ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชิดังเม ชิตังเม - เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว | "ชนะใดเล่า จะเท่าชนะกิเลสตน"  (อ่าน 6958 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



ผู้ที่ชนะหมู่มนุษย์ในสงคราม ถึงหนึ่งล้านคน ยังสู้ผู้ที่ชนะตน เพียงผู้เดียวไม่ได้ ผู้นั้นเป็นจอมทัพสูงสุด โดยแท้

โย สหสฺสํ สหสฺเสน สงฺคาเม มานุเส ชิเน เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ ส เว สงฺคามชุตฺตโมติ



 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๑๐. กุททาลชาดก ว่าด้วยความชนะที่ดี
             
[๗๐] ความชนะใดกลับแพ้ได้ ความชนะนั้นเป็นความชนะไม่ดี ความชนะใด ไม่กลับแพ้ ความชนะนั้นแลเป็นความชนะที่ดี.

@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ สุตฺต. ขุ. ชาตกํ (๑): เอก-จตฺตาลีสนิปาตชาตกํ

๑๐ กุทฺทาลชาตกํ

[๗๐]  น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ      ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ
        ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ     ยํ ชิตํ นาวชิยฺยตีติ ฯ
                                     
               กุทฺทาลชาตกํ ทสมํ ฯ
               อิตฺถีวคฺโค สตฺตโม ฯ




 :25: :25: :25:

อรรถกถา กุททาลชาดก ว่าด้วย ความชนะที่ดี

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระจิตหัตถสารีบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า น ตํ ชิตํ สาธุ ดังนี้.

ได้ยินว่า พระจิตหัตถสารีบุตรเป็นเด็กที่เกิดในตระกูลผู้หนึ่ง ในพระนครสาวัตถี.

อยู่มาวันหนึ่งไถนาแล้ว ขากลับเข้าไปสู่วิหาร ได้โภชนะประณีตอร่อย มีรสสนิทจากบาตรพระเถระองค์หนึ่ง คิดว่า ถึงแม้เราจะกระทำงานต่างๆ ด้วยมือของตน ตลอดคืนตลอดวัน ก็ยังไม่ได้อาหารอร่อยอย่างนี้ แม้เราก็สมควรจะเป็นสมณะ ดังนี้.

เขาบวชแล้วอยู่มาได้ประมาณครึ่งเดือน เมื่อไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ตกไปในอำนาจกิเลส สึกไป พอลำบากด้วยอาหาร ก็มาบวชอีก เรียนพระอภิธรรม ด้วยอุบายนี้ สึกแล้วบวชถึง ๖ ครั้ง.

ในความเป็นภิกษุครั้งที่ ๗ เป็นผู้ทรงพระอภิธรรม ๗ พระคัมภีร์ ได้บอกธรรมแก่ภิกษุเป็นอันมาก บำเพ็ญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.

ครั้งนั้น ภิกษุผู้เป็นสหายของท่านพากันเยาะเย้ยว่า อาวุโสจิตหัตถ์ เดี๋ยวนี้ กิเลสทั้งหลายของเธอ ไม่เจริญ เหมือนเมื่อก่อนดอกหรือ.?

ท่านตอบว่า ผู้มีอายุ ตั้งแต่บัดนี้ไป ผมไม่เหมาะเพื่อความเป็นคฤหัสถ์.

ก็เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว เกิดโจทย์กันขึ้นในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่ออุปนิสัยแห่งพระอรหัต เห็นปานนี้มีอยู่ ท่านพระจิตหัตถสารีบุตรต้องสึกถึง ๖ ครั้ง โอ.! ความเป็นปุถุชนมีโทษมาก ดังนี้.


@@@@@@@

พระศาสดาเสด็จมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอสนทนากันด้วยเรื่องอะไร.?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว.

ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าจิตของปุถุชนเมา ข่มได้ยาก คอยไปติดด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ ลงติดเสียครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่อาจปลดเปลื้องได้โดยเร็ว การฝึกฝนจิตเห็นปานนี้เป็นความดี จิตที่ฝึกฝนดีแล้วเท่านั้น จะนำประโยชน์เกื้อกูล และความสุขมาให้.

แล้วตรัสพระคาถานี้ ความว่า :-
    “การฝึกฝนจิตที่ข่มได้ยาก เมา มีปกติ ตกไปตามอารมณ์ที่ปรารถนา เป็นการดี เพราะจิตที่ฝึกฝนแล้ว ย่อมนำสุขมาให้” ดังนี้.

ครั้นแล้วตรัสต่อไปว่า ก็เพราะเหตุที่ จิตนั้นข่มได้โดยยาก บัณฑิตทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน อาศัยจอบเล่มเดียว ไม่อาจทิ้งมันได้ ต้องสึกถึง ๖ ครั้ง ด้วยอำนาจความโลภ ในเพศแห่งบรรพชิตครั้งที่ ๗ ทำฌานให้เกิดขึ้นแล้ว จึงข่มความโลภนั้น ได้ดังนี้แล้ว.

@@@@@@@

ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ อยู่ในกรุงพาราณสี. พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคนปลูกผัก ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้วได้นามว่า “กุททาลบัณฑิต”.

ท่านกุททาลบัณฑิตกระทำการฟื้นดินด้วยจอบ เพาะปลูกพืชพันธ์และผัก มีน้ำเต้า ฟักเขียว ฟักเหลืองเป็นต้น เก็บผักเหล่านั้นขาย เลี้ยงชีพด้วยการเบียดกรอ. แท้จริง ท่านกุททาลบัณฑิต นอกจากจอบเล่มเดียวเท่านั้น ทรัพย์สมบัติอย่างอื่นไม่มีเลย.

ครั้นวันหนึ่ง ท่านดำริว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช ดังนี้.

ครั้นวันหนึ่ง ท่านซ่อนจอบนั้นไว้ในที่ซึ่งมิดชิด แล้วบวชเป็นฤาษี ครั้นหวลนึกถึงจอบเล่มนั้นแล้ว ก็ไม่อาจตัดความโลภเสียได้ เลยต้องสึก เพราะอาศัยจอบกุดๆ เล่มนั้น.

แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ ก็เป็นอย่างนี้ เก็บจอบนั้นไว้ในที่มิดชิด บวชๆ สึกๆ รวมได้ถึง ๖ ครั้ง.

ในครั้งที่ ๗ ได้คิดว่า เราอาศัยจอบกุดๆ เล่มนี้ ต้องสึกบ่อยครั้ง คราวนี้ เราจักขว้างมันทิ้งเสียในแม่น้ำใหญ่ แล้วบวช ดังนี้แล้วเดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำ คิดว่า ถ้าเรายังเห็นที่ตกของมัน ก็จักต้องอยากงมมันขึ้นมาอีก

แล้วจับจอบที่ด้าม ท่านมีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ควงจอบเหนือศีรษะ ๓ รอบ หลับตาขว้างลงไปกลางแม่น้ำ แล้วบันลือเสียงกึกก้อง ๓ ครั้งว่า “เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว”.


@@@@@@@

ในขณะนั้น พระเจ้าพาราณสีทรงปราบปรามปัจจันตชนบทราบคาบแล้ว เสด็จกลับ ทรงสนานพระเศียรในแม่น้ำนั้น ประดับพระองค์ด้วยเครื่องอลังการครบเครื่อง เสด็จพระดำเนินโดยพระคชาธาร ทรงสดับเสียงของพระโพธิสัตว์นั้น ทรงระแวงพระทัยว่า บุรุษผู้นี้กล่าวว่า เราชนะแล้ว ใครเล่าที่เขาชนะ จงเรียกเขามา แล้วมีพระดำรัสสั่งให้เรียกมาเฝ้า

แล้วมีพระดำรัสถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เรากำลังชนะสงคราม กำความมีชัยมาเดี๋ยวนี้ ส่วนท่านเล่าชนะอะไร.?

พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ถึงพระองค์จะทรงชนะสงคราม ตั้งร้อยครั้งตั้งพันครั้ง แม้ตั้งแสนครั้ง ก็ยังชื่อว่าชนะไม่เด็ดขาดอยู่นั่นเอง เพราะยังเอาชนะกิเลสทั้งหลายไม่ได้ แต่ข้าพระองค์ข่มกิเลสในภายในไว้ได้ เอาชนะกิเลสทั้งหลายได้.

กราบทูลไป มองดูแม่น้ำไป ยังฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ ให้เกิดขึ้นแล้ว นั่งในอากาศด้วยอำนาจของฌานและสมาบัติ.

เมื่อจะแสดงธรรมถวายพระราชา จึงกล่าวคาถานี้ความว่า :-
    “ความชนะที่บุคคลชนะแล้ว กลับแพ้ได้นั้น มิใช่ความชนะเด็ดขาด (ส่วน)ความชนะที่บุคคลชนะแล้ว ไม่กลับแพ้นั้นต่างหาก จึงชื่อว่า เป็นความชนะเด็ดขาด” ดังนี้.





บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ ความว่า การปราบปรามปัจจามิตรราบคาบ ชนะแว่นแคว้น ตีเอาได้แล้ว ปัจจามิตรเหล่านั้นยังจะตีกลับคืนได้ ความชนะนั้นจะชื่อว่า เป็นความชนะเด็ดขาด หาได้ไม่.

เพราะเหตุไร.?
เพราะยังจะต้องชิงชัยกันบ่อยๆ.

อีกนัยหนึ่ง ชัยเรียกได้ว่าความชนะ ชัยที่ได้เพราะรบกับปัจจามิตร ต่อมา เมื่อปัจจามิตรเอาชนะคืนได้ ก็กลับเป็นปราชัย ชัยนั้นไม่ดีไม่งาม.

เพราะเหตุไร.?
เพราะเหตุที่ ยังกลับเป็นปราชัยได้อีก.


@@@@@@@

บทว่า ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ นาวชิยฺยติ ความว่า ส่วนการครอบงำมวลปัจจามิตรไว้ได้แล้ว ชนะปัจจามิตรเหล่านั้น จะกลับชิงชัยไม่ได้อีก ใดๆ ก็ดี การได้ชัยชนะครั้งเดียว แล้วไม่กลับเป็นปราชัยไปได้ ใดๆ ก็ดี ความชนะนั้นๆ เป็นความชนะเด็ดขาด คือชัยชนะนั้นชื่อว่าดี ชื่อว่างาม.

เพราะเหตุไร.?
เพราะเหตุที่ไม่ต้องชิงชัยกันอีก.

ดูก่อนมหาบพิตร เพราะเหตุนั้น แม้พระองค์จะทรงชนะขุนสงคราม ตั้งพันครั้ง ตั้งแสนครั้ง ก็ยังจะเฉลิมพระนามว่า จอมทัพ หาได้ไม่.

เพราะเหตุใด.?
เพราะเหตุที่พระองค์ยังทรงชนะกิเลสของพระองค์เองไม่ได้ ส่วนบุคคลใดชนะกิเลสภายในของตนได้ แม้เพียงครั้งเดียว บุคคลนี้จัดเป็นจอมทัพผู้เกรียงไกรได้.

พระโพธิสัตว์นั่งในอากาศนั่นแล แสดงธรรมถวายพระราชาด้วยพระพุทธลีลา.

@@@@@@@

ก็ในความเป็นจอมทัพผู้สูงสุดนั้น มีพระสูตรเป็นเครื่องสาธก ดังนี้ :-

    “ผู้ที่ชนะหมู่มนุษย์ในสงคราม ถึงหนึ่งล้านคน ยังสู้ผู้ที่ชนะตน เพียงผู้เดียวไม่ได้ ผู้นั้นเป็นจอมทัพสูงสุด โดยแท้” ดังนี้.

ก็เมื่อพระราชาทรงสดับธรรมอยู่นั่นเอง ทรงละกิเลสได้ด้วยอำนาจตทังคปหาน พระทัยน้อมไปในบรรพชา. ถึงพวกหมู่โยธาของพระองค์ ก็พากันละได้เช่นนั้นเหมือนกัน.

พระราชาตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า บัดนี้ พระคุณเจ้าจักไปไหนเล่า.?
พระโพธิสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช ข้าพระองค์จักเข้าป่าหิมพานต์บวชเป็นฤๅษี.

พระราชารับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น แม้ข้าพเจ้าก็จะบรรพชา แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปพร้อมกับพระโพธิสัตว์. พลนิกายทั้งหมด คือพราหมณ์ คฤหบดีและทวยหาญ ทุกคนประชุมกัน ในขณะนั้นเป็นมหาสมาคมออกบรรพชา พร้อมกับพระราชา เหมือนกัน.


@@@@@@@

ชาวเมืองพาราณสีสดับข่าวว่า พระราชาของเราทั้งหลายทรงสดับพระธรรมเทศนาของกุททาลบัณฑิตแล้ว ทรงบ่ายพระพักตร์มุ่งบรรพชา เสด็จออกทรงผนวชพร้อมด้วยพลนิกาย พวกเราจักทำอะไรกันในเมืองนี้ ดังนี้แล้ว

บรรดาผู้อยู่ในพระนครทั้งนั้นต่างพากันเดินทางออกจากกรุงพาราณสี อันมีปริมณฑลได้ ๑๒ โยชน์. บริษัทก็ได้มีปริมณฑล ๑๒ โยชน์. พระโพธิสัตว์พาบริษัทนั้นเข้าป่าหิมพานต์.

ในขณะนั้น อาสนะที่ประทับนั่งของท้าวสักกเทวราช สำแดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรงตรวจดูทอดพระเนตรเห็นว่า กุททาลบัณฑิตออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ แล้วทรงพระดำริว่า จักเป็นมหาสมาคม ควรที่ท่านจะได้สถานที่อยู่ แล้วตรัสเรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมา

ตรัสสั่งว่า พ่อวิสสุกรรม กุททาลบัณฑิตกำลังออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ท่านควรจะได้ที่อยู่ ท่านจงไปหิมวันตประเทศ เนรมิตอาศรมบทยาว ๓๐ โยชน์ กว้าง ๑๕ โยชน์ ณ ภูมิภาคอันราบรื่น.

วิสสุกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาว่า ข้าแต่เทพยเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำให้สำเร็จดังเทวบัญชา แล้วไปทำตามนั้น.

นี้เป็นความสังเขปในอธิการนี้. ส่วนความพิสดารจักปรากฏในหัตถิปาลชาดก แท้จริงเรื่องนี้และเรื่องนั้นเป็นปริเฉทเดียวกันนั่นเอง.

@@@@@@@

ฝ่ายวิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตบรรณศาลาในอาศรมบทแล้ว ก็ขับไล่เนื้อ นกและอมนุษย์ที่มีเสียงชั่วร้ายไปเสียแล้วเนรมิตหนทางเดินแคบๆ ตามทิสาภาคนั้นๆ เสร็จแล้ว กลับไปยังวิมานอันเป็นสถานที่อยู่ของตนทันที.

ฝ่ายกุททาลบัณฑิตพาบริษัทเข้าสู่ป่าหิมพานต์ ลุถึงอาศรมบทที่ท้าวสักกะทรงประทาน ถือเอาเครื่องบริขารแห่งบรรพชิตที่วิสสุกรรมเทพบุตรเนรมิตไว้ให้ บวชตนเองก่อน ให้บริษัทบวชทีหลัง จัดแจงแบ่งอาศรมบทให้อยู่กันตามสมควร มีพระราชาอีก ๗ พระองค์สละราชสมบัติ ๗ พระนคร (ติดตามมาทรงผนวชด้วย) อาศรมบท ๓๐ โยชน์เต็มบริบูรณ์.

กุททาลบัณฑิตทำบริกรรมในกสิณที่เหลือ เจริญพรหมวิหารธรรม บอกกรรมฐานแก่บริษัท. บริษัททั้งปวงล้วนได้สมาบัติ เจริญพรหมวิหารแล้วพากันไปสู่พรหมโลกทั่วกัน.

ส่วนประชาชนที่บำรุงพระดาบสเหล่านั้น ก็ล้วนได้ไปสู่เทวโลก.


@@@@@@@

พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าจิตนี้ติดด้วยอำนาจของกิเลสแล้ว เป็นธรรมชาติปลดเปลื้องได้ยาก โลภธรรมทั้งหลายที่เกิดแล้ว เป็นสภาวะละได้ยาก ย่อมกระทำท่านผู้เป็นบัณฑิตเห็นปานฉะนี้ ให้กลายเป็นคนไม่มีความรู้ไปได้ ด้วยประการฉะนี้.

ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย.

เมื่อจบสัจจะ ภิกษุทั้งหลายบางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็นพระอนาคามี บางพวกบรรลุพระอรหัต.

แม้พระบรมศาสดาทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
     พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์
     บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท
     ส่วนกุททาลกบัณฑิตได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

                                                จบอรรถกถากุททาลชาดกที่ ๑๐
                                                     จบ อิตถีวรรคที่ ๗.




ที่มา : https://84000.org/tipitaka/atita100/jataka.php?i=270070
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/atita100/v.php?B=27&A=456&Z=468





อรรถกถาเล่มที่ ๓๖ ภาษาบาลีอักษรไทย ชา.อ.๒ เอกนิปาต(๒)

๑๐. กุทฺทาลชาตกํ
     
น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตนฺติ อิมํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต จิตฺตหตฺถสารีปุตฺตํ อารพฺภ กเถสิ ฯ
     
โส กิร สาวตฺถิยํ เอโก กุลทารโก อเถกทิวสํ กสิตฺวา อาคจฺฉนฺโต วิหารํ ปวิสิตฺวา เอกสฺส เถรสฺส ปตฺตโต สินิทฺธํ มธุรปฺปณีตโภชนํ ลภิตฺวา จินฺเตสิ มยํ รตฺตินฺทิวํ สหตฺเถน นานากมฺมานิ กุรุมานาปิ เอวรูปํ มธุราหารํ น ลภาม มยาปิ สมเณน ภวิตพฺพนฺติ ฯ

โส ปพฺพชิตฺวา มาสฑฺฒมาสจฺจเยน อโยนิโส มนสิกโรนฺโต กิเลสวสิโก หุตฺวา วิพฺภมิตฺวา ปุน ภตฺเตน กิลมนฺโต อาคนฺตฺวา ปพฺพชิตฺวา อภิธมฺมํ อุคฺคณฺหิ อิมินา อุปาเยน ฉ วาเร วิพฺภมิตฺวา ปพฺพชิโต สตฺตเม ภิกฺขุภาเว สตฺตปฺปกรณิโก หุตฺวา พหุนฺนํ ภิกฺขูนํ ธมฺมํ วาเจนฺโต วิปสฺสนํ วฑฺเฒตฺวา อรหตฺตํ ปาปุณิ ฯ

อถสฺส สหายกา ภิกฺขู กึ นุ โข อาวุโส จิตฺตหตฺถ ปุพฺเพ วิย เต เอตรหิ กิเลสา น วฑฺฒนฺตีติ ปริหาสํ กรึสุ ฯ
อาวุโส อภพฺโพทานาหํ อิโต ปฏฺฐาย คิหิภาวายาติ ฯ

เอวํ ตสฺมึ อรหตฺตํ ปตฺเต ธมฺมสภายํ กถา อุทปาทิ อาวุโส เอวรูปสฺส นาม อรหตฺตสฺส อุปนิสฺสเย สติ อายสฺมา จิตฺตหตฺถสารีปุตฺโต ฉกฺขตฺตุํ อุปฺปพฺพชิโต อโห มหาโทโส ปุถุชฺชนภาโวติ ฯ


@@@@@@@

สตฺถา อาคนฺตฺวา กาย นุตฺถ ภิกฺขเว เอตรหิ กถาย สนฺนิสินฺนาติ ปุจฺฉิตฺวา อิมาย นามาติ วุตฺเต ภิกฺขเว ปุถุชฺชนจิตฺตํ นาม ลหุกํ ทุนฺนิคฺคหํ อารมฺมณวเสน คนฺตฺวา อลฺลียติ เอกวารํ อลฺลีนํ น สกฺกา โหติ ขิปฺปํ โมเจตุํ เอวรูปสฺส จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ ทนฺตเมว หิตํ สุขํ อาวหตีติ วตฺวา อาห

         ทุนฺนิคฺคหสฺส ลหุโน     ยตฺถกามนิปาติโน
         จิตฺตสฺส ทมโถ สาธุ    จิตฺตํ ทนฺตํ สุขาวหนฺติ ฯ

ตสฺส ปน ทุนฺนิคฺคหณตาย ปุพฺเพปิ ปณฺฑิตา เอตํ กุทฺทาลกํ นิสฺสาย ตํ ชหิตุํ อสกฺโกนฺโต โลภวเสน ฉกฺขตฺตุํ อุปฺปพฺพชิตฺวา สตฺตเม ปพฺพชิตภาเว ฌานํ อุปฺปาเทตฺวา ตํ โลภํ นิคฺคณฺหึสูติ วตฺวา อตีตํ อาหริ ฯ

@@@@@@@

อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต โพธิสตฺโต มณิกกุเล นิพฺพตฺติตฺวา วิญฺญุตํ ปาปุณิ ฯ
กุทฺทาลกปณฺฑิโตติสฺส นามํ อโหสิ ฯ

โส กุทฺทาลเกน ภูมิปริกมฺมํ กตฺวา ฑากญฺเจว อลาพุกุมฺภณฺฑเอลาฬุกาทีนิ จ วปิตฺวา ตานิ วิกฺกิณนฺโต กปณชีวิกํ กปฺเปสิ ฯ

ตญฺหิสฺส เอกํ กุทฺทาลกํ ฐเปตฺวา อญฺญํ ธนํ นาม นตฺถิ ฯ
โส เอกทิวสํ จินฺเตสิ กึ เม ฆราวาเสน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิสฺสามีติ ฯ

อเถกทิวสํ ตํ กุทฺทาลกํ ปฏิจฺฉนฺนฏฺฐาเน ฐเปตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิตฺวา ตํ กุทฺทาลกํ อนุสฺสริตฺวา โลภํ ฉินฺทิตุํ อสกฺโกนฺโต กุณฺฐกุทฺทาลกํ นิสฺสาย อุปฺปพฺพชิ ฯ

เอวํ ทุติยมฺปิ ตติยมฺปีติ ฉ วาเร ตํ กุทฺทาลกํ ปฏิจฺฉนฺนฏฺฐาเน นิกฺขมิตฺวา ปพฺพชิโต เจว อุปฺปพฺพชิโต จ สตฺตเม วาเร จินฺเตสิ อหํ อิมํ กุณฺฐกุทฺทาลกํ นิสฺสาย ปุนปฺปุนํ อุปฺปพฺพชิโต อิทานิ นํ มหานทิยํ ปกฺขิปิตฺวา ปพฺพชิสฺสามีติ นทีตีรํ คนฺตฺวา สจสฺส ปติตฏฺฐานํ ปสฺสิสฺสามิ ปุน อาคนฺตฺวา อุทฺธริตุกามตา ภเวยฺยาติ ตํ

กุทฺทาลกํ ทณฺเฑ คเหตฺวา นาคพโล ถามสมฺปนฺโน สีสสฺส อุปริภาเค ติกฺขตฺตุํ อาวิชฺฌิตฺวา อกฺขีนิ นิมฺมิเลตฺวา นทีมชฺเฌ ขิปิตฺวา ชิตํ เม ชิตํ เมติ ติกฺขตฺตุํ นาทํ นทิ ฯ

@@@@@@@

ตสฺมึ ขเณ พาราณสีราชา ปจฺจนฺตํ วูปสเมตฺวา อาคโต นทิยา สีสํ นฺหายิตฺวา สพฺพาลงฺการปฏิมณฺฑิโต หตฺถิกฺขนฺเธน คจฺฉมาโน ตํ โพธิสตฺตสฺส สทฺทํ สุตฺวา อยํ ปุริโส ชิตํ เม ชิตํ เมติ วทติ โก นุ โข เอเตน ชิโต ปกฺโกสถ นนฺติ ปกฺโกสาเปตฺวา โภ ปุริส อหํ ตาว วิชิตสงฺคาโม อิทานิ ชยํ คเหตฺวา อาคจฺฉามิ ตยา ปน โก ชิโตติ ปุจฺฉิ ฯ

โพธิสตฺโต มหาราช ตยา สงฺคามสตมฺปิ สงฺคามสหสฺสมฺปิ สงฺคามสตสหสฺสมฺปิ ชินนฺเตน ทุชฺชิตเมว กิเลสานํ อชิตตฺตา อหมฺปน อพฺภนฺตเร โลภํ นิคฺคณฺหนฺโต กิเลเส ชินินฺติ กเถนฺโต มหานทึ โอโลเกนฺโต อาโปกสิณชฺฌานํ นิพฺพตฺเตตฺวา ฌานสมาปตฺตานุภาเวน อากาเส นิสีทิตฺวา รญฺโญ ธมฺมํ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาห
         น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ      ยํ ชิตํ อวชิยฺยติ
         ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ     ยํ ชิตํ นาวชิยฺยตีติ ฯ





ตตฺถ น ตํ ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ อวชิยฺยตีติ ยํ ปจฺจามิตฺเต ปราชินิตฺวา รฏฺฐํ ชิตํ ปฏิลทฺธํ ปุน เตหิ ปจฺจามิตฺเตหิ อวชิยฺยติ ตํ ชิตํ สาธุ ชิตนฺนาม น โหติ ฯ

กสฺมา ฯ
ปุนปฺปุนํ อวชียนโต ฯ

อปโร นโย ชิตํ วุจฺจติ ชโย โย ปจฺจามิตฺเตหิ สทฺธึ ยุชฺฌิตฺวา อธิคโต ชโย ปุน เตสุ ชินนฺเตสุ ปราชโย โหติ โส น สาธุ น โสภโน  ฯ

กสฺมา ฯ
ยสฺมา ปุน ปราชโยว โหติ ฯ


@@@@@@@

ตํ โข ชิตํ สาธุ ชิตํ ยํ ชิตํ นาวชิยฺยตีติ ยํ โข ปน ปจฺจามิตฺเต นิมฺมเถตฺวา ชิตํ ปุน เตหิ น อวชิยฺยติ โย วา เอกวารํ ลทฺโธ ชโย ปุน ปราชโย น โหติ ตํ ชิตํ สาธุ โสภนํ โส ชโย สาธุ โสภโน นาม โหติ ฯ

กสฺมา ฯ
ปุน นาวชียนโต ฯ

ตสฺมา ตฺวํ มหาราช สหสฺสกฺขตฺตุมฺปิ สตสหสฺสกฺขตฺตุมฺปิ สงฺคามสีสํ ชินิตฺวาปิ สงฺคามโยโธ นาม น โหติ ฯ

กึการณา ฯ
อตฺตโน กิเลสานํ อชิตตฺตา ฯ

โย ปน เอกวารมฺปิ อตฺตโน อพฺภนฺตเร กิเลเส ชินาติ อยํ อุตฺตมสงฺคามสีสโยโธติ

อากาเส นิสินฺนโกว พุทฺธลีฬฺหาย รญฺโญ ธมฺมํ เทเสสิ ฯ

@@@@@@@

อุตฺตมสงฺคามโยธภาเว ปเนตฺถ
     โย สหสฺสํ สหสฺเสน      สงฺคาเม มานุเส ชิเน
     เอกญฺจ เชยฺยมตฺตานํ     ส เว สงฺคามชุตฺตโมติ
อิทํ สุตฺตํ สาธกํ ฯ

รญฺโญ ปน ธมฺมํ สุณนฺตสฺเสว ตทงฺคปฺปหานวเสน กิเลสา ปหีนา ปพฺพชฺชาย จิตฺตํ นมิ ฯ
ราชพลสฺสาปิ ตเถว กิเลสา ปหิยฺยึสุ ฯ

ราชา อิทานิ ตุมฺเห กหํ คมิสฺสถาติ โพธิสตฺตํ ปุจฺฉิ ฯ
หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา อิสิปพฺพชฺชํ ปพฺพชิสฺสามิ มหาราชาติ ฯ
ราชา เตนหิ อหมฺปิ ปพฺพชิสฺสามีติ โพธิสตฺเตเนว สทฺธึ นิกฺขมิ ฯ

พลกาโย พฺราหฺมณคหปติกา สพฺพา เสนิโยติ สพฺโพปิ ตสฺมึ ขเณ สนฺนิปติโต มหาชนกาโย รญฺญา สทฺธึเยว นิกฺขมิ ฯ


@@@@@@@

พาราณสีวาสิโน อมฺหากํ กิร ราชา กุทฺทาลกปณฺฑิตสฺส ธมฺมเทสนํ สุตฺวา ปพฺพชฺชาภิมุโข หุตฺวา สทฺธึ พลนิกาเยน นิกฺขมนฺโต มยํ อิธ กึ กริสฺสามาติ ทฺวาทสโยชนิกาย พาราณสิยา สกลนครวาสิโน นิกฺขมึสุ ฯ

ทฺวาทสโยชนิกา ปริสา อโหสิ ฯ
ตํ อาทาย โพธิสตฺโต หิมวนฺตํ ปาวิสิ ฯ

ตสฺมึ ขเณ สกฺกสฺส เทวรญฺโญ นิสินฺนาสนํ อุณฺหาการํ ทสฺเสสิ ฯ
โส อาวชฺชมาโน กุทฺทาลกปณฺฑิโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมนฺโตติ ทิสฺวา มหาสมาคโม ภวิสฺสติ วสนฏฺฐานํ ลทฺธุํ วฏฺฏตีติ วิสฺสกมฺมํ อามนฺเตตฺวา ตาต กุทฺทาลกปณฺฑิโต มหาภินิกฺขมนํ นิกฺขมนฺโต วสนฏฺฐานํ ลทฺธุํ วฏฺฏติ ตฺวํ หิมวนฺตปฺปเทสํ คนฺตฺวา สเม ภูมิภาเค ทีฆโต ตึสโยชนิกํ วิตฺถารโต ปณฺณรสโยชนํ อสฺสมปทํ มาเปหีติ อาห ฯ

โส สาธุ เทวาติ ปฏิสฺสุณิตฺวา คนฺตฺวา ตถา อกาสิ ฯ
อยเมตฺถ สงฺเขโป ฯ
วิตฺถาโร ปน หตฺถิปาลชาตเก อาวิภวิสฺสตีติ ฯ
อิทญฺจ หิ ตญฺจ เอกปริจฺเฉทเมว ฯ

@@@@@@@

วิสฺสกมฺโมปิ อสฺสมปเท ปณฺณสาลํ มาเปตฺวา ทุสฺสทฺเท มิเค จ สกุเณ จ อมนุสฺเส จ ปฏิกฺกมาเปตฺวา เตน เตน ทิสาภาเคน เอกปทิกมคฺคํ นิมฺมินิตฺวา อตฺตโน วสนฏฺฐานเมว อคมาสิ ฯ

กุทฺทาลกปณฺฑิโตปิ ตํ ปริสํ อาทาย หิมวนฺตํ ปวิสิตฺวา สกฺกทตฺติยํ อสฺสมปทํ คนฺตฺวา วิสฺสกมฺเมน มาปิตํ ปพฺพชิตปริกฺขารํ คเหตฺวา ปฐมํ อตฺตนา ปพฺพชิตฺวา ปจฺฉา ปริสํ ปพฺพาเชตฺวา อสฺสมปทํ ภาเชตฺวา อทาสิ ฯ

สตฺต ราชาโน สตฺต รชฺชานิ ฉฑฺฑยึสุ ฯ
ตึสโยชนํ อสฺสมปทํ ปูริ ฯ
กุทฺทาลกปณฺฑิโต เสสกสิเณสุ ปริกมฺมํ กตฺวา พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา ปริสาย กมฺมฏฺฐานํ อาจิกฺขิ ฯ

สพฺเพ สมาปตฺติลาภิโน หุตฺวา พฺรหฺมวิหาเร ภาเวตฺวา พฺรหฺมโลกปรายนา อเหสุํ ฯ
เย ปน เตสํ ปาริจริยํ อกํสุ เต เทวโลกปรายนา อเหสุํ ฯ


@@@@@@@

สตฺถา เอวํ ภิกฺขเว จิตฺตํ นาเมตํ กิเลสวเสน อลฺลีนํ ทุมฺโมจยํ โหติ อุปฺปนฺนา โลภธมฺมา ทุปฺปชหา เอวรูเปปิ ปณฺฑิเต อญฺญาเณ กโรนฺตีติ อิมํ ธมฺมเทสนํ อาหริตฺวา สจฺจานิ ปกาเสสิ ฯ

สจฺจปริโยสาเน เกจิ โสตาปนฺนา อเหสุํ เกจิ สกทาคามิโน เกจิ อนาคามิโน เกจิ อรหตฺตํ ปาปุณึสุ ฯ

สตฺถาปิ อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ชาตกํ สโมธาเนสิ
    ตทา ราชา อานนฺโท
    อโหสิ ปริสา พุทฺธปริสา
    กุทฺทาลกปณฺฑิโต ปน อหเมวาติ ฯ

                                                    กุทฺทาลชาตกํ ทสมํ ฯ
                                                    อิตฺถีวคฺโค สตฺตโม ฯ

                   

ที่มา : https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=36&A=2254
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2025, 11:35:16 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
มงคลที่ ๑๕
บำเพ็ญทาน
ชิตัง  เม...  เราชนะแล้ว

เพราะความตระหนี่และความประมาท
คนเราจึงให้ทานไม่ได้ ผู้มีปัญญาเมื่อต้องการบุญ พึงให้ทานเถิด


          ชีวิตของทุกคนที่เกิดมาในสังสารวัฏ ต่างเคยผ่านการเกิดในทุกภพทุกภูมิมาแล้ว ทั้งชีวิตในระดับสูง ระดับกลาง และระดับล่าง ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือยาจกเข็ญใจ เพราะชีวิตมีการขึ้นลงไปตามอำนาจแห่งบุญและบาปที่ได้ก่อขึ้น ถ้าทำบุญมาก ก็จะได้รับผลที่ดี เสวยสุขในสุคติภูมิ ชีวิตต่อไปก็จะประสบแต่สิ่งที่ดีงาม ถ้าทำบาปอกุศลไว้มาก ก็ต้องไปเสวยวิบากกรรมในอบายภูมิ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ล้วนหลีกหนีกฎแห่งกรรมไปไม่ได้ ดังนั้นเราต้องตระหนักถึงคุณค่าของการสร้างบารมี เพื่อเพิ่มพูนความบริสุทธิ์บริบูรณ์ให้แก่ตนเอง ต้องหมั่นปฏิบัติธรรมอย่าให้ขาดแม้แต่วันเดียว หมั่นทำใจหยุดใจนิ่งบ่อยๆ ทำซํ้าแล้วซํ้าอีก ชีวิตของเราย่อมจะสำเร็จสมหวัง เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขความบริสุทธิ์บริบูรณ์
 
มีวาระพระบาลีที่ปรากฏใน พิลารโกสิยชาดก ว่า
 
"มจฺเฉรา จ ปมาทา จ    เอวํ ทานํ น ทิยฺยต
ปุญฺญํ อากงฺขมาเนน        เทยฺยํ โหติ วิชานตา

        เพราะความตระหนี่และความประมาท คนเราจึงให้ทานไม่ได้ ผู้มีปัญญาเมื่อต้องการบุญ พึงให้ทานเถิด"

        ความตระหนี่และความประมาท เป็นเหตุทำให้คนเรา  ไม่ยอมให้ทาน เมื่อไม่ให้ก็ไม่ได้บุญ เพราะบุญเกิดจากการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา บุญนั่นเองเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต ตั้งแต่ชีวิตของปุถุชน จนกระทั่งถึงความเป็นพระอริยเจ้า บุญจะบันดาลให้เราพรั่งพร้อมด้วยสมบัติทั้งสาม คือเมื่อเกิดเป็นมนุษย์ จะมีโภคทรัพย์สมบัติใช้สร้างบารมี หรือเลี้ยงตนเองและผู้อื่นได้อย่างสะดวกสบาย เมื่อเป็นชาวสวรรค์ ก็จะมีทิพยสมบัติอันประณีต และเมื่อบารมีเต็มเปี่ยมก็จะได้บรรลุนิพพานสมบัติ หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ เข้าสู่นิพพานอันเป็นเอกันตบรมสุข ไม่ต้องมาเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป

        เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ยังเสวยพระชาติเป็นพระบรมโพธิสัตว์ ท่านได้พิจารณาด้วยสติปัญญาว่า ทานบารมีเป็นบันไดก้าวแรกของการสร้างบารมีทั้งหมด จึงได้เริ่มต้นสร้างมหาทานบารมีก่อน เพราะถ้าหากทานบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว จะสร้างบารมีอย่างอื่นก็สะดวกสบาย

        ยามใดที่เราพรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติ มีศรัทธา พบเนื้อนาบุญ ยามนั้นเราย่อมสร้างบารมีได้อย่างสะดวกสบาย แต่ยามใดที่เราไม่มีไทยธรรมหรือโภคทรัพย์สมบัติ แม้จะมีศรัทธา มีเนื้อนาบุญ เราก็ไม่อาจจะให้ทานได้ กว่าจะสร้างบารมีอื่นๆ ได้แต่ละอย่าง ก็แสนจะลำบาก เพราะฉะนั้นทานบารมีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญของนักสร้างบารมี

        *ดังเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต มีพราหมณ์สองสามีภรรยา   ผู้ยากไร้ อาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี มีสมบัติติดตัวเพียงแค่ผ้านุ่งคนละผืน และผ้าห่มที่ใช้สำหรับคลุมกายเพียงผืนเดียว เมื่อจะออกไปนอกบ้านก็ต้องผลัดกันไป วันหนึ่งได้มีการประกาศไปทั่วเมืองว่า ในวันนี้พระบรมศาสดาจะมาแสดงพระธรรมเทศนา เมื่อพราหมณ์และนางพราหมณีได้ฟังการประกาศเชิญชวน    ทั้งสองมีจิตยินดี ปรารถนาที่จะไปฟังธรรมด้วย

        เนื่องจากทั้งสองมีผ้าห่มเพียงผืนเดียว ไม่อาจจะไปฟังธรรมพร้อมกันได้ พราหมณ์จึงบอกนางพราหมณีว่า "เธอจงไปฟังธรรมในตอนกลางวันเถิด ส่วนฉันจะไปฟังธรรมในตอนกลางคืน" เมื่อถึงเวลากลางคืน พราหมณ์ได้เดินทางไปฟัง  พระธรรมเทศนา เกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง มีปีติแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย เกิดกุศลจิตอยากถวายผ้าที่ห่มอยู่แด่พระบรมศาสดาเพื่อบูชาธรรม แต่ด้วยความกังวลใจ คิดว่าถ้าเราถวายผ้าผืนนี้แล้ว นางพราหมณีก็จะไม่มีผ้าห่มมาฟังธรรม


      ในขณะที่พราหมณ์กำลังคิดว่า จะถวายดี หรือไม่ถวายดีนั้น
      มัจเฉรจิต คือ ความตระหนี่ได้เกิดขึ้น และครอบงำกุศลจิตของเขาจนหมดสิ้น
      พราหมณ์จึงไม่สามารถเอาชนะความตระหนี่ที่เกิดขึ้นในใจ จนเวลาล่วงปฐมยาม คือ ผ่านยามต้นไปแล้ว 
      ครั้นถึงมัชฌิมยาม พราหมณ์ก็ยังไม่อาจตัดใจถวายผ้าห่มได้
      จนล่วงมาถึงปัจฉิมยาม บุญเก่าได้กระตุ้นเตือนให้พราหมณ์คิดว่า


      ถ้าหากยังไม่สามารถกำจัดความตระหนี่ออกจากใจ เราจะพ้นจากความทุกข์อันแสนสาหัสนี้ได้อย่างไร     
      เมื่อคิดได้ดังนี้จึงตัดใจทันที รีบเข้าไปถวายผ้าแด่พระบรมศาสดา
      เมื่อคิดจะให้ กระแสบุญก็เกิดขึ้นแล้วในกลางกาย
      เมื่อตัดใจให้ได้ บุญก็กำจัดความตระหนี่ให้หลุดร่อนออกไป
      ใจของพราหมณ์ได้ขยายกว้างออกไปอย่างไม่มีประมาณ เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความเบิกบาน
      จนไม่อาจจะเก็บความปีตินี้ไว้ในใจเพียงคนเดียว
      จึงได้กล่าวถ้อยคำอันเป็นมงคล ดังก้องไปทั่วธรรมสภาว่า
 
      "ชิตัง เม ชิตัง เม ชิตัง เม  เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว"



     พระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งฟังธรรมอยู่ในที่นั้นด้วย ได้สดับเสียงนั้นตรัสบอกให้ราชบุรุษไปถามว่า พราหมณ์ชนะอะไร
 
     พราหมณ์ตอบว่า
     "เราชนะใจตนเองแล้ว เพราะได้พยายามตัดใจถวายทานถึง ๓ ครั้งในครั้งสุดท้ายนี้เราเอาชนะความตระหนี่ได้"

 
        พระราชาดำริว่า พราหมณ์ผู้นี้ทำสิ่งที่คนทั่วไปทำได้โดยยาก จึงเกิดความเลื่อมใส กระแสบุญจากใจของพราหมณ์ได้แผ่ขยายไปสู่ใจของพระราชา ทำให้พระองค์ทรงเกิดความเมตตา อยากได้บุญใหญ่กับพราหมณ์ด้วย

        พระราชาทรงพระราชทานผ้าสาฎกเนื้อดี ๑ คู่แก่พราหมณ์ เมื่อพราหมณ์ได้รับแล้วก็ไม่เก็บไว้เอง ได้น้อมถวายผ้าคู่นั้นแด่พระบรมศาสดา พระราชาทอดพระเนตรเห็นจึงเกิดความปีติ นำผ้ามาให้พราหมณ์อีก จาก ๒ คู่ เป็น ๔ คู่ ๘ คู่ และ ๑๖ คู่ ตามลำดับ พราหมณ์ก็ได้นำผ้าเหล่านั้น ทั้งหมดน้อมถวายเพื่อบูชาธรรมแด่พระพุทธองค์

       ด้วยความใจใหญ่ของพราหมณ์ พระราชาจึงรับสั่งให้ราชบุรุษนำผ้ากัมพลชั้นเยี่ยม ๒ ผืน มาบูชาธรรมแก่พราหมณ์ เมื่อพราหมณ์ได้รับผ้ากัมพลชั้นเยี่ยมมาแล้ว ก็คิดว่า ผ้ากัมพล ๒ ผืนนี้เป็นของสูง คนเช่นเรามิอาจนำมาใช้ได้ จึงได้นำผ้ากัมพลผืนหนึ่งไปขึงเป็นเพดาน ณ ที่บรรทมในพระคันธกุฎีของพระบรมศาสดา ส่วนอีกผืนหนึ่งได้นำไปขึงเป็นเพดานในที่ฉันของพระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระราชาเสด็จมา ทอดพระเนตรเห็น ผ้ากัมพลก็ทรงจำได้ ทรงนึกชื่นชมพราหมณ์ที่มีจิตเลื่อมใสในพระบรมศาสดา จึงรับสั่งให้พระราชทานทรัพย์สมบัติแก่พราหมณ์ อย่างละ ๔ คู่ คือ ช้าง ๔ เชือก ม้า ๔ ตัว กหาปณะ ๔ พัน      บุรุษ ๔ คู่ สตรี ๔ คู่ ทาสี ๔ คู่ และบ้านส่วยอีก ๔ ตำบล

       เรื่องนี้จึงเป็นที่กล่าวขานของมหาชนในธรรมสภา  พระบรมศาสดาตรัสบอกมหาชนว่า เหตุที่พราหมณ์ได้สมบัติถึงเพียงนี้ เพราะเขาได้ทำบุญถูกทักขิไณยบุคคล พระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า ถ้าพราหมณ์ตัดใจถวายผ้าผืนนั้นในปฐมยาม เขาจะได้ทรัพย์สมบัติอย่างละ ๑๖ คู่ ถ้าถวายในมัชฌิมยาม เขาจะได้ทรัพย์สมบัติอย่างละ ๘ คู่ แต่เพราะพราหมณ์เอาชนะความตระหนี่ได้ในปัจฉิมยามใกล้ฟ้าสาง จึงได้ทรัพย์สมบัติเพียงแค่อย่างละ ๔ คู่เท่านั้น

        ดังนั้น เมื่อเกิดกุศลจิตศรัทธาก็ให้รีบทำบุญแบบ ตุริตตุริตํ สีฆสีฆํ เร็วๆ ไวๆ  หลวงพ่ออยากได้ยินคำว่า ดิฉันทำก่อนค่ะ ผมขอทำก่อนครับ เมื่อเราทำอย่างนี้ ถึงคราวที่สมบัติบังเกิดขึ้น สมบัติก็บังเกิดขึ้นก่อน เราจะได้สมบัติก่อนใครๆ แม้ยังไม่ทันคิดอยากได้สมบัติก็ตาม ฉะนั้นทุกท่านต้องรีบขวนขวายในการทำความดี เพราะหากเราทำความดีช้า อกุศลจะเข้าครอบงำ ทำให้พลาดโอกาสที่จะได้บุญใหญ่
 
        พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "เมื่อจิตเลื่อมใสในที่ใด พึงให้ทานในที่นั้น ทานที่ให้แล้วแก่ผู้ทรงศีล มีผลมาก แต่ทานที่ให้ในผู้ทุศีล หามีผลมากไม่"
 
        เพราะฉะนั้น  ให้พวกเราทุกคนสั่งสมบุญให้เต็มที่ เพื่อแข่งขันกับเวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกขณะ

 
อ้างอิง
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
*มก. จูเฬกสาฎก เล่ม ๔๒ หน้า ๔
ที่มา  http://buddha.dmc.tv/ธรรมะเพื่อประชาชน/mongkol03-25.html
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammakaya.ch/
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 11:06:48 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

meditation

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 127
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อนุโมทนาสาธุ

  ขอให้ทุกท่าน ชนะ ความไม่ดี ( อกุศล ) ด้วย ความดี ( กุศล ) ทุกท่านเทอญ

 :c017: :25:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 10:40:02 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ข้าพเจ้าปรียบเหมือนนกที่กำลังหัดเดิน มีสิ่งใดที่ล่วงเกินใคร ก็ขอกราบอภัยไว้ล่วงหน้านะคะ
ภาวนากรรมฐาน เพื่อใคร เพื่ออะไร ทำไม ? หาคำตอบจากใจเราก่อนนะคะ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว.."ชนะใดเล่า จะเท่าชนะกิเลสของตน"
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 10:37:14 am »
0

พุทธภาษิต อัตตวรรค หมวดตน

ชนะตนนั่นแหละ  เป็นดี.

ได้ยินว่าตนแล  ฝึกได้ยาก.
.
ตนที่ฝึกดีแล้ว  เป็นแสงสว่างของบุรุษ.

ตนแล  เป็นที่พึ่งของตน.

ตนเทียว  เป็นคติของตน.
 
ตนแล  เป็นที่รักยิ่ง.

ความรัก(อื่น) เสมอด้วยตนไม่มี.

ตนทำบาปเอง  ย่อมเศร้าหมองเอง.

ตนไม่ทำบาปเอง  ย่อมหมดจดเอง.

มนุษย์ผู้เห็นแก่ประโยชน์ตน  เป็นคนไม่สะอาด.




บัณฑิต  ย่อมฝึกตน.

ผู้ประพฤติดี  ย่อมฝึกตน.

ผู้มีตนฝึกดีแล้ว  ย่อมได้ที่พึ่งซึ่งได้ยาก.

ผู้ใดรักษาตนได้  ภายนอกของผู้นั้นก็เป็นอันรักษาด้วย.

ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก  ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี.

บัณฑิตพึงทำตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมองจิต.

ถ้าพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด  ก็ควรทำตนฉันนั้น.

จงเตือนตนด้วยตนเอง.

จงพิจารณาตนด้วยตนเอง.

จงถอนตนขึ้นจากหล่ม  เหมือนช้างตกหล่มถอนตนขึ้นฉะนั้น.


จงเป็นผู้ตามรักษาตน  อย่าได้เดือดร้อน.

อย่าฆ่าตนเสียเลย.

บุรุษไม่พึงให้ซึ่งตน.

บุรุษไม่พึงสละเสียซึ่งตน.

บุคคลไม่ควรลืมตน.

ไม่ควรพร่าประโยชน์ตน  เพราะประโยชน์ผู้อื่นแม้มาก.

ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก  ก็ไม่ควรประกอบตนนั้นด้วยความชั่ว.

ติตนเองเพราะเหตุใด  ไม่ควรทำเหตุนั้น.


ที่มา http://dhammasound.multiply.com/journal/item/2
ขอบคุณภาพจาก http://igetweb.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ