สาเหตุ ของ อนันตริยกรรมนั้น ชัดเจน ที่มีการใช้กรรมในอเวจี หลังจากสิ้นชีวิตแล้ว
เมื่อยังไม่ได้ฟังพระสัทธรรม อันชี้ให้เห็นในอริยสัจจะ4 อันมีอิรยมรรคมีองค์ 8 เป็นแนวทางปฏิบัติ
ชนทั้งหลายเหล่านั้นก็ล้วนเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะยังนำชีวิตไปตามวัฏฏะ และ สังสารวัฏฏ์ ไม่มีที่สุด
ชนเหล่านี้ชื่อว่ามืดมา แล้ว ก็มืดไป .....
แต่ในส่วน มิจฉาทิฏฐิ นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถึงแม้จะเป็นกรรมหนัก แต่ก็สามารถ ใช้ปัญญา
ในการพิจารณาธรรม ได้ในปัจจุบัน ขึ้นอยู่กับผู้สอนนั้นคือใคร ซึ่งสมัยครั้งพุทธกาล ก็มีคนที่เป็น
มิจฉาทิฏฐิ กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ ก็มากอยู่ แต่ก็วัดเป็นจำนวนแล้วก็ยังน้อย แต่ถือว่ายังมีโอกาส
เพราะที่จริง คนที่ไม่บรรลุธรรม พ้นจากสังสารวัฏ นั้นก็อยู่ใน ทิฏฐิ เหล่านั้นด้วยสั่งสมกันด้วยบารมี
โดยส่วนความเห็น ของอารยชน แล้ว การฆ่า บิดา มารดา ล้วนแล้ว จะต้องถูกประนาม ไมว่าจะเป็น
ชาติใด ศาสนาใด และ ชนที่มีอารยธรรมน้อยนั้นก็ ไม่ฆ่า บิดา มารดา ผู้ให้กำเนิด โดยธรรมชาติ
ของคนพื้นฐาน ดังนั้น เรื่องนี้ถือว่าร้ายแรงใน ระดับชาวโลก ซึ่งแตกต่างจาก การทำร้ายพระพุทธเจ้า
ฆ่าพระอรหันต์ ทำสงฆ์ให้แตกแยกจากกัน โอกาสมีได้ยาก ซึ่งสำหรับเราชาว อุบาสก อุบาสิกา ที่ไม่
ได้เข้าไปยุ่งกับพระสงฆ์มากแ้ล้ว เพียงฟังธรรมและ ภาวนานั้นโอกาสที่จะผิดใน 3 ข้อหลังนั้นยากมาก
โดยเฉพาะการทำร้ายพระพุทธเจ้าแล้ว ยิ่งไม่มีโอกาสเลยในยุคนี้
มีเหล่านิครนถ์ เดียรถีย์ ปริพาชก อัญญเดียรถีย์ เหล่าพราหมณ์ ที่เป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ กลับใจเป็น
สัมมาทิฏฐิ ก็มีจำนวนมากดังนั้น ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่และยังมีอริยมรรค อยู่ชนเหล่านั้นก็ยังชื่อมี
โอกาสในปัจจุบัน ( แต่ก็ยากขึ้นไปทุกทียิ่งในยุคนี้ผมมองว่า เป็นยุคของ เวไนยะ ซะัด้วย )
