
อ่านแล้ว ก็อนุโมทนา ระดับหนึ่ง
แต่ที่แสดงไว้ ก็ทราบได้ว่า ยังไม่สามารถ เข้า อุปจาระฌานได้ วิตก วิจาร ในกรรมฐานไม่มีสัญญา ใด ๆ
วิตก คือ องค์ บริกรรม เช่น พุทโธ
วิจาร คือ การรวมจิต อยู่กับ พุทโธ
ผลของสมาธิ ระดับ ขณิก อุปจาระ สมาธิ ทั้งสองนั้น ให้ผลอย่างเดียว คือ หยุด นิ่ง อยู่ที่องค์ บริกรรม ไม่มีสัญญาใด ๆ ว่างจาก ขันธ์ 5 ชั่วคราว จึงเรียกว่า หมด วิจิกิจฉา ความสงสัย และ อุทธัจจะกุกุกจะ ความฟุ้งซ่าน อารมณ์ของสมาธิ ให้ ผลสมาบัติ ตั้งแต่ ขณิกะสมาธิ เรื่องเดียว คือ หยุดปรุงแต่ง บรรดา สรรพกิเลสทั้งหมด ชั่วคราว หรือ ที่เรียกว่า สิ้น นิวรณ์ ธรรมเครื่องกั้นขวางจิต
ดังนั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ ในระดับ ขณิกะ และ อุปจาระสมาธิ ( เป็นคุณสมบัติของปัญญาวิมุตติ )
1.จิตไม่ปรากฏสัญญา ในขันธ์ 5 ชั่วขณะ ตามระดับสมาธิ
2.จิตวาง อยู่ บริกรรม และ เกิดฉันทะในสมาธิ เรื่องเดียว คือการบริกรรม
3.จิตพร้อมวิปัสสนา เพียงแต่ยก องค์วิปัสสนา บริกรรมต่อ เพียงเท่านั้น
4.จิตมิได้นึกองค์ธรรมขึ้นเอง ต้องยกขึ้น เพราะจิตปราศจากนิวรณ์ เป็น กุศล เรียกว่า มหรคตจิต
5.ผลที่เกิดด้วยอำนาจสมาธิ มีฉันทะสมาธิ นั้นไม่เรียกว่าเสพย์ เพราะเป็นผล ที่เกิดขึ้นเองตามสภาวะจิตที่ปราศจากนิวรณ์ เป็น กุศลจิต ฝ่ายละเอียด
6.สามารถในสมาธิ คือ หยุดการปรุงแต่งชั่วคราว ไม่ฟุ้งไปเรื่องใด ๆ มีเพียงเรื่องเดียว ถ้าสำเร็จเป็นพระอริยะบุคคลระดับ พระโสดาบัน สามารถทรงสมาธิได้ 24 -30 ชั่วโมงเท่านั้น เรียกว่า ผลสมาบัติ ดัวยผลแห่งการละสังโยชน์ อย่างสิ้นเชิง
วิตก และ วิจาร ในสมาธิ ไม่มีการปรุงแต่ง เริ่มต้นด้วยการบริกรรม วิจารในท่ามกลาง ละนิวรณ์เป็นที่สุด
เจริญธรรม / เจริญพร