ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: สติที่เหนือสติ  (อ่าน 2390 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
สติที่เหนือสติ
« เมื่อ: มิถุนายน 27, 2013, 08:01:09 am »
0

สติที่เหนือสติ

     สติเป็นเรื่องที่อยู่กับชีวิตของคนเราทุกคน การที่จะดำรงสติอยู่ตลอดเวลาได้นั้นเป็นเรื่องลำบาก พระพุทธเจ้าเลยให้อุบายกรรมฐานไว้ ถ้าจิตมันเพ้อเจ้อหลงใหลไปในทางใด ก็ให้กำหนดจิตกลับมาที่กรรมฐาน
สติที่กลับมาก็คือ อาณาปานัสสติที่เราฝึก
     ถ้าสติไม่อยู่กับตัว สิ่งแรกเลยคือจะต้องดึงสติมาที่ลมหายใจ ให้รู้ว่าลมหายใจเข้าหรือลมหายใจออก เพราะยังไงชีวิตคนเราต้องหายใจอยู่แล้ว เป็นกรรมฐานกองเดียวที่ทำให้คนมีชีวิตอยู่ กรรมฐานกองนี้นึกถึงเมื่อไหร่ก็จะมีสติระดับหนึ่ง เพราะคนเราอยู่ได้ด้วยการหายใจ เพราะไม่มีการหายใจเข้าหรือหายใจออก ก็หมายถึงการเสียชีวิต


      สติทุกขั้นตอนที่คนเรามีอยู่มันทำให้เราไม่หลงเลือนไปกับสิ่งที่มันเป็นอารมณ์ต่างๆ ถ้าจิตไม่ตั้งมั่นแล้วจิตไปยึดอารมณ์ฝ่ายอกุศลกรรมมาครอง ถ้าเรามีสติตั้งมั่นอยู่ เราก็จะไม่หลงลืมอารมณ์ฝ่ายอกุศลกรรม อย่างถ้าคนเราทำงานประจำวัน ถ้าจิตพลั้งเผลอไปก็ให้กลับมาดูที่ลมหายใจ เพื่อเป็นการดึงสติกลับมา ยิ่งเป็นนักบวช เป็นพระ เป็นนักพรต ที่ไม่ต้องทำงานต่างๆ ก็ยิ่งมีสติกับตัวมากยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะชีวิตประจำวันเอื้อให้ง่ายต่อการมีสติ

     แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีความแตกต่างใดๆ ระหว่างพระ นักบวช นักพรต ผู้ทรงศีล กับคนธรรมดาที่เป็นฆราวาส เพราะทุกสิ่งที่ทำในชีวิตประจำวัน มันจะแตกต่างกันตรงที่คนธรรมดามีกิจกรรมทางโลก พระหรือนักบวชก็มีกิจกรรมทางธรรม แต่หากวางสติในกิจกรรมทำนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสก็สามารถมีสติได้ตลอดเวลาเช่นกัน

     การฝึกสติด้วยการเพ่งกสิณนั้นเป็นการฝึกอบรมจิตให้มีสติอย่างเข้มข้น เมื่อจิตคุ้นชินกับการฝึกสติด้วยการเพ่งกสิณ จิตของเราก็จะได้ “จิตอภิมหาสติ” ที่มีความตั้งมั่นเหนือมหาสติที่ฝึกด้วยวิธีธรรมดา
     หากพิจารณาภายนอกจะไม่ค่อยแตกต่าง แต่เมื่อจิตที่มีสติแบบเข้มข้นได้ไปพิจารณาอะไรสักสิ่ง
     ก็จะเกิดปัญญาเห็นถึงสัจธรรมที่แท้จริงของสิ่งนั้น ว่าจะต้อง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสัจธรรมโลก
     เป็นสติที่เลยโลกสมมติไป



     สติจะกลายเป็นมหาสติ และมหาสติจะกลายเป็นจิตอภิมหาสติได้นั้น ต้องอาศัยทั้งการฝึกฝนและสะสมด้วยกันทั้ง 2 อย่าง
     ประการแรกเลย คนที่ฝึกจิตอย่างนี้จนเป็นมหาสติเป็นเพราะบุญเก่าเขาฝึกมามาก เขาเพ่งอยู่กับสิ่งสิ่งเดียวได้นานจนสติเขาตั้งมั่น จนเขารู้ว่าเขาทำอะไร คือ ตัวสติมันพัฒนาไปจนกลายเป็นมหาสติ
     เราจะเห็นเลยว่าในปกติที่เราดำเนินชีวิตอยู่ตามท่ามกลางสังคมปกติ คนที่สติแข็งแรงกว่าเรา เราจะเห็นเลยว่า เขาสามารถทำงานที่อยู่ในภาวะเคร่งเครียด หรือเสี่ยงต่ออันตรายได้ดีมาก คุยกันนิดเดียว เขาสามารถคุมเราอยู่ คือ สามารถดึงให้เราไปสนใจในสิ่งที่เขาพูดได้อย่างที่เราไม่รู้ตัว และเขาก็ไม่ออกท่าทางไหนในการเรียกความสนใจและจะไม่ค่อยพลาดให้เราเห็น เราจะเรียกตรงนี้ว่าความสุขุมก็ได้ เรียกว่า ความมีตบะก็ได้


    แต่เราจะเห็นด้วยตัวเอง คนเหล่านี้มีอยู่จริงๆ และเราก็เคยเห็นอานุภาพของเขามาแล้วบ้าง ไปคุยกับเขาแล้วเขาสามารถควบคุมเราได้โดยที่เขามีสติตั้งมั่น แต่สติที่เกิดเป็นปัญญารู้นี้ มันก็เกิดจากบุญเก่าส่วนหนึ่ง บุญเก่าทำมาดี พอชาตินี้ได้เดินตามแนวทางพุทธศาสนาที่เน้นการดำรงสติ ก็สามารถพัฒนาการดำรงสติให้เป็นมหาสติได้อย่างรวดเร็ว

    การที่นักบวชสามารถพัฒนาสติได้อย่างรวดเร็ว ก็เพราะว่าเขาเป็นผู้ประกาศตัวว่า จะต่อสู้กับกิเลสและอวิชชาทั้งปวง
    คนทั่วไปก็รู้ว่า คนคนนี้เป็นผู้ที่ต่อสู้กับกิเลส สภาพแวดล้อมมันช่วยในการฝึกสติ การดำเนินชีวิต จิตของเขาคนนั้นก็มีโอกาสพัฒนาสูงกว่า.


ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/160613/75081
ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ้ค Weera Sukmetup Phrakrusittisongvon


     กระทู้แนะนำ "จิตอภิมหาสติ"
     http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=11474.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 27, 2013, 08:10:57 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ