กุศลวิวัฏฏคามินี คือ อะไรคะ ฟังในรายการ RDN แล้วไม่ค่อยจะเข้าใจคะ
วัฏฏะนิสิตะทาน คือ อะไรคะ

วิวัฏฏคามินีกุศล วิวฏฺฏ ( ออกจากการหมุนเวียน ) + คามินี ( ไปสู่ ) + กุสล ( กุศล ) กุศลที่นำไปสู่การออกจากวัฏฏะ หมายถึง กุศลทุกชนิดที่เป็นไปเพื่อการละคลายกิเลส
แม้กระทั่งการถวายข้าวต้มเพียงกระบวยเดียว หรือถวายข้าวสวยเพียงทัพพีเดียวก็ตาม
เมื่อเห็นโทษของอกุศล เพียรเจริญกุศลด้วยความเห็นที่ถูกต้องเพื่อความสิ้นไปของกิเลส
ย่อมเป็นบารมี เป็นสัมมาปฏิปทา และเป็นวิวัฏฏคามินีกุศลที่มา
http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=9396

ปัญญา ที่ประกอบในมหากุศลจิตนี้ คือปัญญาที่มีความเห็นถูกต้อง ตามความเป็นจริง ได้แก่ กัมมัสสกตาปัญญา และวิปัสสนาปัญญา อันเป็นเหตุให้มุ่งตรงสู่พระนิพพานเพียงอย่างเดียว
กัมมัสสกตาปัญญา คือ ปัญญาที่รู้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรม เป็นของตนเอง รู้ว่าชาติหน้ามีจริง นรกสวรรค์มีจริง
ชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์ แต่ชาติหน้า อาจเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิ อันได้แก่ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานก็ได้ การรู้เรื่องเหล่านี้จะเป็นเหตุ ให้เห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัย ของการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร ก็มีแต่ทุกข์ทั้งสิ้น
ดังนั้น ในขณะที่ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล หรือเจริญภาวนา ก็จะตั้งเจตนามุ่งหวัง เพื่อลดกิเลส ละกิเลส ทำลายกิเลส อันเป็นเหตุให้พ้น ไปจากการเวียนเกิดเวียนตาย ทุกครั้ง
วิปัสสนาปัญญา คือ ปัญญาที่รู้แจ้งความจริงของธรรมชาติ (ปรมัตถธรรม) ว่าแท้จริงแล้วหาได้มีสัตว์ มีบุคคล มีตัวเรา มีของเรา แต่ประการใดไม่
สัตว์ทั้งหลายเกิดจากขันธ์ ๕ มาประชุมกัน ตามเหตุตามปัจจัย ขันธ์ ๕ เมื่อย่อให้สั้น ก็เหลือเพียงกายกับใจ หรือรูปกับนาม ที่เกิดดับสืบต่อกันไป อย่างรวดเร็ว หาสาระตัวตนไม่ได้ เห็นว่ารูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เห็นว่านาม ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ชีวิตทุกๆ ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงผันแปร อยู่ตลอดเวลา ร่างกายนี้ก็มีแต่จะแก่ จะตายลงไป
เมื่อตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เพราะยังมีกรรม และกิเลสคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตราบใดที่ยังต้องเกิด ตราบนั้นก็ยังต้องทุกข์อยู่ร่ำไป เมื่อใดที่พิจารณาอย่างนี้แล้ว ชื่อว่ามีวิปัสสนาปัญญา เพราะมองเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัยของการมีชีวิต เกิดปัญญาไม่หลงใหลติดอยู่ในโลก มีความปรารถนา ที่จะพ้นจากการเวียนเกิดเวียนตาย ไปให้เร็วที่สุด
แม้ขณะทำบุญ ทำกุศล ก็จงตั้งความปรารถนา ให้พ้นจากสังสารวัฏ คือการเวียนเกิดเวียนตาย ทุกครั้งไป 
กุศลกรรมทั้งหลาย มีทานกุศล ศีลกุศล ภาวนากุศล ที่มีกัมมัสสกตาปัญญา หรือวิปัสสนาปัญญาเข้าประกอบ และ มุ่งตรงต่อการลดกิเลส ละกิเลส ทำลายกิเลส อันเป็นเหตุให้ถึงพระนิพพาน คือ พ้นจากการเวียนเกิดเวียนตาย เรียกว่า ติเหตุกกุศลกรรม ซึ่งเป็นกุศลกรรม ที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ อันได้แก่ อโลภเหตุ อโทสเหตุ และอโมหเหตุ (มีปัญญาเข้าประกอบ)
การบริจาคทาน รักษาศีล และการเจริญภาวนา ที่มีปัญญา เข้าประกอบด้วยนั้น จะทำให้รู้เหตุ รู้ผล รู้วิธีวางใจ และตั้งความปรารถนาได้ถูกต้อง เป็นเหตุให้กุศลนั้นมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เป็นวิวัฏฏคามินีกุศล คือ เป็นกุศลที่นำพา ให้พ้นไปจาก การเวียนเกิดเวียนตายได้ในที่สุด
ผู้ที่มีปัญญาย่อมรู้ว่า กิเลสและกรรม (ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว) เป็นต้นเหต ุให้มีการเวียนเกิดเวียนตาย อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น เมื่อมีเกิดก็ต้องมีทุกข์เป็นธรรมดา การที่จะพ้นทุกข์ได้ ก็คือต้องไม่เกิดอีก
ดังนั้นในการทำกุศลทุกครั้ง จะต้องวางใจให้ถูกว่า ทำเพื่อลดกิเลส ละกิเลส ทำลายกิเลส เพื่อให้พ้นจากการเวียนเกิดเวียนตาย ได้ในที่สุด
การตั้งความปรารถนาเช่นนี้ จะทำให้กุศลนี้มีผลมาก เพราะปราศจากกิเลสเข้าเจือปน และยังมีอานิสงส์มาก คือ นำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง อันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
หากเราสามารถทำให้เกิดปัญญาได้อย่างนี้ ทุกครั้งที่ทำบุญ ทำกุศล ปัญญานี้ก็จะสนับสนุน ให้การเวียนเกิดเวียนตายของเรา ลดลงๆ ไปเรื่อยๆ และใกล้พระนิพพานเข้าไปทุกที ๆ (โปรดย้อนไปดูความหมายของ “พระนิพพาน” ในหนังสือ “สาระน่ารู้เกี่ยวกับพระอภิธรรม” หน้าที่ ๑๒)
ส่วนกุศลกรรมใดๆ ที่ไม่มีกัมมัสสกตาปัญญา หรือวิปัสสนาปัญญา เข้าประกอบ กุศลกรรมนั้น เรียกว่า ทวิเหตุกกุศลกรรม เป็นกุศลกรรม ที่ประกอบด้วย อโลภเหตุ และอโทสเหตุ เพียง ๒ เหตุเท่านั้น ไม่มีอโมหเหตุ คือ ปัญญาเข้าประกอบ
เช่น การทำบุญของเด็ก การทำบุญให้ทาน ตามเทศกาลประเพณี การรักษาศีล หรือการเจริญภาวนา ที่ปฏิบัติตามๆ กันมา โดยไม่เข้าใจเหตุผลอันแท้จริง มีแต่ศรัทธาเป็นตัวนำเท่านั้น
การทำกุศลกรรมในลักษณะนี้ ถือว่าไม่ประกอบด้วยปัญญา มีอานิสงส์น้อย ไม่เป็นเหตุ ให้พ้นไปจากการเวียนเกิดเวียนตาย (ไม่เป็นวัฏฏคามินีกุศล) เพราะเป็นการทำบุญ ที่สักแต่ว่าทำ ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นอ้างอิง
บทเรียนอภิธรรม หลักสูตรเรียนทางอินเตอร์เน็ต
อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เรียบเรียงโดย อ.วิศิษฐ์ ชัยสุวรรณ และอ.ทวี สุขสมโภชน์
http://www.buddhism-online.org/Section03A_11.htmขอบคุณภาพจาก
http://board.palungjit.com/,http://www.rd1677.com/