ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปัญหา : การถวายข้าวพระพุทธ  (อ่าน 3658 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29347
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ปัญหา : การถวายข้าวพระพุทธ
« เมื่อ: สิงหาคม 26, 2013, 08:15:00 am »
0

ถวายข้าวพระพุทธ

มีคำถามที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า การถวายข้าวพระพุทธ ซึ่งถือเป็นประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมานั้นมีความหมายที่แท้จริงอย่างไร ทำไมต้องถวายและพระพุทธเจ้าได้รับหรือไม่ ซึ่งก็พบว่ามีคำอธิบายแตกต่างกันไป

    ก่อนอื่นขอคำถวายข้าวพระพุทธมาบอกให้รับรู้อีกครั้ง คือ
    อิมัง สูปะพยัญชะนะสัมปันนัง สาลีนัง โอทะนัง
    อุทะกัง วะรัง พุทธัสสะ ปูเชมิ
    แปลว่า ข้าพเจ้าขอบูชาข้าวสุกข้าวสาลี พร้อมด้วยแกงกับ และน้ำอันประเสริฐนี้แด่พระพุทธเจ้า

    ส่วนคำลาข้าวพระพุทธคือ เสสัง มังคะลา ยาจามิ แปลว่า ข้าพเจ้าขอคืนเศษอันเป็นมงคลนี้ ข้าพเจ้าขอภัตต์ที่เหลือเป็นมงคลด้วยเถิด


     ask1 ask1 ask1

    สำหรับความหมายของการถวายข้าวพระพุทธ ขอเลือกคำอธิบายของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มีดังนี้

    อันการถวายข้าวพระนั้น แต่เดิมครั้งสมัยพุทธันดร ขณะที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระอานนท์พุทธอุปฐาก แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์กตัญญู มีความเคารพนับถือองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่ง ไม่มีอย่างอื่นใดจะเปรียบได้

    เมื่อครั้งที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จักเสด็จไปในที่ใดพระอานนท์พุทธอุปฐากนั้นไซร้ ก็ได้ติดตามไปใกล้ชิดพระยุคลบาทมิได้ห่างเหินเลย ครั้นทรงอาพาธด้วยโรคอย่างใด พระอานนท์พุทธอุปฐากก็ได้พยายามปรนนิบัติรักษาอย่างเต็มความสามารถเสมอ


     st11 st11 st11

    การถวายภัตตาหารก็ดี น้ำฉันก็ดี ปูอาสนะนั่งนอนก็ดีนั้น เป็นหน้าที่ของพระอานนท์พุทธอุปฐาก และได้กระทำสม่ำเสมอมา ไม่ว่าพระพุทธองค์จะทรงเสด็จไปในที่แห่งใด เมื่อเป็นเช่นนี้พระอานนท์จึงเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดต่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างยิ่ง

    และยิ่งกว่านั้นยังเป็นผู้ที่กระทำตนให้เหมือนตู้แห่งพระธรรม ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาฯ ตรัสออกจากพระโอษฐ์เพื่อเทศนาสั่งสอนปุถุชนเวไนยสัตว์ทั้งหลายก็ตาม พระอานนท์ย่อมจะต้องเป็นผู้รับรู้ซึ่งธรรมอันนั้นด้วย
    ในการที่จะแก้ปัญหาธรรมและตอบแก่ผู้มาถามทุกฝ่าย การปฏิบัติต่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาฯ ขององค์พระอานนท์พุทธอุปฐากนี้ ย่อมกระทำเป็นกิจวัตรตลอดมา โดยมิได้มีการเปลี่ยนแปลงและกระทำโดยสม่ำเสมอ

    เมื่อครั้งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาฯ เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว พระอานนท์พุทธอุปฐากก็ยังระลึกถึงองค์สมเด็จพระบรมศาสดาอยู่มิรู้วาย พระอานนท์คิดเสมอเหมือนหนึ่งว่า องค์สมเด็จพระบรมศาสดาฯ ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่
    แม้ว่าพระพุทธองค์จะเป็นผู้ขันธปรินิพพานไปแล้วก็ตาม แต่การปฏิบัติของพระอานนท์พุทธอุปฐากก็หาได้ยุติลงไม่ เหตุทั้งนี้ก็เพื่อเป็นเครื่องแสดงซึ่งกตัญญูกตเวทิตาคุณ ต่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาฯ


     

    เมื่อภายหลังประชาชนทั้งหลายได้ทราบเรื่อง จึงพากันซุบซิบนินทาว่า พระอานนท์ได้ปฏิบัติการไปนั้นไม่เป็นการถูกต้องสมควร
    แต่ได้มีพระมหากัสสปเถระผู้เป็นใหญ่ แก้ปัญหาข้อนี้ว่า
    การที่พระอานนท์กระทำไปหมายถึงว่า พระอานนท์ได้ระลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาฯ อยู่ตลอดเวลา การปฏิบัติถวายข้าวพระ น้ำดื่ม ปูอาสนะนั่งนอน แม้เมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาฯ ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ยังแสดงซึ่งกตัญญูกตเวทิตาคุณแก่ผู้มีพระคุณดังนี้

    การปูอาสนะที่นั่งนอนและภัตตาหารทั้งหลาย น้ำผลไม้หรืออัฏฐบาล น้ำดื่ม น้ำใช้ทั้งปวง เมื่อพระอานนท์เคยจัดอย่างไร เมื่อสมัยที่พระบรมศาสดาฯ ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระอานนท์ก็ได้จัดไว้เช่นนั้น จนตราบเท่าที่พระอานนท์ดับขันธปรินิพพานไปเช่นเดียวกัน
    การกระทำเช่นนี้เป็นการแสดงกตเวทิตาธรรม อันวิญญูชนทั้งหลายพึงทราบความเป็นจริง ตามที่กล่าวมานี้ เข้าใจหรือยัง


      ans1 ans1 ans1

     ส่วนที่มาที่ไปของการถวายข้าวพระพุทธรูปมีที่มาที่ไปดังนี้ ในสมัยพุทธกาล พระนางมหาปชาบดีโคตมี ต้องการถวายผ้ากับพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกกับพระนางว่าขอให้นางถวายแด่สงฆ์เถิด เมื่อนางถวายแด่สงฆ์ก็ชื่อว่าถวายกับเราด้วย พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องสังฆทานว่ามีผลมากและแสดงเรื่องสังฆทานว่าเป็นอย่างไร

    ประการแรกที่เป็นสังฆทานคือ ถวายกับสงฆ์สองฝ่าย มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็นประธานสงฆ์สองฝ่ายคือภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์
    แต่เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วจะถวายสังฆทานกับสงฆ์สองฝ่ายอันมีพระพทธเจ้าเป็นประมุข เป็นประธานได้อย่างไร ก็ด้วยการตั้งพระพุทธรูปไว้ แล้วถวายกับพระพุทธรูปและสงฆ์สองฝ่ายนั่นก็เป็นสังฆทาน

    ประการที่ 2 ถามว่าพระพุทธเจ้าจะได้รับอาหารหรือไม่ในการถวายข้าว
    คำตอบคือ ไม่ได้รับเพราะพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว จะไม่มีการเกิดขึ้นอีกของขันธ์ 5 จึงไม่มีสภาพธรรมใดเกิดขึ้นบัญญัติว่าเป็นพระพุทธเจ้า จึงไม่สามารถรับหรือล่วงรู้อะไรได้เลยในการถวายอาหาร

 
      gd1 gd1 gd1

    แต่ต้องบอกว่า สำหรับผู้มีปัญญามีความเข้าใจถูก ย่อมตั้งจิตด้วยความเคารพระลึกถึงพระพุทธเจ้า
    แต่ไม่ได้มีเจตนาให้พระพุทธเจ้าเสวย เจตนาที่ถูกต้อง คือ เคารพเหมือนพระพุทธองค์เป็นประธานในสงฆ์สองฝ่าย
    และสมัยนั้นยังมีสงฆ์สองฝ่ายอยู่จึงถวายสังฆทาน อันมีอาหารด้วยการมีพระพุทธรูปเป็นประธาน
    ถวายกับพระพุทธรูป ด้วยความเข้าใจถูกว่าไม่ใช่ให้พระพุทธเจ้าเสวยเพราะทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว
    แต่แสดงถึงความเคารพในพระพุทธเจ้าเหมือนพระองค์เป็นประมุขในสงฆ์สองฝ่าย

    นี่เองแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องของปัญญาและความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งสามารถศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้ได้ในพระไตรปิฎก เรื่องถวายอาหารแด่พระพุทธรูปเมื่อมีสงฆ์สองฝ่าย (ทักขิณาวิภังคสูตร).



ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/180813/77938
ขอบคุณภาพจาก http://www.thaiws.com/ , http://www.bloggang.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ