ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ข่าวลือ-ข่าวจริง.? แยกแยะอย่างไรใน Social Media.?  (อ่าน 2378 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ข่าวลือ-ข่าวจริง? แยกแยะอย่างไรใน Social Media?

ทุกวันนี้ วันที่คนไทยกว่า 25 ล้านคน หรือเกือบร้อยละ 38 ของประชากรไทยทั้งหมดสามารถเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และในจำนวนนี้ มีผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์หรือ Social media ถึงกว่า 18 ล้านคน

โดยในบรรดาผู้ที่ใช้ Social Media ในประเทศไทย สามารถแบ่งเป็นผู้ใช้ Facebook ถึงร้อยละ 85 หรือประมาณ 15.3 ล้านบัญชี ขณะที่ Twitter มีผู้ใช้ร้อยละ 10 หรือ 1.8 ล้านบัญชี ตามด้วย Instagram ที่มีผู้ใช้ร้อยละ 5 หรือเกือบ 1 ล้านบัญชี ทั้งนี้ ยังไม่รวมจำนวนผู้ใช้โปรแกรมประยุกต์ในการสื่อสารระหว่างบุคคลต่อบุคคล หรือ บุคคลสู่กลุ่มบุคคลเช่น แอพพลิเคชั่น Line ที่มีคนไทยเป็นสมาชิกแล้วกว่า 10 ล้านบัญชี





แน่นอนว่า หากจะนับจำนวนคนไทยที่เข้าใช้สื่อสังคมออนไลน์ทั้งแบบเปิดได้แก่ Facebook, Twitter, Instagram และแบบปิดได้แก่ Line และ WhatApp อาจจะไม่เท่าจำนวนบัญชีที่มีการลงทะเบียน เพราะบางคนอาจมีหลายบัญชี เพราะมีเครื่องมือในการใช้ Social Media แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (desktop) โน๊ตบุ๊ค แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟนที่มีราคาถูกลงเรื่อยๆ

เมื่อมีจำนวนผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์มีมากขึ้น โอกาสในการที่คนไทยจะทำหน้าที่เป็น “ผู้ส่งสาร” ด้วยตัวเองก็มีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของข้อความ รูปภาพหรือวิดีโอ ที่ทุกคนสามารถเขียนข้อความ ถ่ายภาพ หรือถ่ายวิดีโอได้ง่ายๆ ด้วยเครื่องมือสื่อสารแบบพกพาต่างๆ แล้วส่งต่อแบ่งปันไปยังเพื่อนและผู้ติดตามทางสื่อสังคมออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในวันที่เครือข่ายการสื่อสารเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความทั่วถึงและครอบคลุมมากขึ้น





วันนี้ เราจึงได้เห็นรูปแบบการสื่อสารแบบใหม่ที่มีการส่งข้อความต่อๆกันไป ทั้งแบบที่เป็นธรรมชาติและแบบที่ถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการทางการตลาดในเครือข่ายสื่อสังคมออนไลน์ หรือที่เรียกกันว่า Viral Marketing จนทำให้ไม่สามารถแยกได้ออกว่า ข่าวสาร ข้อความ รูปแบบ หรือวิดีโอชิ้นใด เป็นของจริง ชิ้นใดเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อการตลาด หรือชิ้นใดถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดวามปั่นป่วนหรือตื่นตระหนกตกใจ

จากช่วงระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา คนไทยเราคุ้นเคยและมีบทเรียนในการแยกแยะข่าวจริงกับข่าวลือ หรือข่าวปล่อยที่ถูกเผยแพร่ออกมาทางเครือข่ายสังคมออนไลน์แบบเปิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Facebook มาพอสมควร เช่น คลิปคุณครูที่แสดงอาการเกรี้ยวกราดขวางโทรศัพท์มือถือของนักเรียนที่ใช้โทรศัพท์ขณะที่ครูกำลังสอน แต่สุดท้ายกลายเป็นคลิปโฆษณาแฮมเบอร์ยี่ห้อหนึ่ง เป็นต้น



ภาพประกอบจาก -http://www.youtube.com/watch?v=zd0qWTH3swM-


แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่าในปัจจุบันคือ การปล่อยข่าวลือในสื่อสังคมออนไลน์ในระบบปิด โดยเฉพาะ Line ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดย Line กลายเป็นพื้นที่มีการส่งข่าวสารเฉพาะกลุ่มบุคคลที่รู้จักกัน หรือในกลุ่มเพื่อนหรือเครือญาติต่างๆ ซึ่งความที่เป็นสื่อสังคมออนไลน์ในระบบปิดนี่เอง ที่ทำให้ข่าวสารที่ถูกส่งต่อกันใน Line ได้รับความน่าเชื่อถือสูงกว่าสื่อสังคมออนไลน์ในระบบเปิดอื่นๆ

โดยธรรมชาติของคน เมื่อได้รับข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์ในระบบปิด หรือที่เรียกว่าเป็นการสื่อสารระหว่างบุคคล ก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อถือข่าวสารนั้น และส่งต่อๆกันไปในระยะเวลาอันรวดเร็ว

ดังนั้น ในช่วงหลังๆ มานี้ เราอาจจะเคยได้รับข่าวว่า จะเกิดภัยพิบัติจากระบบสุริยะจักรวาลต่างๆนานา โดยอ้างแหล่งข่าวจากองค์การนาซ่า ของสหรัฐฯ พร้อมทั้งกำชับว่าถ้าไม่เชื่อ ให้ไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ google บางคนที่ไม่มีเวลาตรวจสอบก็จะเชื่อในทันทีและส่งต่อข้อความนั้นออกไปยังเครือข่ายที่ตนเป็นสมาชิกอยู่ แล้วก็ส่งต่อๆกันไปเรื่อยๆ จนคนส่วนใหญ่เชื่อว่า เป็นข่าวจริง





นอกจากนี้ ในบางครั้ง อาจมีการนำข่าวสารที่เขียนสั้นๆ แต่อยู่ในกระแส มาร้อยเรียงให้เป็นข้อความที่น่าตกใจสำหรับผู้ที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารนั้นอย่างใกล้ชิด เช่น เมื่อเร็วๆนี้ มีการส่งข้อความต่อๆ กันในทำนองว่า รัฐสภาสหรัฐฯอนุมัติให้ประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า โจมตีซีเรียแล้ว โลกกำลังจะเกิดสงครามใหญ่

แต่ถ้าอ่านดีๆ และติดตามข่าวสารเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิดก็จะพบว่า ข้อความที่ส่งมาได้ขมวดปมข้อความไว้ด้วยว่า การอนุมัติที่ว่านี้ เป็นการอนุมัติของคณะกรรมาธิการต่างประเทศเท่านั้น ไม่ใช่รัฐสภาสหรัฐฯทั้งหมด แต่คนที่อ่านไม่ละเอียดและไม่ได้ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิดก็จะตื่นตกใจและส่งข่าวต่อๆไปโดยไม่ได้มีการตรวจสอบก่อน

อีกกรณีหนึ่งคือ เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีการส่งต่อข้อความทาง Line ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านปศุสัตว์ย่านสีลม ไล่พนักงานกลับบ้านหมด เนื่องจากติดไข้หวัดนกมาจากฟาร์มไก่ของบริษัทนั้นเอง ซึ่งแม้ว่า จะมีการตรวจสอบและชี้แจงผ่านสื่อมวลชนโดยบริษัทดังกล่าวแล้ว แต่การส่งต่อข้อความนี้ในสื่อสังคมออนไลน์ในระบบปิดก็ยังคงมีอยู่เกือบ 1 สัปดาห์ ซึ่งสะท้อนว่า คนไทยในปัจจุบันติดตามและเชื่อถือข่าวสารจากสื่อสังคมออนไลน์  โดยไม่ได้ติดตามข่าวจากสื่อมวลชน และเมื่อข้อความถูกส่งต่อซ้ำๆ เป็นเวลานาน ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่คนจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง





ล่าสุด มีกรณีการปล่อยข่าวข่าวลือว่า เขื่อนป่าสักฯจะปล่อยน้ำเพิ่ม เพราะน้ำล้นอ่างฯ ทำให้ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน ต้องรีบออกมาชี้แจงว่า... 
     “ตามที่ได้เกิดข่าวลือว่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จะเปิดน้ำเต็มที่ในช่วงวันที่ 9 – 10 ต.ค. นี้ เพราะน้ำล้นแล้ว ใครอยู่กรุงเทพตะวันออกเตรียมยกของขึ้น นั้นกรมชลประทาน ขอเรียนชี้แจงว่า ปัจจุบันเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำในเขื่อน จำนวน 1,076 ล้านลูกบาศก์เมตร(ระดับเก็บกักสูงสุด 960 ล้านลูกบาศก์เมตร) มีการระบายน้ำออกจากเขื่อนวันละประมาณ 60 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เนื่องจากยังมีปริมาณน้ำเหนือไหลเข้าอ่างฯอย่างต่อเนื่อง แต่อยู่ในเกณฑ์ที่น้อยลงแล้ว และไม่มีเหตุการณ์น้ำล้นอ่างฯตามที่เป็นข่าวลือแต่อย่างใด… “

จากกรณีปัญหาของการปล่อยข่าวลือต่อๆ กันไปในสื่อสังคมออนไลน์ ทั้งในระบบเปิดและระบบปิด จนทำให้ผู้รับข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่า อะไรเป็นข่าวลือ และอะไรเป็นข่าวจริงนั้น ข้อแนะนำที่ดีที่สุดก็คือ เมื่อได้รับข่าวสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์แล้ว ควรจะต้องตรวจสอบข่าวดังกล่าวจากสื่อมวลชนออนไลน์ที่ปัจจุบันต่างเสนอข่าวด้วยความรวดเร็วอยู่แล้ว





ทั้งนี้ เพราะสื่อมวลชนนั้น มีบทบาทหน้าที่โดยตรง ในการตรวจสอบข่าวสารข้อเท็จจริงให้ถูกต้องและรอบด้านก่อนการนำเสนอ ยิ่งในภาวะที่มีการปล่อยข่าวลือผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยแล้ว สื่อมวลชนมีหน้าต้องทำงานหนักขึ้นในการตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงก่อนการนำเสนอข่าวสารนั้น ด้วยความรอบคอบและไม่คิดถึงแต่ความรวดเร็วในการนำเสนอเท่านั้น

ดังนั้น เพื่อให้การแยกแยะระหว่าง “ข่าวลือ” กับ “ข่าวจริง” ของผู้รับสารในยุคสื่อสังคมออนไลน์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จึงควรตรวจสอบข่าวสารจากสื่อมวลชนออนไลน์หลายๆ สื่อ หากมีการยืนยันข้อมูลที่ตรงกัน ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้





เพราะการส่งต่อข่าวสารที่ได้รับจากสื่อสังคมออนไลน์ต่อๆกันไป โดยไม่มีการตรวจสอบ อาจนำมาซึ่งความเสียหายและเกิดความวุ่นวายขึ้นในสังคม และที่สำคัญอาจจะเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับอีกด้วย...

ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี
www.twitter.com/chavarong
chavarong@thairath.co.th


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/column/tech/socialmediathink/375160
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ