เรื่องสนุกจากพระไตรปิฎก..."แล้วพระสุทินก็ทำซ้ำถึงสามครั้ง"
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผมถวายความรู้แก่พระนิสิตมหาจุฬาลงกรณ์ (เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อยาวขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย) หลายปีมาแล้ว ที่บอกเช่นนี้เพราะปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่นี้แล้ว เนื่องจากแก่ตัวมา อายุสามสิบแปดปีบริบูรณ์แล้ว (กับอีกกี่ปีก็อย่ารู้เลย) เกษียณตัวเอง ไม่รับสอนประจำ
ผมชอบสอนหนังสือพระ เพราะท่านที่เป็นนิสิตทั้งหลายมีภูมิหลังคล้ายผม หนึ่ง เป็นคนบ้านนอกด้วยกัน คุ้นเคยกับบรรยากาศบ้านนอกคอกนามาด้วยกัน สอง ออกจากโรงเรียนประถมแล้วก็เข้ามาบวชเลย ได้รับการศึกษาอบรมผ่านกำแพงวัดมา มีประสบการณ์ชีวิตไม่แตกต่างกัน จึงพูดกันง่ายและรู้เรื่องดี
การถวายความรู้แก่พระ นอกจากจะได้ให้หลักวิชาการแก่ท่านแล้ว ผมเองยังได้อะไรๆ จากท่านเยอะเข้าหลักของนายสตีเฟน โควีย์ว่า win-win คือเขาก็ได้ เราก็ได้ แลกเปลี่ยนกัน ที่ว่าได้นี้ มิได้หมายถึงว่า พระท่านมาสอนผม แต่หมายถึงผมได้แนวคิดหรือความรู้ขึ้นมาเองจากการสอน การคุยกับพระท่าน
บางครั้งก็เป็นแง่คิดแปลกๆ จะเป็นจริงหรือไม่ ไม่ทราบ อย่างวันหนึ่งผมบรรยายว่า
พระพุทธเจ้าท่านตรัสปริศนาธรรมว่า "จอมปลวกประหลาด กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ
ครูบอกให้ลูกศิษย์ขุด ขุดไปก็เจอสิ่งแปลกๆ มากมาย อาจารย์ก็บอกให้โยนทิ้งให้หมด
พอไปเจออึ่งอ่าง อาจารย์ก็บอกให้เอาทิ้งไป
ท้ายสุดเจอพญานาค อาจารย์บอกว่า อย่าทำอะไรมัน ให้ดูแลมันให้ดี"
ทรงไขความว่า จอมปลวก คือร่างกายเรา
กลางคืนเป็นควัน หมายความว่า ตกกลางคืน คนเราก็คิดวางแผนต่างๆ ว่าจะต้องทำอะไร
กลางวันเป็นไฟ หมายความว่า ตกกลางวันก็พยายามทำตามที่คิดวางแผนไว้จนเหงื่อไหลไคลย้อย
ประมาณนี้แหละครับ จำไม่ได้หมด (มันนานแล้วนี่ครับ)
มีตอนที่ว่า เจออึ่งอ่าง แล้วครูบอกให้โยนทิ้ง
พระพุทธเจ้าทรงไขว่า อึ่งอ่างคือ ความเคียดแค้น ให้เอาทิ้งเสีย
อย่าได้คิดแค้นใคร ให้ทำจิตให้สงบ แล้วการปฏิบัติธรรมจะสำเร็จโดยง่าย
นักศึกษาท่านหนึ่ง ถามว่า "ทำไมจึงเปรียบอึ่งอ่างกับความเคียดแค้น"
เอาละสิ ใครมันจะไปรู้ ผมนึก จึงบอกท่านว่า ไม่รู้จริงๆ ครับ ท่านคงมีเหตุผลของท่าน แต่ไม่รู้ครับ ผมยอมรับ
"อาตมาว่า อาตมาพอจะทราบ" อีกรูปหนึ่งเอ่ยขึ้น
"คืออย่างไร" ผมถามด้วยความอยากรู้
"คืออึ่งนี่เวลาฝนไม่ตก มันจะหลบอยู่ใต้ดิน ไม่มีใครรู้เห็น
แต่พอฝนตกมีน้ำขังเมื่อไหร่ มันไม่รู้มาจากไหน ขึ้นมาร้องอึ่งอ่างๆ เต็มไปหมด" พระนิสิตรูปนั้นกล่าว
"ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เรากำลังพูดถึงเลย" ผมแย้ง
"เกี่ยวสิ อาจารย์ อาตมายังพูดไม่จบ" ท่านรูปนั้นว่า
"เอ้าว่าต่อไป"
"คือบ้านผมที่อีสานมันแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกซักที อึ่งมันนอนรอว่าเมื่อไหร่ฝนจะตก มีน้ำให้มันได้ขึ้นมาว่ายเล่นเสียที รอแล้วก็รอเล่า ฝนก็ไม่ตกซักที มันก็เลยแค้นใจไงอาจารย์ มันแค้นที่ฝนไม่ตกสักที
เพราะฉะนั้น ที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบอึ่งอ่างคือความเคียดแค้น จึงสมเหตุสมผล"
เออ จริงแฮะ ผมผงกศีรษะเห็นด้วยกับหลวงพี่
(ส่วนจะจริงหรือไม่ไม่ทราบ แต่ความคิดเห็นของหลวงพี่รูปนี้ น่าฟังอย่างยิ่ง)
นี่แหละครับ ผมว่าผมได้ความรู้
อีกคราวหนึ่ง พระนิสิตรูปหนึ่งรายงานในห้องเรื่อง "สรุปวินัยปิฎก"
ท่านได้เล่าถึงการบัญญัติ "เสขิยวัตร" (มารยาทต่างๆ ที่พระพึงปฏิบัติ) พร้อมข้อสังเกตน่าฟังมาก
พูดถึงวินัยปิฎก มีเรื่องหลักวิชา แต่อ่านแล้วกระเดียดทางโป๊ก็มี
อย่างตอนพระสุทินปฏิเสธคำขอของพ่อแม่ที่ให้สึก
พ่อแม่จึงว่า ไม่สึกแล้วใครจะดูแลสมบัติ ด้วยลูกเป็นลูกคนเดียวของพ่อแม่
พระสุทินก็บอกว่า "ถ้าห่วงมากนักจะไม่มีใครดูแล ก็ขนไปทิ้งน้ำเสียสิ"
เล่นเอาโยมพ่อโยมแม่แทบหัวใจวาย ลูกหนอลูก ทำไมพูดเสียดแทงใจพ่อแม่เช่นนี้
โยมมารดาจึงว่า ลูกไม่สึกก็ไม่เป็นไร ขอ "หน่อ" ไว้สืบสกุลก็แล้วกัน แม่ของพระหมายถึงขอลูกไว้สืบสกุล
พระสุทินบอกว่าได้ จึงบอกอดีตภรรยาว่า "ถ้าน้องหญิงพร้อมแล้ว ขอให้บอก"
อดีตภรรยาก็รับคำ เมื่อพร้อมแล้ว ก็กระซิบบอก
พระสุทินก็จูงมือนางเข้าป่าละเมาะ พระสุทินก็ทำกิจร่วมกับอดีตภรรยา
แต่ที่น่าขันก็คือ ผู้บันทึกตำราท่านมีอารมณ์ละเมียดมาก ท่านกล่าวว่า
"แล้วพระสุทินก็ทำซ้ำถึงสามครั้ง"
ข้อความตอนนี้สะท้อนถึงความรอบคอบของพระสุทินด้วย ไหนๆ ก็จะให้ "หน่อ"แล้ว ก็ทำซ้ำถึงสามครั้ง
เพื่อชัวร์ว่าติดแน่ คงไม่ใช่เพราะติดใจในกามรสดอกนะครับ
เพราะตามเนื้อเรื่องพระสุทินท่านตั้งใจบวชตลอดชีวิตเพื่อพ้นทุกข์จริงๆ แต่รำคาญที่ถูกพ่อแม่เซ้าซี้
ถามว่า เธอไม่รู้หรือว่าผิดศีลอย่างแรง
เข้าใจว่า ไม่รู้ เพราะสมัยแรกๆ ผู้มาบวชมักบวชด้วยศรัทธา และศีลหรือสิกขาบทก็ยังมิได้บัญญัติไว้
พระพุทธองค์ก็ตรัสกว้างๆ ว่า "ให้ประพฤติพรหมจรรย์" เฉยๆ ไม่แจกแจงรายละเอียด
การประพฤติพรหมจรรย์ จริงอยู่คือการไม่ข้องแวะกับกามารมณ์ เรื่องพรรค์อย่างว่าทำไม่ได้
แต่พระสุทินคิดไม่ถึง หรือไม่ทันคิดว่าเรื่องนี้มันผิด คงคิดเพียงว่า
ถ้าทำโดยจุดประสงค์ให้บุตรสืบสกุล เพื่อตัดปัญหา ไม่น่าจะผิด จึงทำลงไป
แต่มันก็ผิดจนได้ ท่านจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ละเมิดศีล
พระพุทธองค์จึงบัญญัติให้ชัดในกาลต่อมาว่า "ห้ามภิกษุเสพเมถุน"
เป็นอันว่าท่านสุทิน เป็นผู้ล่วงละเมิดคนแรก
พระพุทธเจ้าไม่เอาผิด แต่ให้เป็น "อาทิกัมมิกะ" (ผู้ผิดคนแรก)
ผมแปลให้ฟังง่ายๆ ว่า "เป็นตัวอย่างในทางไม่ดี ให้คนอื่นอ้างอิงถึง" ประมาณนั้น
ตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งที่ใครได้รับแล้ว เสียหายไปชั่วกัปชั่วกัลป์
ตายไปกี่ปีกี่ชาติก็มีคนขุดประวัติขึ้นมาตำหนิสาปแช่ง ทำนองเดียวกับพระเทวทัตนั่นแหละ
ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352013617&grpid=&catid=02&subcatid=0207