ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จิตเดิมแท้ และภาวะนิพพาน 1  (อ่าน 2804 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29375
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
จิตเดิมแท้ และภาวะนิพพาน 1
« เมื่อ: ธันวาคม 22, 2013, 08:05:53 pm »
0


จิตเดิมแท้ และภาวะนิพพาน 1

จิตของคนเรานั้นมีความว่องไวนัก เพียงแค่ไม่กี่วินาที จิตสามารถคิดไปได้ร้อยแปดพันเก้าเรื่อง ยิ่งได้ไปเห็น ไปได้ยิน ไปรับรู้ ไปสัมผัส สิ่งต่างๆ ที่มาเป็นสิ่งเร้าให้เกิดอารมณ์ จิตก็จะรับมาปรุงต่อให้เกิดความชอบ ความไม่ชอบ จิตที่ว่องไวอย่างนี้ ถ้ามากเกินไปในระดับหนึ่ง คนที่มีภาวะจิตลักษณะนี้จะมีอาการจิตเลื่อนลอย มีหลายเรื่องมากเกินไปในจิต อารมณ์ก็จะซ้อนทับกันจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ จะเป็นอาการของจิตวิปริต เพราะไม่สามารถควบคุมจิตได้

แต่โบราณมาแล้ว จึงมีการสอนกันว่าจิตเหนือกว่ากาย นั่นก็เพราะว่า ถ้าคุมจิตไม่อยู่ คุมจิตไม่ได้ ก็จะเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่าน เมื่ออารมณ์ฟุ้งซ่าน ร่างกายที่สามารถทำได้ในสิ่งสิ่งเดียวในเวลาเดียว ไม่สามารถตอบสนองต่ออารมณ์และจิตที่สามารถคิดได้ในหลายๆ เรื่องในเวลาเดียวกัน เมื่อคุมจิตไม่ได้ก็เป็นผลให้คุมกายไม่ได้


 :96: :96: :96:

การที่จะทำให้จิตไม่ฟุ้งซ่านนั้น ทำได้ตั้งแต่วิธีง่ายๆ ซึ่งใช้กับเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การสูดลมหายใจเข้าท้องแล้วถอนหายใจ จิตที่ไม่ฟุ้งซ่านมากเกินไปก็จะกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ วิธีนี้เป็นวิธีง่ายๆ ที่ใช้ในการทำงานประจำวัน แต่ถ้าจิตที่ฟุ้งซ่านมากๆ วิธีที่กล่าวมาจะไม่ได้ผล เพราะจิตคิดหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน วิธีแก้ก็คือคิดในเรื่องเดียว และปฏิบัติในเรื่องเดียวในเวลาเดียว

นั่นเป็นจิตธรรมดาปกติของคนทั่วไป แต่จิตที่จะพัฒนาให้เกิดภูมิรู้ภูมิธรรมจนถึงขั้นสำเร็จธรรม หรือเข้าสู่ภาวะพระนิพพานได้นั้น วิธีดังกล่าวไม่เพียงพอ จึงมีการสั่งสอนกันมาถึงเรื่องอุบายจิต อุบายกรรมฐาน ที่สามารถทำให้จิตสงบและยกตัวจิตขึ้นสูง ภาวะที่สูงขึ้นเหนือภาวะที่สามารถน้อมนึกได้ด้วยเหตุและผลที่ใช้ตัดสินในเรื่องทางโลก เพราะจิตที่ยกตัวเข้าสู่ภาวะธรรมนั้น ไม่จำเป็นต้องคิดหรือใช้เหตุผลมากำกับ



การที่จะแยกจิตออกจากความคิดนั้น สามารถทำได้โดยการทำสมาธิ เมื่อสมาธิดำรงภาวะจิตไปได้ระดับหนึ่ง จิตจะเริ่มเข้าสู่ภาวะจิตเดิมแท้ จิตอันเป็นจิตที่บริสุทธิ์เป็นจิตที่เป็นจิตดวงเดียวกับจิตของเรา เพียงแต่ว่าจิตดวงนี้ไม่เคยได้รับรู้ความรู้สึก อารมณ์ ความนึกคิดต่างๆ

แต่เดิมแล้ว มนุษย์ก็เป็นดวงจิตอย่างนี้มาก่อนทั้งสิ้น แต่เมื่อจิตได้ลงมาปฏิสนธิเกิดขึ้นเป็นตัวเป็นตน จิตจะเริ่มรับความรู้สึกต่างๆ เสพอารมณ์เป็นความคิด แต่ถ้าพิจารณาด้วยความถี่ถ้วนแล้ว จิตก่อนที่มาเสพอารมรณ์ จิตที่เป็นจิตเดิมแท้ก่อนมาปฏิสนธิ จิตดวงนี้เป็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าเรียกว่านิพพาน


 :25: :25: :25:

นิพพานที่แท้จริงนั้นเป็นภาวะที่จิตกลับสู่จิตเดิมแท้ เหมือนผ้าขาวเมื่อถูกนำมาใช้ก็เกิดการแปดเปื้อน ถ้าจะทำให้ผ้ากลับไปขาวได้ดังเดิม ก็ต้องทำการซักล้างให้สิ่งสกปรกออกจากผ้าขาวนี้ให้หมด ซึ่งก็เหมือนกระบวนการอบรมจิต เมื่อจิตแปดเปื้อนก็ต้องมีกระบวนการอบรมจิตด้วยสมาธิ เพื่อให้จิตนั้นเข้าสู่ภาวะจิตเดิมแท้ หรือนิพพานนั่นเอง

พระพุทธเจ้าก็รู้ถึงเรื่องนี้ ก็ตรงไปที่การอบรมจิตให้เป็นสมาธิไป พอจิตที่เป็นสมาธิแล้วก็เกิดความตั้งมั่นของจิต แท้ที่จริงจิตดวงนี้ก็เป็นธาตุรู้ ธาตุรู้ที่มันเป็นธาตุรู้ต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทางหู จมูก ปาก ลิ้น กาย ของพวกนี้มันไม่มีความนึกคิดอะไร แต่มันส่งไปให้ใจคือผู้รู้

ผู้รู้ก็รับรู้ผ่านสิ่งต่างๆ เหล่านี้รับรู้ผ่านทางจมูก รับรู้ผ่านทางลิ้น ฯลฯ แต่ทางลิ้นทางจมูกเหล่านี้ ตัวมันเองก็เป็นแค่ผู้ส่งสัญญาณเท่านั้น ไอ้คนตัดสินว่าชอบไม่ชอบ มีกลิ่นหอม กลิ่นไม่หอมต่างๆ นี้มันคือใจ.



ที่มา http://www.thaipost.net/tabloid/151213/83394
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ