ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พุทธศาสนา ๕ ยุค | หลังตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณี จะปฏิบัติตนเช่นไร.?  (อ่าน 3555 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



"คาถาพยากรณ์" ของ 'พระปุสสเถระ'

[๓๙๕] ฤาษีมีชื่อตามโคตรว่า ปัณฑรสะ ได้เห็นภิกษุเป็นอันมาก ที่น่าเลื่อมใส มีตนอันอบรมแล้ว สำรวมด้วยดี จึงได้ถามพระปุสสเถระว่า

    ในอนาคตภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้
    จักมีความพอใจอย่างไร.?
    มีความประสงค์อย่างไร.?
    กระผมถามแล้ว ขอจงบอกความข้อนั้นแก่กระผมเถิด.?

พระปุสสเถระจึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า

             
@@@@@@@
           
ดูกรปัณฑรสฤาษี ขอเชิญฟังคำของอาตมา จงจำคำของอาตมาให้ดี อาตมาจะบอกซึ่งข้อความที่ท่านถามถึงอนาคต คือ

    ในกาลข้างหน้า ภิกษุเป็นอันมากจักเป็นคนมักโกรธ มักผูกโกรธไว้ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อ โอ้อวด ริษยา มีวาทะต่างๆ กัน
    จักเป็นผู้มีมานะในธรรมที่ยังไม่รู้ทั่วถึง คิดว่าตื้นในธรรมที่ลึกซึ้ง เป็นคนเบา ไม่เคารพธรรม ไม่มีความเคารพกันและกัน

    ในกาลข้างหน้า โทษเป็นอันมากจักเกิดขึ้นในหมู่สัตวโลก ก็เพราะภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ปัญญา จักทำธรรมที่พระศาสดาทรงแสดงแล้วนี้ ให้เศร้าหมอง
    ทั้งพวกภิกษุที่มีคุณอันเลว โวหารจัด แกล้วกล้า มีกำลังมาก ปากกล้า ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ก็จักมีขึ้นในสังฆมณฑล
    ภิกษุทั้งหลายในสังฆมณฑล แม้ที่มีคุณความดี มีโวหารโดยสมควรแก่เนื้อความ มีความละอายบาป ไม่ต้องการอะไรๆ ก็จักมีกำลังน้อย
                       
@@@@@@@
   
ภิกษุทั้งหลายในอนาคตที่ทรามปัญญา ก็จะพากันยินดีเงินทอง ไร่นา ที่ดิน แพะ แกะ และคนใช้หญิงชาย

จักเป็นคนโง่มุ่งแต่จะยกโทษผู้อื่น ไม่ดำรงมั่นอยู่ในศีล ถือตัว โหดร้าย เที่ยวยินดีแก่การทะเลาะวิวาท
จักมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรที่ย้อมสีเขียวแดง เป็นคนลวงโลก กระด้าง เป็นผู้แส่หาแต่ลาภผล เที่ยวชูเขา คือ มานะ ทำตนดั่งพระอริยเจ้าท่องเที่ยวไปอยู่

    เป็นผู้แต่งผมด้วยน้ำมัน ทำให้มีเส้นละเอียด เหลาะแหละ ให้ยาหยอดและทาตา มีร่างกายคลุมด้วยจีวรที่ย้อมด้วยสีงา สัญจรไปตามตรอกน้อยใหญ่

    จักพากันเกลียดชังผ้า อันย้อมด้วยน้ำฝาดเป็นของไม่น่าเกลียด พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วยินดียิ่งนัก เป็นธงชัยของพระอรหันต์ พอใจแต่ในผ้าขาวๆ
    จักเป็นผู้มุ่งแต่ลาภผล เป็นคนเกียจคร้าน มีความเพียรเลวทราม เห็นการอยู่ป่าอันสงัดเป็นความลำบาก จักใคร่อยู่ในเสนาสนะที่ใกล้บ้าน

    ภิกษุเหล่าใดยินดีมิจฉาชีพ จักได้ลาภเสมอๆ จักพากันประพฤติตามภิกษุเหล่านั้น (เที่ยวคบหาราชสกุลเป็นต้นเพื่อให้เกิดลาภแก่ตน) ไม่สำรวมอินทรีย์ เที่ยวไป

           
@@@@@@@
               
อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชาพวกภิกษุที่มีลาภน้อย จักไม่สมคบภิกษุที่เป็นนักปราชญ์มีศีลเป็นที่รัก จักทรงผ้าสีแดง ที่ชนชาวมิลักขะชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้าอันเป็นธงชัยของตนเสีย บางพวกก็นุ่งห่มผ้าสีขาวอันเป็นธงของพวกเดียรถีย์

อนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุเหล่านั้นจักไม่เคารพในผ้ากาสาวะ จักไม่พิจารณาในอุบายอันแยบคาย บริโภคผ้ากาสาวะ เมื่อทุกข์ครอบงำ ถูกลูกศรแทงเข้าแล้ว ก็ไม่พิจารณาโดยแยบคาย แสดงอาการยุ่งยากในใจออกมา มีแต่เสียงโอดครวญอย่างใหญ่หลวง

เปรียบเหมือนช้างฉัททันต์ ได้เห็นผ้ากาสาวะอันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ ที่นายโสณุตระพรานนุ่งห่มไปในคราวนั้น ก็ไม่กล้าทำร้าย ได้กล่าวคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์มากมายว่า





    ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะและสัจจะ จักนุ่งผ้ากาสาวะ ผู้นั้นย่อมไม่ควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
    ส่วนผู้ใดคายกิเลสดุจน้ำฝาดออกแล้ว ตั้งมั่นอยู่ในศีลอย่างมั่นคง ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นจึงสมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้

    ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่อย่างเดียว มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่ขวนขวายในทางที่ควร ผู้นั้นไม่สมควรจะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ
    ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ มีใจตั้งมั่น มีความดำริในใจผ่องใส ผู้นั้นสมควรนุ่งห่มผ้ากาสาวะโดยแท้

ผู้ใดไม่มีศีล ผู้นั้นเป็นคนพาล มีจิตใจฟุ้งซ่าน มีมานะฟูขึ้นเหมือนไม้อ้อ ย่อมสมควรจะนุ่งห่มแต่ผ้าขาวเท่านั้น จักควรนุ่งผ้าห่มผ้ากาสาวะอย่างไร

    อนึ่ง ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายในอนาคต จักเป็นผู้มีจิตใจชั่วร้าย ไม่เอื้อเฟื้อ จักข่มขี่ภิกษุทั้งหลายผู้คงที่ มีเมตตาจิต

    แม้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ กระทำตามความใคร่ ถึงพระเถระให้ศึกษาการใช้สอยผ้าจีวร ก็จักไม่เชื่อฟัง
    พวกภิกษุที่โง่เขลาเหล่านั้น อันพระเถระทั้งหลายให้การศึกษาแล้วเหมือนอย่างนั้น จักไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อในพระอุปัชฌายาจารย์ จักเป็นเหมือนม้าพิการไม่เอื้อเฟื้อนายสารถี ฉะนั้น

ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย ในอนาคต จักปฏิบัติอย่างนี้.

             
@@@@@@@

ครั้นพระปุสสเถระแสดงมหาภัยอันจะบังเกิดขึ้น ในกาลภายหลังอย่างนี้แล้ว เมื่อจะให้โอวาทภิกษุที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถา ความว่า
                         
     - ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติ ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน ขอท่านทั้งหลาย จงเป็นผู้ว่าง่าย จงพูดแต่ถ้อยคำที่สละสลวย มีความเคารพกันและกัน
     - มีจิตเมตตากรุณาต่อกัน จงสำรวมในศีล ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวบากบั่นอย่างมั่นเป็นนิตย์
     - ขอท่านทั้งหลายจงเห็นความประมาท โดยความเป็นภัย และจงเห็นความไม่ประมาทโดยความเป็นของปลอดภัย แล้วจงอบรมอัฏฐังคิกมรรค

เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ย่อมจะบรรลุนิพพานอันเป็นทางไม่เกิดไม่ตาย.





_________________________________________________
ที่มา : เถรคาถา ติงสนิบาต , ๑. ปุสสเถรคาถา คาถาสุภาษิตของพระปุสสเถระ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=7980&Z=8048
ขอบคุณภาพจาก pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 22, 2025, 09:24:18 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ ภาษาบาลี อักษรไทย
พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ สุตฺต. ขุ. วิมานวตฺถุ-เปตวตฺถุ-เถรคาถา-เถรีคาถา

https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=26&item=395&items=1&preline=0&pagebreak=0&modeTY=2



 :25: :25: :25:

เถรคาถาย ตึสนิปาโต

[๓๙๕]   
|๓๙๕.๙๔๙|   ปาสาทิเก พหู ทิสฺวา     ภาวิตตฺเต สุสํวุเต
                   อิสิ ปณฺฑรสโคตฺโต      อปุจฺฉิ ปุสฺสสวฺหยํ  ฯ

|๓๙๕.๙๕๐|   กึฉนฺทา กิมธิปฺปายา       กิมากปฺปา ภวิสฺสเร
                   อนาคตมฺหิ กาลมฺหิ        ตํ เม อกฺขาหิ ปุจฺฉิโต ฯ

|๓๙๕.๙๕๑|   สุโณหิ วจนํ มยฺหํ            อิสิ ปณฺฑรสวฺหย
                   สกฺกจฺจํ อุปธาเรหิ           อาจิกฺขิสฺสามฺยนาคตํ ฯ

|๓๙๕.๙๕๒|   โกธนา อุปนาหี จ          มกฺขี ถมฺภี สฐา พหู
                   อิสฺสุกี นานาวาทา จ       ภวิสฺสนฺติ อนาคเต ฯ

|๓๙๕.๙๕๓|   อญฺญาตมานิโน ธมฺเม     คมฺภีเร ตีรโคจรา
                   ลหุกา อครู ธมฺเม          อญฺญมญฺญมคารวา ฯ

|๓๙๕.๙๕๔|   พหู อาทีนวา โลเก         อุปฺปชฺชิสฺสนฺตฺยนาคเต
                   สุเทสิตํ อิมํ ธมฺมํ            กิลิสิสฺสนฺติ ทุมฺมตี ฯ

|๓๙๕.๙๕๕|   คุณหีนาปิ สงฺฆมฺหิ         โวหรนฺตา วิสารทา
                   พลวนฺโต ภวิสฺสนฺติ         มุขรา อสฺสุตาวิโน ฯ

|๓๙๕.๙๕๖|   คุณวนฺโตปิ สงฺฆมฺหิ        โวหรนฺตา ยถตฺถโต
                   ทุพฺพลา เต ภวิสฺสนฺติ      หิริมนา อนตฺถิกา ฯ


                   @@@@@@@

|๓๙๕.๙๕๗|   รชตํ ชาตรูปญฺจ            เขตฺตํ วตฺถุํ อเชฬกํ
                   ทาสีทาสญฺจ ทุมฺเมธา     สาทิยิสฺสนฺตฺยนาคเต ฯ

|๓๙๕.๙๕๘|   อุชฺฌานสญฺญิโน พาลา   สีเลสุ อสมาหิตา
                   อุนฺนฬา วิจริสฺสนฺติ         กลหาภิรตา มคา

|๓๙๕.๙๕๙|   อุทฺธตา จ ภวิสฺสนฺติ        นีลจีวรปารุตา
                   กุหา ถทฺธา ลปา สิงฺคี     จริสฺสนฺตฺยริยา วิย ฯ

|๓๙๕.๙๖๐|   เตลสเณฺหหิ เกเสหิ        จปลา อญฺชนกฺขิกา
                  รถิยาย คมิสฺสนฺติ           ทนฺตวณฺณกปารุตา ฯ

|๓๙๕.๙๖๑|   อเชคุจฺฉํ วิมุตฺเตหิ         สุรตฺตํ อรหทฺธชํ
                  ชิคุจฺฉิสฺสนฺติ กาสาวํ       โอทาเตสุ สมุจฺฉิตา ฯ

|๓๙๕.๙๖๒|   ลาภกามา ภวิสฺสนฺติ      กุสีตา หีนวีริยา ฯ
                  กิจฺฉนฺตา วนปตฺถานิ       คามนฺเตสุ วสิสฺสเร ฯ

|๓๙๕.๙๖๓|   เย เย ลาภํ ลภิสฺสนฺติ      มิจฺฉาชีวรตา สทา
                   เต เต ว อนุสิกฺขนฺตา       คมิสฺสนฺติ  อสญฺญตา ฯ

|๓๙๕.๙๖๔|   เย เย อลาภิโน ลาภํ        น เต ปุชฺชา ภวิสฺสเร
                   สุเปสเลปิ เต ธีเร            เสวิสฺสนฺติ น เต ตทา ฯ

                  @@@@@@@

|๓๙๕.๙๖๕|   มิลกฺขุรชนํ รตฺตํ              ครหนฺตา สกํ ธชํ
                   ติตฺถิยานํ ธชํ เกจิ            ธาเรสฺสนฺตฺยวทาตกํ ฯ

|๓๙๕.๙๖๖|   อคารโว จ กาสาเว         ตทา เตสํ ภวิสฺสติ
                  ปฏิสงฺขา จ กาสาเว        ภิกฺขูนํ น ภวิสฺสติ ฯ

|๓๙๕.๙๖๗|   อภิภูตสฺส ทุกฺเขน          สลฺลวิทฺธสฺส รุปฺปโต
                  ปฏิสงฺขา มหาโฆรา        นาคสฺสาสิ อจินฺติยา ฯ

|๓๙๕.๙๖๘|   ฉทฺทนฺโต หิ ตทา ทิสฺวา   สุรตฺตํ อรหทฺธชํ
                   ตาวเทว ภณี คาถา         คโช อตฺโถปสญฺหิตา ฯ

|๓๙๕.๙๖๙|   อนิกฺกสาโว กาสาวํ        โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ
                   อเปโต ทมสจฺเจน          น โส กาสาวมรหติ ฯ

|๓๙๕.๙๗๐|   โย จ วนฺตกสาวสฺส         สีเลสุ สุสมาหิโต
                   อุเปโต ทมสจฺเจน          ส เว กาสาวมรหติ ฯ

|๓๙๕.๙๗๑|   วิปนฺนสีโล ทุมฺเมโธ        ปากโฏ กามการิโย
                   วิพฺภนฺตจิตฺโต นิสฺสุกฺโก    น โส กาสาวมรหติ ฯ

|๓๙๕.๙๗๒|   โย จ สีเลน สมฺปนฺโน      วีตราโค สมาหิโต
                   โอทาตมนสงฺกปฺโป         ส เว กาสาวมรหติ ฯ


                   @@@@@@@

|๓๙๕.๙๗๓|   อุทฺธโต อุนฺนโฬ พาโล    สีลํ ยสฺส น วิชฺชติ
                   โอทาตกํ อรหติ            กาสาวํ กึ กริสฺสติ ฯ

|๓๙๕.๙๗๔|   ภิกฺขู จ ภิกฺขุนิโย จ         ทุฏฺฐจิตฺตา อนาทรา
                   ตาทีนํ เมตฺตจิตฺตานํ        นิคฺคณฺหิสฺสนฺตฺยนาคเต ฯ

|๓๙๕.๙๗๕|   สิกฺขาเปนฺตาปิ เถเรหิ      พาลา จีวรธารณํ
                   น สุณิสฺสนฺติ ทุมฺเมธา     ปากฏา กามการิยา ฯ

|๓๙๕.๙๗๖|   เต ตถา สิกฺขิตา พาลา    อญฺญมญฺญํ อคารวา
                   นาทิยิสฺสนฺตุปชฺฌาเย     ขลุงฺโก วิย สารถึ ฯ

|๓๙๕.๙๗๗|   เอวํ อนาคตทฺธานํ          ปฏิปตฺติ ภวิสฺสติ
                   ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีนญฺจ          ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม ฯ

                   @@@@@@@

|๓๙๕.๙๗๘|   ปุรา อาคจฺฉเต เอตํ        อนาคตํ มหพฺภยํ
                   สุพฺพจา โหถ สขิลา        อญฺญมญฺญํ สคารวา ฯ

|๓๙๕.๙๗๙|   เมตฺตจิตฺตา การุณิกา      โหถ สีเลสุ สํวุตา
                   อารทฺธวิริยา ปหิตตฺตา     นิจฺจํ ทฬฺหปรกฺกมา ฯ

|๓๙๕.๙๘๐|   ปมาทํ ภยโต ทิสฺวา         อปฺปมาทญฺจ เขมโต
                   ภาเวถฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ         ผุสนฺติ อมตํปทนฺติ ฯ


                                     ปุสฺสเถโร ฯ






ภาษิตของพระปุสสเถระ

(พระสังคีติกาจารย์ได้กล่าวภาษิตเบื้องต้นไว้ว่า)

[๙๔๙] ฤๅษีปัณฑรสโคตรได้พบเห็นภิกษุมากรูป
          ผู้น่าเลื่อมใส อบรมตน สำรวมดีแล้ว ได้สอบถามพระปุสสเถระว่า
             
[๙๕๐] ในกาลภายหน้า ภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ จะมีความพอใจอย่างไร มีความประสงค์อย่างไร
          มีอากัปกิริยาอย่างไร ข้าพเจ้าเรียนถามท่านแล้ว นิมนต์บอกความข้อนั้นด้วยเถิด
          (พระปุสสเถระไดักล่าวภาษิตเหล่านี้ว่า)

[๙๕๑] ท่านปัณฑรสฤๅษี เชิญท่านฟังคำของอาตมา
         ขอเชิญตั้งใจจดจำให้ดี อาตมาจะบอกข้อความที่ท่านถามถึงอนาคตแก่ท่าน

[๙๕๒] ในกาลภายหน้า ภิกษุทั้งหลายส่วนมาก
          จักเป็นผู้มักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่คุณท่าน หัวดื้อ โอ้อวด ริษยา และมีวาทะขัดแย้งกัน

[๙๕๓] มีความสำคัญในสัทธรรมที่ยังไม่รู้ ไม่เห็นว่ารู้ ว่าเห็น
          มีความคิดในธรรมที่ลึกซึ้งว่าตื้น เป็นคนเบา ไม่หนักแน่นในธรรม ไม่เคารพกันและกัน

[๙๕๔] ในกาลภายหน้า โทษเป็นอันมาก จะเกิดขึ้นในสัตว์โลก
          ภิกษุทั้งหลายผู้ไร้ความคิด จะทำธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วนี้ให้มัวหมอง

[๙๕๕] ทั้งจะเสื่อมจากคุณธรรม กล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์
          มีพวกมาก ปากจัด ไม่ยอมรับฟัง(ความคิดเห็นของผู้อื่น)
             
[๙๕๖] ฝ่ายพวกที่มีคุณธรรม พูดในท่ามกลางสงฆ์ตามความเป็นจริง
         ละอายใจ ไม่ต้องการผลประโยชน์จักมีพวกน้อย

             
         @@@@@@@

[๙๕๗] ในกาลภายหน้า ภิกษุทั้งหลายจะมีปัญญาทราม
          พากันยินดี เงิน ทอง ไร่นา สวน แพะ แกะ และคนใช้ชายหญิง
             
[๙๕๘] จะเป็นคนอันธพาล ชอบมุ่งแต่จะตำหนิติเตียน
          ไม่ตั้งมั่นในศีล ถือตัวจัด โหดร้าย เที่ยวไป ชอบก่อการทะเลาะวิวาท
           
[๙๕๙] ทั้งจะมีใจฟุ้งซ่าน นุ่งห่มแต่จีวรสีเขียว
          เที่ยวทำตัวดังพระอริยะ
             
[๙๖๐] จะใช้น้ำมันแต่งผมให้งดงาม เป็นคนเหลาะแหละเหลวไหล
         ใช้ยาหยอดแต่งตา นุ่งห่มจีวรสีงาช้าง เที่ยวไปตามถนนหนทาง
             
[๙๖๑] จะรังเกียจผ้ากาสาวะซึ่งย้อมดีแล้ว ที่พระอริยะทั้งหลายไม่รังเกียจ
         เป็นธงชัยของพระอรหันต์ ชอบใช้แต่ผ้าขาว
             
[๙๖๒] จะมุ่งแต่ลาภ เกียจคร้าน มีความเพียรย่อหย่อน
          รังเกียจเสนาสนะป่า ชอบอยู่แต่เสนาสนะใกล้บ้าน
             
[๙๖๓] จะไม่สำรวม เที่ยวประพฤติตามพวกภิกษุ
         ที่ยินดีในมิจฉาชีพ ได้ลาภอยู่เสมอๆ
             
[๙๖๔] ในกาลภายหน้า ภิกษุทั้งหลายจะไม่บูชายกย่องเหล่าภิกษุผู้ไม่มีลาภ
          ทั้งจะไม่คบค้าสมาคมกับเหล่าภิกษุผู้รักษาศีลดี ซึ่งเป็นนักปราชญ์
             
          @@@@@@@

[๙๖๕] จะห่มจีวรสีแดงที่คนป่าชอบย้อมใช้ พากันติเตียนผ้ากาสาวะซึ่งเป็นธงชัยของตน
          บางพวกก็จะห่มจีวรสีขาว ซึ่งเป็นธงชัยของพวกเดียรถีย์
             
[๙๖๖] ในกาลภายหน้า ภิกษุเหล่านั้นจะไม่มีความเคารพในผ้ากาสาวะ
         ทั้งจะไม่พิจารณาใช้ผ้ากาสาวะ
             
[๙๖๗] การไม่คิดพิจารณาให้ดี ได้เป็นความเลวร้ายอย่างใหญ่หลวงของพญาช้าง
         ที่ถูกลูกศรเสียบแทง ถูกทุกขเวทนาครอบงำทุรนทุรายอยู่
             
[๙๖๘] เพราะครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัททันต์ได้เห็นผ้ากาสาวะ
          ซึ่งโสณุตตรพรานคลุมร่างไว้ ที่ย้อมดีแล้วเป็นธงชัยของพระอรหันต์
          ได้กล่าวภาษิตที่ประกอบด้วยประโยชน์ในขณะนั้นแหละว่า
             
[๙๖๙] ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด ปราศจากทมะ(๑-) และสัจจะ
         จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะ ผู้นั้นไม่ควรที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะเลย
             
[๙๗๐] ส่วนผู้ใดพึงคลายกิเลสดุจน้ำฝาด ตั้งมั่นดีแล้วในศีล
         ประกอบด้วยทมะและสัจจะ ผู้นั้นแหละควรที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะได้
             
[๙๗๑] ผู้ใดมีศีลวิบัติ มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์ ชอบทำตามความพอใจ
          มีจิตฟุ้งซ่าน ทั้งไม่บริสุทธิ์ ผู้นั้นไม่ควรที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะเลย
             
[๙๗๒] ส่วนผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ มีจิตตั้งมั่นดี
          มีความดำริในใจใสสะอาด ผู้นั้นแหละ ควรที่จะนุ่งห่มผ้ากาสาวะได้

             
          @@@@@@@

[๙๗๓] ผู้ที่ไม่มีศีล ฟุ้งซ่าน มีมานะจัด เป็นคนพาล
          ควรที่จะนุ่งห่มผ้าขาวเท่านั้น ผ้ากาสาวะจะช่วยอะไรได้
             
[๙๗๔] ในกาลภายหน้า ทั้งพวกภิกษุและภิกษุณี
          ผู้มีใจชั่ว ไม่เอื้อเฟื้อ จะข่มขี่ฝ่ายที่คงที่มีจิตเมตตา
             
[๙๗๕] พวกที่เป็นคนโง่เขลา มีปัญญาทราม ไม่สำรวมอินทรีย์
          ชอบทำตามความพอใจ ถึงพระเถระทั้งหลาย จะสอนให้ครองจีวร ก็จักไม่เชื่อฟัง
             
[๙๗๖] พวกเธอซึ่งเป็นคนโง่เขลา พระอุปัชฌาย์อาจารย์สอนอย่างนั้น
         ก็จะไม่เคารพกันและกัน ไม่เอื้อเฟื้อพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เหมือนม้าพยศไม่ยอมให้สารถีฝึก
             
[๙๗๗] ครั้นกาลภายหลัง(ตติยสังคายนา)ผ่านไปแล้ว
          พวกภิกษุและภิกษุณีในกาลภายหน้า จักปฏิบัติกันอย่างนี้
             
          @@@@@@@

(ครั้นพระปุสสเถระแสดงภัยอย่างใหญ่หลวงที่ยังมาไม่ถึงนั้น จะมาถึงในกาลภายหน้าอย่างนั้น เมื่อจะให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายที่ประชุมกัน ณ ที่นั้นอีก จึงได้กล่าว ๓ ภาษิตเหล่านี้ว่า)
             
[๙๗๘] ภัยอย่างใหญ่หลวงซึ่งยังมาไม่ถึงนี้ จะมาถึงข้างหน้า
          ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ว่าง่าย พูดจาอ่อนหวาน มีความเคารพกันและกัน
             
[๙๗๙] มีจิตเมตตากรุณา สำรวมในศีล ปรารภความเพียร
          มีใจเด็ดเดี่ยว บากบั่นมั่นคงเป็นประจำเถิด
             
[๙๘๐] ขอชนทั้งหลายจงเห็นความประมาทโดยเป็นสิ่งที่น่ากลัว
          และเห็นความไม่ประมาทโดยเป็นสิ่งที่เกษม แล้วบำเพ็ญอัฏฐังคิกมรรคที่จะบรรลุอมตบท(๒-) ได้


เชิงอรรถ :-
(๑-) ความฝึกอินทรีย์ (ขุ.เถร.อ. ๒/๙๖๙/๔๐๔)
(๒-) นิพพาน (ขุ.เถร.อ. ๒/๙๘๐/๔๐๗)





ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๘ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา , ๑. ปุสสเถรคาถา ภาษิตของพระปุสสเถระ
https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=26&siri=395
ขอบคุณภาพจาก pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 24, 2025, 09:47:31 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29338
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
.



อรรถกถาเล่มที่ ๓๓ ภาษาบาลีอักษรไทย | เถร.อ.๒ (ปรมตฺถที.๒)
๑๗. ตึสนิปาต | ๓๙๕.  ๑. ปุสฺสตฺเถรคาถาวณฺณนา


"ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม" ติ อาห. ตตฺถ กตโม  ปจฺฉิมกาโล?
"ตติยสงฺคีติโต ปฏฺฐาย ปจฺฉิมกาโล" ติ เกจิ, ตํ เอเก นานุชานนฺติ.

สาสนสฺส หิ ปญฺจยุคานิ วิมุตฺติยุคํ, สมาธิยุคํ, สีลยุคํ, สุตยุคํ, ทานยุคนฺติ.
เตสุ ปฐมํ วิมุตฺติยุคํ,
ตสฺมึ อนฺตร-หิเต สมาธิยุคํ วตฺตติ,
ตสฺมิมฺปิ อนฺตรหิเต สีลยุคํ วตฺตติ,
ตสฺมิมฺปิ อนฺตรหิเต สุตยุคํ วตฺตเตว.

อปริสุทฺธสีโล หิ เอกเทเสน ปริยตฺติพาหุสจฺจํ ปคฺคยฺห ติฏฺฐติ ลาภาทิกามตาย.

ยถา ปน มาติกาปริโยสานา ปริยตฺติ สพฺพโส อนฺตรธายติ,
ตโต ปฏฺฐาย ลิงฺคมตฺตเมว อวสิสฺสติ,
ตทา ยถา ตถา ธนํ สํหริตฺวา ทานมุเข
วิสฺสชฺเชนฺติ, สา กิร เนสํ จริมา สมฺมาปฏิปตฺติ.
ตตฺถ สุตยุคโต ปฏฺฐาย ปจฺฉิม-กาโล, "สีลยุคโต ปฏฺฐายา"ติ อปเร.

@@@@@@@

เอวํ เถโร ปจฺฉิเม กาเล อุปฺปชฺชนกํ มหาภยํ ทสฺเสตฺวา ปุน ตตฺถ สนฺนิปติต-ภิกฺขูนํ โอวาทํ ททนฺโต "ปุรา อาคจฺฉเต "ติอาทินา ติสฺโส คาถา อภาสิ. ตตฺถปุรา อาคจฺฉเต เอตนฺติ เอตํ มยา ตุมฺหากํ วุตฺตํ ปฏิปตฺติอนฺตรายกรํ อนาคตํ มหาภยํ อาคจฺฉติ ปุรา, ยาว อาคมิสฺสติ, ตาวเทวาติ อตฺโถ. สุพฺพจาติ วจนกฺขมา โสวจสฺสการเกหิ ธมฺเมหิ สมนฺนาคตา, ครูนํ อนุสาสนิโย  ปทกฺขิณคฺคาหิโน โหถาติ อตฺโถ. สขิลาติ มุทุหทยา.

เมตฺตจิตฺตาติ สพฺพสตฺเตสุ หิตูปสํหารลกฺขณาย เมตฺตาย สมฺปยุตฺตจิตฺตา. การุณิกาติ กรุณาย นิยุตฺตา ปเรสํ ทุกฺขาปนยนาการวุตฺติยา กรุณาย สมนฺนาคตา. อารทฺธวีริยาติ อกุสลานํ ปหานาย กุสลานํ อุปสมฺปทาย ปคฺคหิตวิริยา. ปหิตตฺตาติ นิพฺพานํ ปฏิเปสิตฺจิตฺตา. นิจฺจนฺติ สพฺพกาลํ. ทฬฺหปรกฺกมาติ ถิรวิริยา. ปมาทนฺติ ปมชฺชนํ กุลสานํ ธมฺมานํ อนนุฏฺฐานํ อกุสเลสุ จ ธมฺเมสุ

จิตฺตโวสฺสคฺโค. วุตฺตํ หิ :-
     "ตตฺถ กตโม ปมาโท, กายทุจฺจริเต วา วจีทุจฺจริเต วา มโนทุจฺจริเต วา ปญฺจสุ วา กามคุเณสุ จิตฺตสฺส โวสฺสคฺโค โวสฺสคฺคานุปฺปทาน, กุสลานํ ธมฺมานํ ภาวนาย อสกฺกจฺจกิริยตา" ติอาทิ.

@@@@@@@

อปฺปมาทนฺติ อปฺปมชฺชนํ, โส ปมาทสฺส ปฏิปกฺขโต เวทิตพฺโพ. อตฺถโต หิ อปฺปมาโท นาม สติยา อวิปฺปวาโส, อุปฏฺฐิตาย สติยา เอว เจตํ นามํ. อยํ เหตฺถ อตฺโถ:- ยสฺมา ปมาทมูลกา สพฺเพ อนตฺถา,

อปฺปมาทมูลกา จ สพฺเพ อตฺถา, ตสฺมา ปมาทํ ภยโต อุปทฺทวโต ทิสฺวา อปฺปมาทญฺจ เขมโต อนุปทฺทวโต ทิสฺวา อปฺปมาทปฏิปตฺติยา สิขาภูตํ สีลาทิกฺขนฺธตฺตยสงฺคหํ สมฺมา-ทิฏฺฐิอาทีนํ อฏฺฐนฺนํ องฺคานํ วเสน อฏฺฐงฺคิกํ อริยมคฺคํ ภาเวถ,
     อมตํ นิพฺพานํ ผุสนฺตา สจฺฉิกโรนฺตา อตฺตโน สนฺตาเน อุปฺปาเทถ,
     ทสฺสนมคฺคมตฺเต อฏฺฐตฺวา อุปริ ติณฺณํ มคฺคานํ อุปฺปาทนวเสน วฑฺเฒถ,
     เอวํ โว อปฺปมาทภาวนา สิขาปตฺตา ภวิสฺสตีติ.

     เอวํ เถโร สมฺปตฺตปริสํ โอวทติ.
     อิมา เอว จิมสฺส เถรสฺส อญฺญาพฺยากรณ-คาถา อเหสุนฺติ.

                     ปุสฺสตฺเถรคาถาวณฺณนา นิฏฺฐิตา.







อรรถกถาปุสสเถรคาถา(ยกมาแสดงบางส่วน)


      พระเถระเมื่อจะแสดงถึงกาลนั้นนั่นแหละโดยสรุป จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ปตฺเต กาลมฺหิ ปจฺฉิเม ในกาลภายหลังแต่ตติยสังคายนา ดังนี้.
     ก็ปัจฉิมกาลในคำนั้นเป็นไฉน?
     อาจารย์บางพวกตอบว่า ตั้งแต่ตติยสังคายนามา จัดเป็นปัจฉิมกาล, อาจารย์บางพวกไม่รู้คำนั้นเลย
     จริงอยู่ ยุคแห่งพระศาสนามี ๕ ยุค คือวิมุตติยุค สมาธิยุค ศีลยุค สุตยุคและทานยุค.


     บรรดายุคเหล่านั้น ยุคแรกจัดเป็นวิมุตติยุค,
     เมื่อวิมุตติยุคนั้นอันตรธานแล้ว สมาธิยุคก็เป็นไป,
     แม้เมื่อสมาธิยุคนั้นอันตรธานแล้ว ศีลยุคก็เป็นไป,
     แม้เมื่อศีลยุคนั้นอันตรธานแล้ว สุตยุคก็เป็นไปทีเดียว.

     ก็ผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ประคับประคองปริยัตติธรรมและพาหุสัจจะให้ดำรงอยู่ได้ โดยอย่างเดียวหรือสองอย่าง เพราะค่าที่ตนมุ่งถึงลาภ เป็นต้น.


      ans1 ans1 ans1

     ก็ในคราวใด ปริยัตติธรรมมีมาติกาเป็นที่สุดย่อมอันตรธานไปทั้งหมด
     ตั้งแต่นั้นมาจักเหลือก็เพียงเพศเท่านั้น
     ในคราวนั้นคนทั้งหลายจะพากันรวบรวมเอาทรัพย์ตามมีตามได้แล้ว เสียสละโดยมุ่งให้ทาน,

     เล่ากันว่า การปฏิบัตินั้นจัดเป็นสัมมาปฏิบัติครั้งสุดท้ายของคนเหล่านั้น.
     บรรดายุคเหล่านั้น ตั้งแต่สุตยุคมาจัดเป็นปัจฉิมกาล,
     อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า ตั้งแต่ศีลยุคมาจึงจัดเป็นปัจฉิมกาลก็มี.


@@@@@@@

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุรา อาคจฺฉเต เอตํ ความว่า ภัยอย่างใหญ่หลวงที่จะทำอันตรายต่อข้อปฏิบัติที่เรากล่าวแล้วแก่พวกท่านทั้งหลายนั้น ย่อมมาในอนาคตอย่างนี้ก่อน คือ จักมาจนถึงในกาลนั้นนั่นแล

บทว่า สุพฺพจา ได้แก่ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ คือประกอบพร้อมด้วยธรรมอันกระทำให้เป็นผู้ว่าง่าย.
อธิบายว่า เป็นผู้ตั้งอยู่ในคำสั่งสอนของครูทั้งหลาย คือมีปกติรับโอวาทเบื้องขวา.

     บทว่า สขิลา ได้แก่ มีใจอ่อนโยน.
     บทว่า เมตฺตจิตฺตา ได้แก่ มีจิตประกอบพร้อมด้วยเมตตามีอันนำประโยชน์เข้าไปให้สัตว์ทั้งปวงเป็นลักษณะ.
     บทว่า การุณิกา ได้แก่ ประกอบแล้วด้วยกรุณา คือประกอบพร้อมแล้วด้วยความกรุณา มีการประพฤติปลดเปลื้องทุกข์ของสัตว์เหล่าอื่น.

     บทว่า อารทฺธวีริยา ได้แก่ มีความเพียร เพื่ออันละเสียซึ่งอกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม.
     บทว่า ปหิตตฺตา ได้แก่ มีจิตอันส่งตรงไปเฉพาะพระนิพพาน.
     บทว่า นิจฺจํ ได้แก่ ตลอดกาลทั้งปวง.
     บทว่า ทฬฺหปรกฺกมา ได้แก่ มีความเพียรมั่นคง.
     บทว่า ปมาทํ ได้แก่ ความประมาท คือการไม่ตั้งไว้ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย.
     
สมดังที่ตรัสไว้ว่า :-
    "ในข้อนั้น ความประมาทเป็นไฉน, การปล่อยจิตไป การตามเพิ่มให้ซึ่งความปล่อยจิตในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต หรือในกามคุณ ๕ หรือการทำการบำเพ็ญกุศลธรรมโดยไม่เคารพ ดังนี้เป็นต้น."

บทว่า อปฺปมาทํ ได้แก่ ความไม่ประมาท, ความไม่ประมาทนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยตรงกันข้ามจากความประมาทเถิด. ก็โดยความหมาย ชื่อว่าความไม่ประมาท ก็คือการไม่อยู่ปราศจากสติ, และคำนั้นเป็นชื่อของการเข้าไปตั้งสติไว้มั่นคง.

@@@@@@@

จริงอยู่ ในข้อนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้

เพราะสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมีความประมาทเป็นมูล และสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งหมดมีความไม่ประมาทเป็นมูล

ฉะนั้น ท่านทั้งหลายพึงเห็นความประมาทโดยความเป็นภัย คือโดยความเป็นอุปัทวะแล้ว และพึงเห็นความไม่ประมาทโดยความปลอดภัย คือ โดยไม่มีอุปัทวะแล้ว พึงเจริญอัฏฐังคิกมรรค คืออริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นที่สงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ มีศีลขันธ์เป็นต้น อันเป็นยอดแห่งข้อปฏิบัติ ด้วยความไม่ประมาทเถิด,
      ท่านจะถูกต้อง คือกระทำให้แจ้ง ซึ่งอมตธรรมได้แก่พระนิพพานให้เกิดขึ้นในสันดานของตนได้,
      ครั้นเข้าถึงทัสสนมรรค (โสดาปัตติมรรค) แล้วก็เจริญด้วยการทำมรรค ๓ เบื้องบนให้บังเกิดขึ้นอีก ท่านบำเพ็ญภาวนาจักถึงที่สุดยอดได้ก็ด้วยความไม่ประมาทด้วยประการฉะนี้แล.

     พระเถระกล่าวสั่งสอนบริษัทที่ถึงพร้อมแล้วอย่างนี้แล.
     ก็คาถาพยากรณ์ความเป็นพระอรหัตเหล่านี้ทั้งหมดได้มีแล้วแก่พระเถระนี้แล.


               จบอรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ ๑




_______________________________________
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติงสนิบาต, ๑. ปุสสเถรคาถา
อรรถกถาเถรคาถา ติงสนิบาต, อรรถกถาปุสสเถรคาถาที่ ๑   
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=395
ขอบคุณภาพจาก pinterest
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 24, 2025, 08:54:58 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ