ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: กาลย่อมกินสัตว์ทั้งปวง กับทั้งตัวเองด้วย  (อ่าน 3491 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

กาลเวลากินสัตว์พร้อมทั้งตัวเอง

    [๓๔๐] กาลย่อมกินสัตว์ทั้งปวงกับทั้งตัวเองด้วย ก็ผู้ใดกินกาล ผู้นั้นเผาตัณหาที่เผาสัตว์ได้แล้ว.
                         
    [๓๔๑] ศีรษะของนรชนปรากฏว่ามีมาก มีผมดำยาวปกคลุมถึงคอ
            บรรดาคนทั้งหลายนี้ จะหาคนผู้มีปัญญาสักคนก็ไม่ได้
.

             จบ มูลปริยายชาดกที่ ๕.



อ้างอิง
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ บรรทัดที่ ๑๙๒๑ - ๑๙๒๖. หน้าที่ ๙๔.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=27&A=1921&Z=1926&pagebreak=0             
ศึกษาอรรถกถาชาดกนี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=340



อรรถกถา มูลปริยายชาดก
ว่าด้วย กาลเวลากินสัตว์พร้อมทั้งตัวเอง

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ สุภควัน อาศัยอุกกัฏฐธานี ทรงปรารภมูลปริยายสูตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ ดังนี้.

               ได้ยินว่า ในกาลนั้นมีพราหมณ์ ๕๐๐ จบไตรเพทแล้ว ออกบวชในพระศาสดา เรียนพระไตรปิฎก เป็นผู้มัวเมาด้วยความทะนงตน คิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้พระไตรปิฎก แม้เราก็รู้พระไตรปิฎก เมื่อเป็นอย่างนี้ เรากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต่างกันอย่างไร จึงไม่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์.

               อยู่มาวันหนึ่ง พระศาสดา เมื่อภิกษุเหล่านั้นประชุมกันในสำนักของพระองค์ ตรัสมูลปริยายสูตรประดับด้วยภูมิ ๘. ภิกษุเหล่านั้นกำหนดอะไรไม่ได้ จึงมีความคิดว่า พวกเราทะนงตนว่า ไม่มีใครฉลาดเท่ากับพวกเรา แต่บัดนี้พวกเราไม่รู้อะไรเลย ชื่อว่าผู้ฉลาดเช่นกับพระพุทธเจ้าย่อมไม่มี ชื่อว่าพระพุทธคุณน่าอัศจรรย์. ตั้งแต่นั้นมา ภิกษุเหล่านั้นก็หมดความทะนงตน สิ้นความหลงผิด ดังงูพิษที่ถูกถอนเขี้ยวแล้วฉะนั้น.

               พระศาสดาประทับอยู่ ณ อุกกัฏฐธานี ตามพระสำราญ แล้วเสด็จไปกรุงเวสาลี ตรัสโคตมกสูตรที่โคตมกเจดีย์ ทั้งหมื่นโลกธาตุหวั่นไหวแล้ว ภิกษุเหล่านั้นฟังโคตมกสูตรนั้นแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต.

               เมื่อจบมูลปริยายสูตร พระศาสดายังประทับอยู่ ณ อุกกัฏฐธานีนั่นเอง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย น่าอัศจรรย์ พระพุทธานุภาพ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำให้ภิกษุเหล่านั้น เป็นพราหมณ์ออกบวช มัวเมาด้วยความทะนงตนอย่างนั้น หมดความทะนงตน ด้วยมูลปริยายเทศนา.

               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนเราก็ได้ทำภิกษุเหล่านั้นผู้มีหัวรุนแรงด้วยความทะนงตน ให้หมดความทะนงตนแล้ว ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.

               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัยสำเร็จไตรเพท เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ สอนมนต์แก่มาณพ ๕๐๐. มาณพทั้ง ๕๐๐ นั้น ครั้นเรียนจบศิลปะ ผ่านการซักซ้อมสอบทานในศิลปะทั้งหลายแล้ว เกิดกระด้างด้วยความทะนงตนว่า พวกเรารู้เท่าใด แม้อาจารย์ก็รู้เท่านั้นเหมือนกัน ไม่มีความพิเศษกว่ากัน ไม่ไปสำนักอาจารย์ ไม่กระทำวัตรปฏิบัติ.

               ครั้นวันหนึ่ง เมื่ออาจารย์นั่งอยู่โคนต้นพุทรา พวกมาณพเหล่านั้นประสงค์จะดูหมิ่นอาจารย์ จึงเอาเล็บมือเคาะต้นพุทราพูดว่า ต้นไม้นี่ไม่มีแก่น. พระโพธิสัตว์ก็รู้ว่าดูหมิ่นตน จึงกล่าวกะอันเตวาสิกว่า เราจักถามปัญหาพวกท่านข้อหนึ่ง. มาณพเหล่านั้นต่างดีอกดีใจกล่าวว่า จงถามมาเถิด พวกผมจักแก้.


               อาจารย์ เมื่อจะถามปัญหา ได้กล่าวคาถาแรกว่า :-
               กาลย่อมกินสัตว์ทั้งปวงกับทั้งตัวเองด้วย ก็ผู้ใดกินกาล ผู้นั้นเผาตัณหาที่เผาสัตว์ได้แล้ว.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า กาโล ได้แก่ เวลาเป็นต้น เช่นเวลาก่อนอาหาร หลังอาหาร.
               บทว่า ภูตานิ นี้เป็นชื่อของสัตว์ กาลมิได้ถอนหนังและเนื้อเป็นต้นของสัตว์ไปกิน เป็นแต่ยังอายุวรรณและพละของสัตว์เหล่านั้นให้สิ้นไป ย่ำยีวัยหนุ่มสาว ทำความไม่มีโรคให้พินาศ เรียกว่ากินสัตว์ คือเคี้ยวกินสัตว์ ก็กาลที่กินสัตว์อยู่อย่างนี้ ไม่เว้นใครๆ ย่อมกินหมดทั้งนั้น.

               อนึ่ง มิได้กินแก่สัตว์ทั้งหลายเท่านั้น ย่อมกินแม้ตนเองด้วยกาล ก่อนอาหารย่อมไม่เหลืออยู่ในเวลาหลังอาหาร. ในเรื่องเวลาหลังอาหารเป็นต้น ก็นัยเดียวกัน. ที่ว่า สัตว์ผู้กินกาลนั้น หมายถึงพระขีณาสพ. จริงอยู่ พระขีณาสพนั้นเรียกว่าผู้กินกาล เพราะยังกาลปฏิสนธิต่อไปให้สิ้นด้วยอริยมรรค.

               บทว่า ส ภูตปจนึ ปจิ ความว่า พระขีณาสพนั้นเผา คือทำให้ไหม้เป็นเถ้าซึ่งตัณหาที่เผาสัตว์ในอบาย ด้วยไฟคือญาณ.

               พวกมาณพเหล่านั้นฟังปัญหานี้แล้ว ไม่มีผู้สามารถจะรู้ได้แม้คนเดียว. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกะมาณพเหล่านั้นว่า พวกท่านอย่าได้เข้าใจว่า ปัญหานี้มีอยู่ในไตรเพท พวกท่านสำคัญว่าอาจารย์รู้สิ่งใด เราก็รู้สิ่งนั้นทั้งหมด จึงได้เปรียบเราเช่นกับด้วยต้นพุทรา พวกท่านมิได้รู้ว่า เรารู้สิ่งที่พวกท่านยังไม่รู้อีกมาก จงไปเถิด เราให้เวลา ๗ วัน จงช่วยกันคิดปัญหานี้ตามกาลกำหนด. มาณพเหล่านั้นไหว้พระโพธิสัตว์ แล้วกลับไปยังที่อยู่ของตน แม้คิดกันตลอด ๗ วัน ก็มิได้เห็นที่สุด มิได้เห็นเงื่อนงำแห่งปัญหา.

               ครั้นวันที่ ๗ จึงพากันมาหาอาจารย์ไหว้แล้วนั่งลง เมื่ออาจารย์ถามว่า พวกท่านมีหน้าตาเบิกบาน รู้ปัญหานี้หรือ กล่าวว่า ยังไม่รู้.

               พระโพธิสัตว์ เมื่อจะตำหนิมาณพเหล่านั้นอีก จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               ศีรษะของนรชนปรากฏว่ามีมาก มีผมดำยาว ปกคลุมถึงคอ บรรดาคนทั้งหลายนี้จะหาคนที่มีปัญญาสักคนก็ไม่ได้.

               ความของคาถานั้นว่า ศีรษะคนปรากฏมีมากหลาย และศีรษะเหล่านั้นมีผมดกดำประถึงคอ เอามือจับดูไม่เหมือนผลตาล บุคคลเหล่านั้นไม่มีข้อแตกต่างกันด้วยธรรมเหล่านี้เลย. บทว่า กณฺณวา คือผู้มีปัญญา. ก็ช่องหูจะไม่มีแก่ใครๆ ก็หามิได้.

               พระโพธิสัตว์ติเตียนพวกมาณพเหล่านั้นว่า พวกท่านเป็นคนโง่ มีแต่ช่องหูเท่านั้น ไม่มีปัญญา ฉะนี้แล้วจึงแก้ปัญหา มาณพเหล่านั้นฟังแล้วกล่าวว่า ธรรมดาอาจารย์เป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์ ขอขมาอาจารย์แล้ว ต่างก็หมดความทะนงตน ปรนนิบัติพระโพธิสัตว์ตามเดิม.

               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดก.
               มาณพทั้ง ๕๐๐ ในครั้งนั้น ได้เป็นภิกษุเหล่านี้
               ส่วนอาจารย์ คือ เราตถาคต นี้แล.


               จบ อรรถกถามูลปริยายชาดกที่ ๕   




ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=340
ขอบคุณภาพจาก http://a3.sphotos.ak.fbcdn.net/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

magicmo

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 122
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: กาลย่อมกินสัตว์ทั้งปวง กับทั้งตัวเองด้วย
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 09, 2012, 06:56:31 pm »
0
  ขอบคุณมากๆๆนะครับ
บันทึกการเข้า
ขายส่งชุดชั้นในราคาไม่แพงเครื่องกรองน้ำ ดื่มสะอาดสนามกีฬา ฟุตบอลหญ้าเทียม เช่าราคาถูก