ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระมหาเจดีย์ชเวดากอง "บริโภคเจดีย์พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์"  (อ่าน 1499 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29299
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


พระมหาเจดีย์ชเวดากอง

ช่วงนี้ผมเดินทางไปประเทศพม่าค่อนข้างถี่มากครับ  ทุกครั้งที่ไปก็จะต้องจัดเวลาให้ได้ไป กราบพระมหาเจดีย์ชเวดากองทุกครั้ง   เพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิต  วันนี้จึงอยากเล่า เรื่องราวความเป็นมาของพระมหาเจดีย์นี้ให้ท่านได้ฟังครับ

พระมหาเจดีย์นี้มีตำนานเล่าไว้ย้อนไปถึงสมัยพุทธกาล ว่าได้มีพ่อค้าสองพี่น้องนามว่าตผุสสะและภัลลิกะ  เดินทางจาก เมืองโอกกะละหรืออีกชื่อหนึ่งว่า เมืองอสิตันชนะ ซึ่งปัจจุบันคือเมืองย่างกุ้งหรือยังกอง ได้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปค้าขายเป็น ขบวนคาราวานที่ประเทศอินเดีย

ระหว่างการเดินทางได้พบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โคนต้นพระศรีมหาโพธิ ขณะนั้นพระองค์เพิ่งจะตรัสรู้ผ่านไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา พ่อค้าทั้งสองพี่น้องนั้นเห็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทรงมีพระราศรีผุดผ่องน่าเลื่อมใส  จึงใคร่ที่จะถวายภัตตาหาร 

ขณะนั้นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ทรงมีเครื่องบริขารแต่อย่างใด แม้แต่บาตรที่จะรับถวายภัตตาหารก็ตาม ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ที่เป็นผู้เชิญเท้าม้ากัณฑกะทั้งสี่นำเสด็จเจ้าชายสิททัตถะ ออกจากวัง  จึงได้นำบาตรมาถวาย 4 ใบ

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิษฐานให้บาตรทั้งสี่นั้นรวมเป็นหนึ่งเดียว และทรงใช้บาตรนั้นรับถวายข้าวสัตตูก้อนสัตตูผง จากนายวานิช สองพี่น้องจึงทำให้ทั้งตผุสสะและภัลลิกะเป็นอุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา

เมื่อเสวยเสร็จแล้ว  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ทรงใช้พระหัตถ์ขวายกขึ้นลูบพระเศียร ได้เส้นพระเกศาติดมา 8 เส้น  จึงประทานให้กับนายวานิชคู่นั้น
    ในระหว่างการเดินทางกลับ บ้านเมืองของตน  ได้ผ่านเมืองอเชตตะที่ตั้งอยู่กลางทาง
     พระราชาแห่งเมืองอะเชตตะทรงทราบความจึงขอเส้น พระเกศาไป 2 เส้น
     ครั้นเมื่อลงเรือสำเภาข้ามทะเลกลับเมืองโอกาละ (พม่า)
     พญานาคในมหาสมุทรนั้นก็ขอไปอีก 2 เส้น
    เมื่อถึงเมืองโอกาละจึงได้นำขึ้นถวายพระเจ้าโอกกะละปา


ด้วยความช่วยเหลือของพระอินทร์  เทพเจ้าสูงสุดในพระพุทธศาสนา  รองจากสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ช่วยชี้แนะสถานที่ที่จะประดิษฐานเส้นพระเกศานั้น  นั่นคือบนยอดเนิน เขาเสนคุตตะระอันตั้งอยู่นอกประตูเมืองโอกกะละ พระเจ้าโอกกะละปาได้รับสั่งให้ขุดหลุมใหญ่เป็นกรุเพื่อบรรจุเส้นพระเกศา
    และได้เกิดอัศจรรย์ บันดาลให้พบบริขารของพระอดีตพุทธเจ้าทั้งสามองค์ เรียกว่าบริโภคเจดีย์
     คือ ของพระอดีตพุทธเจ้ากกุสันโธ พระอดีตพุทธเจ้าโกนาคม พระอดีตพุทธเจ้ามหากัสสป
     ได้แก่ สบง หม้อน้ำ และธารพระกรหรือไม้เท้า



    เล่ามาถึงตอนนี้ ผมขอขยายความสักนิดเรื่องการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ของคนโบราณว่า
     นิยมขุดเป็นหลุมขนาดใหญ่ กรุภายในหลุมโดยรอบด้วยหินทราย หรือศิลาแลง หรืออิฐ
     เมื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุลงไปเเล้ว จึงนำของมีค่าและเครื่องพุทธบูชานานาประการ ใส่ตามลงไป
     แล้วจึงปิดปากหลุมด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่และหนา เรียกหลุมนั้นว่า "กรุ"
     จากนั้นจึงก่อพระเจดีย์สวมทับลงเหนือกรุนั้น เพื่อมิให้ผู้ใดมาขุดหรือทำอันตรายได้


     คติดังกล่าวนี้เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง เมื่อคนปัจจุบันไปยึดติดกับเปลือก มากกว่าแก่น คิดกันไปเองว่าพระบรมสารีริกธาตุเป็นของสูง ต้องอัญเชิญไว้เฉพาะในที่สูงอย่างเดียว
     โดยมองคำว่า "ของสูง" เป็นเรื่องของ "ความสูง" เป็นมุมมองและการตีความหมายที่ผิดแผกไปจากของคนโบราณอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่คนโบราณให้ความสำคัญทาง "นามธรรม" แต่คนปัจจุบัน กลับไปมองทาง "รูปธรรม" มากกว่า 


     ดังนั้น การประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุในปัจจุบัน จึงนิยมนำขึ้นไว้บนยอดสูงสุดของพระเจดีย์
     หรือบนยอดพระเศียรของพระพุทธรูป หรือบน ยอดสันหลังคาโบสถ์ 
    ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่ไม่มีความมั่นคงเลย หากวันใดเกิดอันตรายขึ้นกับสถานที่นั้นๆ 
    เช่นหักพังลงมา ย่อมที่จะต้องพังลงจากบนลงล่างเสมอ
    พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ ย่อมที่จะต้องเป็นอันตรายไปอย่างแน่นอน


    กลับมาที่พระเจ้าโอกกะละปาอีกครั้งนะครับ....เมื่อโปรดให้บรรจุเส้นพระเกศาลงในกรุนั้น
    ก็บังเกิดอัศจรรย์บันดาลอีกครั้งให้เส้นพระเกศาทั้งหมด กลับคืนมารวมกันเป็น 8 เส้นตามเดิม 
    การบรรจุกรุในครั้งนั้นจึงได้นำบริขารทั้งสามสิ่งที่ขุดพบลงบรรจุร่วมกัน
    จากนั้นจึงโปรดให้ก่อพระเจดีย์สวมทับเอาไว้  และเป็นต้นเค้าที่มาแห่งองค์พระมหาเจดีย์ชเวดากอง ในปัจจุบัน


    ขอเรียนย้ำว่าที่ผมเล่ามาทั้งหมดข้างต้น เป็น "ตำนาน" นะครับ
    ดังนั้น ก่อนที่จะเชื่ออะไร กรุณา "ตำ" คือคิดไตร่ตรองให้นานๆ หน่อย
    เรื่องราวความรู้ทั้งหลายจะได้ละเอียด ย่อยง่าย เมื่อเสพเข้าไปในร่างกายส่วนสมองแล้ว จะได้ซึมซับเข้าไปเสริมสร้างร่างกายในส่วนที่ "รู้จริง" ไม่ไปติดค้าง พอกพูนเป็นส่วนเกินของร่างกายหรือส่วน "รู้เปลือก" เหมือนไขมันส่วนเกิน เรื่องราวของพระมหาเจดีย์แห่งนี้ยังมีอีกมากมายหลายแง่หลายมุม ขอขยักไว้เล่าต่อในเวลาที่เหมาะสมอีกต่อไป  สำหรับวันนี้ขอกราบสวัสดีก่อนครับ

    เผ่าทอง ทองเจือ
    www.facebook.com/paothong.pan
    www.facebook.com/paothong.thongchua



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/307973
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2012, 12:19:08 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ