.
อรรถกถาเล่มที่ ๓๓ ภาษาบาลีอักษรไทย | เถร.อ.๒ (ปรมตฺถที.๒)
๑๗. ตึสนิปาต | ๓๙๕. ๑. ปุสฺสตฺเถรคาถาวณฺณนา
"ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม" ติ อาห. ตตฺถ กตโม ปจฺฉิมกาโล?
"ตติยสงฺคีติโต ปฏฺฐาย ปจฺฉิมกาโล" ติ เกจิ, ตํ เอเก นานุชานนฺติ.
สาสนสฺส หิ ปญฺจยุคานิ วิมุตฺติยุคํ, สมาธิยุคํ, สีลยุคํ, สุตยุคํ, ทานยุคนฺติ.
เตสุ ปฐมํ วิมุตฺติยุคํ,
ตสฺมึ อนฺตร-หิเต สมาธิยุคํ วตฺตติ,
ตสฺมิมฺปิ อนฺตรหิเต สีลยุคํ วตฺตติ,
ตสฺมิมฺปิ อนฺตรหิเต สุตยุคํ วตฺตเตว.
อปริสุทฺธสีโล หิ เอกเทเสน ปริยตฺติพาหุสจฺจํ ปคฺคยฺห ติฏฺฐติ ลาภาทิกามตาย.
ยถา ปน มาติกาปริโยสานา ปริยตฺติ สพฺพโส อนฺตรธายติ,
ตโต ปฏฺฐาย ลิงฺคมตฺตเมว อวสิสฺสติ,
ตทา ยถา ตถา ธนํ สํหริตฺวา ทานมุเข
วิสฺสชฺเชนฺติ, สา กิร เนสํ จริมา สมฺมาปฏิปตฺติ.
ตตฺถ สุตยุคโต ปฏฺฐาย ปจฺฉิม-กาโล, "สีลยุคโต ปฏฺฐายา"ติ อปเร.
@@@@@@@
เอวํ เถโร ปจฺฉิเม กาเล อุปฺปชฺชนกํ มหาภยํ ทสฺเสตฺวา ปุน ตตฺถ สนฺนิปติต-ภิกฺขูนํ โอวาทํ ททนฺโต "ปุรา อาคจฺฉเต "ติอาทินา ติสฺโส คาถา อภาสิ. ตตฺถปุรา อาคจฺฉเต เอตนฺติ เอตํ มยา ตุมฺหากํ วุตฺตํ ปฏิปตฺติอนฺตรายกรํ อนาคตํ มหาภยํ อาคจฺฉติ ปุรา, ยาว อาคมิสฺสติ, ตาวเทวาติ อตฺโถ. สุพฺพจาติ วจนกฺขมา โสวจสฺสการเกหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคตา, ครูนํ อนุสาสนิโย ปทกฺขิณคฺคาหิโน โหถาติ อตฺโถ. สขิลาติ มุทุหทยา.
เมตฺตจิตฺตาติ สพฺพสตฺเตสุ หิตูปสํหารลกฺขณาย เมตฺตาย สมฺปยุตฺตจิตฺตา. การุณิกาติ กรุณาย นิยุตฺตา ปเรสํ ทุกฺขาปนยนาการวุตฺติยา กรุณาย สมนฺนาคตา. อารทฺธวีริยาติ อกุสลานํ ปหานาย กุสลานํ อุปสมฺปทาย ปคฺคหิตวิริยา. ปหิตตฺตาติ นิพฺพานํ ปฏิเปสิตฺจิตฺตา. นิจฺจนฺติ สพฺพกาลํ. ทฬฺหปรกฺกมาติ ถิรวิริยา. ปมาทนฺติ ปมชฺชนํ กุลสานํ ธมฺมานํ อนนุฏฺฐานํ อกุสเลสุ จ ธมฺเมสุ
จิตฺตโวสฺสคฺโค. วุตฺตํ หิ :-
"ตตฺถ กตโม ปมาโท, กายทุจฺจริเต วา วจีทุจฺจริเต วา มโนทุจฺจริเต วา ปญฺจสุ วา กามคุเณสุ จิตฺตสฺส โวสฺสคฺโค โวสฺสคฺคานุปฺปทาน, กุสลานํ ธมฺมานํ ภาวนาย อสกฺกจฺจกิริยตา" ติอาทิ.
@@@@@@@
อปฺปมาทนฺติ อปฺปมชฺชนํ, โส ปมาทสฺส ปฏิปกฺขโต เวทิตพฺโพ. อตฺถโต หิ อปฺปมาโท นาม สติยา อวิปฺปวาโส, อุปฏฺฐิตาย สติยา เอว เจตํ นามํ. อยํ เหตฺถ อตฺโถ:- ยสฺมา ปมาทมูลกา สพฺเพ อนตฺถา,
อปฺปมาทมูลกา จ สพฺเพ อตฺถา, ตสฺมา ปมาทํ ภยโต อุปทฺทวโต ทิสฺวา อปฺปมาทญฺจ เขมโต อนุปทฺทวโต ทิสฺวา อปฺปมาทปฏิปตฺติยา สิขาภูตํ สีลาทิกฺขนฺธตฺตยสงฺคหํ สมฺมา-ทิฏฺฐิอาทีนํ อฏฺฐนฺนํ องฺคานํ วเสน อฏฺฐงฺคิกํ อริยมคฺคํ ภาเวถ,
อมตํ นิพฺพานํ ผุสนฺตา สจฺฉิกโรนฺตา อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปาเทถ,
ทสฺสนมคฺคมตฺเต อฏฺฐตฺวา อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ อุปฺปาทนวเสน วฑฺเฒถ,
เอวํ โว อปฺปมาทภาวนา สิขาปตฺตา ภวิสฺสตีติ.
เอวํ เถโร สมฺปตฺตปริสํ โอวทติ.
อิมา เอว จิมสฺส เถรสฺส อญฺญาพฺยากรณ-คาถา อเหสุนฺติ.
ปุสฺสตฺเถรคาถาวณฺณนา นิฏฺฐิตา.
อรรถกถาปุสสเถรคาถา(ยกมาแสดงบางส่วน)
พระเถระเมื่อจะแสดงถึงกาลนั้นนั่นแหละโดยสรุป จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ดังนี้.
ก็ปัจฉิมกาลในคำนั้นเป็นไฉน?
อาจารย์บางพวกตอบว่า ตั้งแต่ตติยสังคายนามา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์บางพวกไม่รู้คำนั้นเลย
จริงอยู่ ยุคแห่งพระศาสนามี ๕ ยุค คือวิมุตติยุค สมาธิยุค ศีลยุค สุตยุคและทานยุค.
บรรดายุคเหล่านั้น ยุคแรกจัดเป็นวิมุตติยุค,
เมื่อวิมุตติยุคนั้นอันตรธานแล้ว สมาธิยุคก็เป็นไป,
แม้เมื่อสมาธิยุคนั้นอันตรธานแล้ว ศีลยุคก็เป็นไป,
แม้เมื่อศีลยุคนั้นอันตรธานแล้ว สุตยุคก็เป็นไปทีเดียว.
ก็ผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ประคับประคองปริยัตติธรรมและพาหุสัจจะให้ดำรงอยู่ได้ โดยอย่างเดียวหรือสองอย่าง เพราะค่าที่ตนมุ่งถึงลาภ เป็นต้น.

ก็ในคราวใด ปริยัตติธรรมมีมาติกาเป็นที่สุดย่อมอันตรธานไปทั้งหมด
ตั้งแต่นั้นมาจักเหลือก็เพียงเพศเท่านั้น
ในคราวนั้นคนทั้งหลายจะพากันรวบรวมเอาทรัพย์ตามมีตามได้แล้ว เสียสละโดยมุ่งให้ทาน,
เล่ากันว่า การปฏิบัตินั้นจัดเป็นสัมมาปฏิบัติครั้งสุดท้ายของคนเหล่านั้น.
บรรดายุคเหล่านั้น ตั้งแต่สุตยุคมาจัดเป็นปัจฉิมกาล,
อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า ตั้งแต่ศีลยุคมาจึงจัดเป็นปัจฉิมกาลก็มี.
@@@@@@@
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรา อาคจฺฉเต เอตํ ความว่า ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติที่เรากล่าวแล้วแก่พวกท่านทั้งหลายนั้น ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน คือ จักมาจนถึงในกาลนั้นนั่นแล
บทว่า สุพฺพจา ได้แก่ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ คือประกอบพร้อมด้วยธรรมอันกระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย.
อธิบายว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในคำสั่งสอนของครูทั้งหลาย คือมีปกติรับโอวาทเบื้องขวา.
บทว่า สขิลา ได้แก่ มีใจอ่อนโยน.
บทว่า เมตฺตจิตฺตา ได้แก่ มีจิตประกอบพร้อมด้วยเมตตามีอันนำประโยชน์เข้าไปให้สัตว์ทั้งปวงเป็นลักษณะ.
บทว่า การุณิกา ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยกรุณา คือประกอบพร้อมแล้วด้วยความกรุณา มีการประพฤติปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์เหล่าอื่น.
บทว่า อารทฺธวีริยา ได้แก่ มีความเพียร เพื่ออันละเสียซึ่งอกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม.
บทว่า ปหิตตฺตา ได้แก่ มีจิตอันส่งตรงไปเฉพาะพระนิพพาน.
บทว่า นิจฺจํ ได้แก่ ตลอดกาลทั้งปวง.
บทว่า ทฬฺหปรกฺกมา ได้แก่ มีความเพียรมั่นคง.
บทว่า ปมาทํ ได้แก่ ความประมาท คือการไม่ตั้งไว้ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย.
สมดังที่ตรัสไว้ว่า :-
"ในข้อนั้น ความประมาทเป็นไฉน, การปล่อยจิตไป การตามเพิ่มให้ซึ่งความปล่อยจิตในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือการทำการบำเพ็ญกุศลธรรมโดยไม่เคารพ ดังนี้เป็นต้น."
บทว่า อปฺปมาทํ ได้แก่ ความไม่ประมาท, ความไม่ประมาทนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยตรงกันข้ามจากความประมาทเถิด. ก็โดยความหมาย ชื่อว่าความไม่ประมาท ก็คือการไม่อยู่ปราศจากสติ, และคำนั้นเป็นชื่อของการเข้าไปตั้งสติไว้มั่นคง.
@@@@@@@
จริงอยู่ ในข้อนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้
เพราะสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมีความประมาทเป็นมูล และสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมีความไม่ประมาทเป็นมูล
ฉะนั้น ท่านทั้งหลายพึงเห็นความประมาทโดยความเป็นภัย คือโดยความเป็นอุปัทวะแล้ว และพึงเห็นความไม่ประมาทโดยความปลอดภัย คือ โดยไม่มีอุปัทวะแล้ว พึงเจริญอัฏฐังคิกมรรค คืออริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นที่สงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ มีศีลขันธ์เป็นต้น อันเป็นยอดแห่งข้อปฏิบัติ ด้วยความไม่ประมาทเถิด,
ท่านจะถูกต้อง คือกระทำให้แจ้ง ซึ่งอมตธรรมได้แก่พระนิพพานให้เกิดขึ้นในสันดานของตนได้,
ครั้นเข้าถึงทัสสนมรรค (โสดาปัตติมรรค) แล้วก็เจริญด้วยการทำมรรค ๓ เบื้องบนให้บังเกิดขึ้นอีก ท่านบำเพ็ญภาวนาจักถึงที่สุดยอดได้ก็ด้วยความไม่ประมาทด้วยประการฉะนี้แล.
พระเถระกล่าวสั่งสอนบริษัทที่ถึงพร้อมแล้วอย่างนี้แล.
ก็คาถาพยากรณ์ความเป็นพระอรหัตเหล่านี้ทั้งหมดได้มีแล้วแก่พระเถระนี้แล.
จบอรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ ๑ _______________________________________
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติงสนิบาต, ๑. ปุสสเถรคาถา
อรรถกถาเถรคาถา ติงสนิบาต, อรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ ๑
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=395ขอบคุณภาพจาก pinterest