ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมวิจยะ พระอาจารย์ชา สุภัทโท : ตอนที่ 3 เงาสะท้อน “วัตถุ” กับ “จิต”  (อ่าน 2359 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29297
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ธรรมวิจยะ พระอาจารย์ชา สุภัทโท : ตอนที่ 3 เงาสะท้อน “วัตถุ” กับ “จิต”
 

     มีความแตกต่างกันอย่างแน่นอนระหว่างไก่ป่า กับ แมงมุม ไม่เพียงเพราะอย่างแรกอยู่บนพื้นดิน ไม่เพียงเพราะอย่างหลังอยู่บนต้นไม้ อยู่ตามอาคารบ้านเรือน หากที่สำคัญ ๒ สัตว์นี้มีภาวะแห่งการเคลื่อนไหวที่ไม่เหมือนกัน

     อย่างหนึ่งจรไปในไพรกว้างและหาอาหาร อย่างหนึ่งสงบนิ่งอยู่ในที่ตั้ง รอคอยอย่างนิ่งเงียบ เยือกเย็นจากไก่ป่า เมื่อสัมผัสเข้ากับแมงมุม ก็มองเห็นทวิลักษณะ

    เพียงแต่เป็นทวิลักษณะแห่งการไหวเคลื่อน เสมือนกับว่าไก่ป่าเดินหน้าไปอย่างไม่พรั่นพรึง ขณะที่แมงมุมใช้ความสงบเข้าสยบการเคลื่อนไหว กระนั้น ไม่ว่าจะเป็นไก่ป่าไม่ว่าจะเป็นแมงมุม ในที่สุดแล้วก็นำไปสู่ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุกับจิต

    ดังพระอาจารย์ชา สุภัทโท เล่า ณ ที่ประชุมสงฆ์วัดหนองป่าพงระหว่างพรรษาปี ๒๕๑๙ ดังนี้

   ได้เห็นแมงมุมเป็นตัวอย่าง แมงมุมทำรังของมันเหมือนข่ายมันสานข่ายไปขึงไว้ตามช่องต่างๆ เราไปนั่งพิจารณาดู มันทำข่ายขึงไว้เหมือนจอหนัง เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวมันเองเงียบอยู่ตรงกลางข่ายไม่วิ่งไปไหน
พอมีแมลงวันหรือแมลงอื่นๆ บินผ่านข่ายของมัน พอถูกข่ายเท่านั้นข่ายก็จะสะเทือน พอข่ายสะเทือนปุ๊บ มันก็วิ่งออกจากรังทันทีไปจับตัวแมลงไว้เป็นอาหาร เสร็จแล้วมันก็เก็บตัวมันไว้ที่กลางข่ายตามเดิม ไม่ว่าจะมีผึ้งหรือแมลงอื่นใดมาถูกข่ายของมัน พอข่ายสะเทือนมันก็วิ่งออกมาจับแมลงนั้นแล้วก็กลับไปเกาะนิ่งอยู่ที่ตรงกลางข่าย
ไม่ให้ใครเห็นทุกทีไป


    อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี้ ใจอยู่ตรงกลาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แผ่พังพานออกไป อารมณ์นั้นเหมือนแมลงต่างๆ พอรูปมาก็มาถึงตาเสียงมาก็มาถึงหู กลิ่นมาก็มาถึงจมูก รสมาก็มาถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็มาถึงกายใจเป็นผู้รู้จัก มันก็สะเทือนถึงใจ

    เราจะอยู่ด้วยการเก็บตัวไว้เหมือนแมงมุม ที่เก็บตัวไว้ในข่ายของมัน ไม่ต้องไปไหน พอแมลงต่างๆ มันผ่านข่ายก็ทำให้สะเทือนถึงตัว รู้สึกได้ก็ออกไปจับแมลงไว้ แล้วก็กลับไปอยู่ที่เดิม ไม่แตกต่างอะไรกับใจของเราเลย

    อยู่ตรงนี้ ให้อยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ อยู่ด้วยความระมัดระวังอยู่ด้วยปัญญา อยู่ด้วยความคิดถูกต้อง เราอยู่ตรงนี้ เมื่อไม่มีอะไรเราก็อยู่เฉยๆ แต่ไม่ใช่อยู่ด้วยความประมาท

    ดูแมงมุม แล้วก็น้อมเข้ามาหาจิตของเรา มันก็เหมือนกันนั่นแหละ ถ้าจิตเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็วาง
ไม่เป็นเจ้าของสุข ไม่เป็นเจ้าของทุกข์ อีกแล้ว ระหว่างแมงมุมกับแมลง  จึงเห็นได้ว่ามีตาข่ายเป็นตัวกลาง
เหมือนกับตัวเรากับปัจจัยภายนอก เหมือนใจของเรากับธรรมารมณ์ อันก่อให้เกิดขึ้นหลังจากอายตนะทั้ง ๖ ได้ประสบ อยู่ๆ จิตจะผุดพร่างเผยแสดงตัวตนได้ละหรือ

    ที่สำคัญ ต้องมีปัจจัยจากภายนอกเข้ามาสัมผัส เข้ามาสัมพันธ์กับอายตนะ ๖ อย่างที่ปรากฏ นั่นก็คือ พอรูปมาก็มาถึงตา เสียงมาก็มาถึงหู กลิ่นมาก็มาถึงจมูก รสมาก็มาถึงลิ้น โผฏฐัพพะมาก็มาถึงกาย

    ขณะที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหมือนกับปัจจัยภายนอกอันมามีผัสสะกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ตาข่ายแห่งแมงมุมจึงเท่ากับเป็นเงาสะท้อนระหว่างวัตถุกับจิตด้วยประการฉะนี้


ที่มา  http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1323421341&grpid=no&catid=54&subcatid=5400
ขอบคุณภาพจาก http://image.dek-d.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ