ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: "จิตรกรรมไตรภูมิ" สมัย ร.9 คู่มือชีวิต..สู่สุคติภูมิ  (อ่าน 2288 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29290
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


"จิตรกรรมไตรภูมิ" สมัย ร.9 คู่มือชีวิต..สู่สุคติภูมิ

ปีนี้ได้รับของขวัญปีใหม่จาก กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นสมุดภาพพลิกและสมุดบันทึก จิตรกรรมไตรภูมิ สมัยรัชกาลที่ 9 มีภาพเหล่าเทวดา นางฟ้ามากมาย พร้อมจิตรกรรมไทยอันงามวิจิตร นับเป็นของที่มีคุณค่ามาก

เมื่อกล่าวถึงไตรภูมิ เด็กรุ่นใหม่อาจจะไม่คุ้นหู หรือไม่ค่อยรู้จักกัน จึงขอหยิบยกเรื่องนี้มาคุย เผื่อเด็กรุ่นใหม่จะอยากไปศึกษาไตรภูมิกันบ้าง

    ไตรภูมิหรือไตรภูมิกถา เป็นวรรณคดีชิ้นเยี่ยมทางพระพุทธศาสนา ที่พระยาลิไท
    กษัตริย์พระองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์พระร่วงอาณาจักรสุโขทัย ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อพุทธศักราช 1888
    โดยมีพระราชประสงค์ เพื่อเป็นธรรมทานกับบุคคลทั้งหลาย ให้รู้ถึงปรัชญาในการดำรงชีวิตตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา โดยเน้นให้รู้จักกรรมที่แต่ละบุคคลกระทำ ซึ่งจะมีผลไปในทิศทางที่แตกต่างกัน 3 ประการ คือ ความสุข ความทุกข์ และความหลุดพ้นจากกิเลส



   เรามาดูความหมายของไตรภูมิกันบ้าง คำว่า ไตรภูมิ มาจากภาษาบาลีว่า เตภูมิ แปลว่า ภูมิ 3 คือ
   กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ซึ่งภูมิ แปลว่า ชั้น หรือพื้นเพแห่งจิต หมายถึงที่อยู่อาศัยของสัตว์โลกทั้งปวง ลองมาแยกดูแต่ละภูมิกัน

เริ่มที่ กามภูมิ เป็นที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกาม ที่ยังคงมีความรัก โลภ โกรธ หลง เดือดร้อนวุ่นวาย ยังแบ่งเป็น
    ทุคคติภูมิหรืออบายภูมิ 4 คือ เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน และนรก
    สุคติภูมิ คือ มนุษย์ สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามา ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นปรนิมมิตวสวดี
    หรือเวลาคนเราตายไป เราก็จะชอบพูดกันว่า ขอให้ไปสู่สุคติภูมิ คือ ภพภูมิที่ดีนั่นเอง


ภูมิที่ 2 รูปภูมิ เป็นที่อยู่ของผู้ได้รูปฌาน มี 16 ชั้น คือ พรหมณ์  ปาริสัชชา พรหมปโรหิตา มหาพรหมา ปริตรตาภา อัปปมาณาภา อาภัสสรา ปริตตสุภา อัปปมาณสุภา สุภกิณหา เวหัปผลา อสัญญีสัตตา อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา หรือเรียกว่า พรหมโลก

ภูมิที่ 3 อรูปภูมิ เป็นที่อยู่ของผู้ได้อรูปฌาน มี 4 ชั้น คือ ชั้นอากาสานัญจยตนะ  วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ และชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งสัตว์โลกย่อมเวียนว่ายตายเกิดจากอำนาจของกรรมหมุนเวียนไปในภูมิเหล่านี้ไปจนกว่าจะบรรลุพระอรหันต์ตัดกิเลสได้ จึงข้ามพ้นวัฏสงสารเหล่านี้ไปได้




พอได้ความรู้เกี่ยวกับไตรภูมิกันไปบ้าง ทีนี้เรามาดูว่า จิตรกรรมไตรภูมิสมัยรัชกาลที่ 9 มีที่มาอย่างไรและมีความสำคัญเช่นไร ม.ร.ว.จักรรถ จิตรพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ในฐานะผู้อำนวยการโครงการสร้างสรรค์ภาพไตรภูมิ สมัยรัชกาลที่ 9 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ได้เล่าให้ฟังว่า 

การวาดจิตรกรรมภาพไตรภูมิ สมัยรัชกาลที่ 9 นี้  วธ.ดำเนินโครงการที่สำนักช่างสิบหมู่ จ.นครปฐม เพื่อนำมาใช้เป็นภาพประกอบหนังสือไตรภูมิกถา ฉบับรัชกาลที่ 9 ขณะนี้การดำเนินงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว
    โดยได้คัดลอกมาจากหนังสือไตรภูมิกถา หรือเป็นที่รู้จักในนามไตรภูมิพระร่วง
    บทพระราชนิพนธ์ของพญาลิไท กษัตริย์สมัยสุโขทัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับบาปบุญคุณโทษ ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรม ตลอดจนเป็นสิ่งจรรโลงสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข นับเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกด้านพุทธศาสนาเรื่องแรกของไทย และยังคงรักษาอยู่มาถึงปัจจุบัน


“สมัยก่อนมีการคัดลอกเผยแพร่ด้วยการวาด ต่อมาเมื่อมีแท่นพิมพ์จะเน้นพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การคัดลอกด้วยมือ ด้วยการวาดจึงลดลงเกือบจะไม่มีเลย ผมจึงเกิดความเสียดายว่าประเพณีการคัดลอกหนังสือไตรภูมิ ประกอบกับช่างในสมัยรัชกาลที่ 9 ยังไม่เคยมีใครเป็นผู้จัดการอุปถัมภ์ให้เกิดขึ้นเลย
      ผมจึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
      ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554

      และเปิดโอกาสให้ศิลปินชั้นนำยุคนี้เขียนภาพไตรภูมิ อาทิ
      อ.ปรีชา เถาทอง ศิลปินแห่งชาติ อ.ปัญญา วิจินธนสาร พร้อมลูกศิษย์อีกร่วม 20 ชีวิต ช่วยกันเขียนในภาพเดียวกัน
      และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงตรวจเยี่ยมพร้อมทั้งทรงเขียนภาพปิดในไตรภูมิพระร่วง เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2555 ณ สำนักช่างสิบหมู่ ศาลายา จ.นครปฐม ถือเป็นอันเสร็จสมบูรณ์”
ม.ร.ว. จักรรถ กล่าว




สำหรับรูปแบบการวาดจิตรกรรมนี้ ม.ร.ว.จักรรถ บอกว่า ใช้ต้นแบบศิลปะจากภาพประกอบพระราชนิพนธ์ เรื่องพระมหาชนก ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่
    ชั้นพรหม เขียนภาพแนวไทยประเพณี ในลักษณะอุดมคติเชิงสัญลักษณ์เหมือนภาพความฝัน
    ชั้นกามภูมิ เขียนตามแนวของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
    ชั้นนรกภูมิ เขียนภาพลักษณะอุดมคติสร้างสรรค์เหมือนจริงแบบไทยสากล และ
    ชั้นมนุษยภูมิ เขียนภาพในลักษณะเหมือนจริงสมัยใหม่ สะท้อนชีวิตสังคมไทยปัจจุบันทั้งภาพคนดี คนชั่ว ปัญหาสังคม และภาพงานพระเมรุมาศสมัยสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ร่วมสมัยไว้ด้วย

    ที่หยิบเรื่องราวของไตรภูมิมาคุย ไม่เพียงอยากจะกระตุ้นให้เด็กรุ่นใหม่หันมาสนใจวรรณคดีทางพระพุทธศานาเล่มสำคัญกันแล้ว ยังอยากจะย้ำเตือนให้ทุกผู้ทุกนาม ระลึกถึงการทำความดีต่าง ๆ เมื่อเราละชีวิตไปจากโลกนี้แล้ว เราจะได้ไปสู่สุคติภูมิ ได้ไม่ลงไปสู่อบายภูมิ ให้เป็นเครื่องเตือนใจในการทำความดี ละเว้นความชั่วต่อการใช้ชีวิตตลอดปี 2556 และในวันข้างหน้าที่เราไม่รู้ว่า ความตายจะมาเยือนเมื่อใด.

มนตรี ประทุม


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.dailynews.co.th/education/175924
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ