาจจินตนาการโดยผู้คนในโลกมนุษย์ได้ ใหญ่พอ ๆ กับพื้นที่รวมของโลกเราหลายพันหลายหมื่นโลก ดังนั้นความสูงของมันก็ไม่อาจจะจินตนาการได้เช่นกัน ภายในเจดีย์ มีปราสาทราชวังมากมาย มีสีต่าง ๆ ล้วนแต่โปร่งใสและมีแสงสว่างในตัว เวไนยสัตว์ที่เกิดในระดับกลางของบัวชั้นสูงมาถึงที่นี่แล้ว สามารถเดินฝาทะลุกำแพงเข้าออกได้โดยเสรีไม่มีสิ่งใดขวางกั้น จะขึ้นจะลงเพียงใจนึกเท่านั้น ในชั่วขณะหนึ่งก็จะไปถึงในที่ที่ต้องการจะไปภายในเจดีย์มีพร้อมทุกสิ่งอย่าง ณ ที่นี้สามารถมองเห็นสภาพทั้งปวงของเวไนยสัตว์ในโลกศรีปิฎกทั้งหมด สามารถเห็นพุทธภูมิบรรดามีหลายหมื่นล้านพุทธภูมิ ความเยี่ยมยอดของสภาพภายในเจดีย์ ไม่สามารถใช้ปากกาดินสอมาบรรยายให้เห็นภาพแม้เพียง 1 ในหมื่นเวไนยสัตว์ในระดับกลางของบัวชั้นสูง ถ้าปรารถนาจะไปยังพุทธภูมิใด ก็เป็นเรื่องเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
เราก้าวเข้า“เจดีย์ดอกบัว” ปรากฏว่าตัวเราเดินลอยขึ้นเหมือนนั่งลิฟท์ ขึ้นไปทีละชั้น ๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า ล้วนแต่โปร่งใส จะเห็นแตล่ะชั้นมีคนนั่งสวดพุทธอยู่เต็มเพรียบ ล้วนแต่เป็นผู้ชายอายุประมาณ 30 เศษ แต่ละชั้นจะมีลักษณะการแต่งกายเป็นของตัวเองรวมประมาณ 20 กว่าสี แต่ไม่มีผู้หญิงแม้แต่คนเดียว ผู้ชายทั้งหมดนั่งสวดพุทธอยู่บนดอกบัว
พระโพธิสัตว์กวนอิมกล่าวว่า“ที่นี่จัดเวลา 6 ชั่วโมงทำวัตร2 ชั่วโมงสวดพุทธ 2 ชั่วโมงเก็บเสียง 2 ชั่วโมงพักผ่อน เวลานี้เป็นเวลาสวดพุทธ
เราไปถึงชั้นที่อยู่กึ่งกลาง เห็นพวกเขานั่งเป็นแถวอยู่ 2 ข้างแถวซ้ายกับแถวขวาหันหน้าชนกัน ได้ยินแต่เสียงกระดิ่ง กลอง ปลาไม้กรับ ดังไม่ขาดเสียง แต่ไม่เห็นของจริง พวกเขานั่งอยู่บนอาสนะสวยงามมาก กลางวงมีมหาโพธิสัตว์รูปหนึ่งนั่งอยู่คอยชี้แนะ คนที่สวดได้ดีจะมีแสงพวยพุ่งเหนือศีรษะ ในแสงมีพระพุทธรูปมากมาย เช่นเดียวกับแสงเหนือเศียรของอมิตพุทธเจ้าที่มีพระพุทธรูปหลายหมื่นหลายแสนล้านรูป มหาโพธิสัตว์รูปนั้นก็มีแสง ในแสงก็มีพระพุทธรูปเช่นกัน มีวิหคนานาพรรณบินถลาร่อนล้อลมอยู่เหนือยอดเจดีย์ บ้างบินอยู่ในห้องโถง พวกมันสวดพุทธตามได้ด้วย ไม่สับสนแม้แต่น้อยภายในเจดย์มีโคมมุก โคมแก้วแสงสีต่าง ๆ โคมรูปกลมยังสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นรูปต่าง ๆ เปล่งแสงสีนานาชนิด รวมความแล้วก็คือภูมิภาคของที่นี่บรรยายเท่าไรก็บรรยายไม่หมด ทั้งยากจะบรรยายออกมาให้เห็นภาพได้ การสักการะพุทธ 10 ทิศ ล้วนรวมศูนย์อยู่ที่นี่ ณที่นี้สามารถเห็นโลกศรีปิฎกทั้งโลก เวไนยสัตว์ทั้งปวง อริยพุทธทั้งปวงจนถึงพุทธภูมิหลายหมื่นล้านพุทธภูมิ ล้วนปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้า http://thai.mindcyber.com/anut/sukavadee/1131.php