ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติศาสตร์ ที่มาของแนวคิด "พุทธศาสนาประจำชาติ"  (อ่าน 2308 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29367
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ประวัติศาสตร์ ที่มาของแนวคิด "พุทธศาสนาประจำชาติ"

ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นความเชื่อทางศาสนาของคนส่วนใหญ่ในประเทศ การเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ทำให้ศาสนาพุทธกลายเป็นส่วนสำคัญของอุดมการณ์รัฐในนาม "ชาติ" "ศาสนา" "พระมหากษัตริย์" ซึ่งแผ่ขยายอิทธิพลไปถึงระดับภูมิภาค ตามโครงสร้างคณะสงฆ์และระบบการศึกษา

ในหนังสือ Forest Recollections ดร.กมลา ติยะวนิช ตั้งคำถามว่า "พุทธศาสนาแบบราชธานีได้พัฒนามาเป็นพุทธศาสนาทางการอย่างที่เป็นอยู่นี้ได้อย่างไร?"

ดร.กมลาอธิบายว่า ในอดีตก่อนการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ จินตนาการของพุทธศาสนาไทยมีความหลากหลายสูงมาก พุทธศาสนางอกงามด้วยการเปิดรับต่อความเชื่อและวัฒนธรรมท้องถิ่น วิถีปฏิบัติทางศาสนาสัมพันธ์อยู่กับวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน

กมลายังให้ภาพว่า พุทธศาสนาแบบชาวบ้านที่ดำรงอยู่ในภูมิภาคที่ปัจจุบันเรียกว่าประเทศไทยนั้น มีความหลากหลายพอๆ กับพุทธศาสนาในทิเบตเลยทีเดียว

 :welcome: :welcome: :welcome: :welcome:

ในหนังสือ "พุทธศาสนาไทยในอนาคต: แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต" พระไพศาล วิสาโล ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจว่า แม้ความสัมพันธ์อันเกื้อกูลระหว่างคณะสงฆ์กับชนชั้นปกครองถือเป็นปัจจัยแห่งความรุ่งเรืองประการหนึ่งของพุทธศาสนาแบบเถรวาท (ที่มักถูกอ้างถึงตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกเป็นต้นมา) ทว่า ในอดีตความสัมพันธ์ดังกล่าวมีขอบเขตอันจำกัด คืออยู่ในแวดวงของราชธานีหรือหัวเมืองเท่าที่อำนาจของผู้ปกครองนั้นๆ แผ่ไปถึง ในขณะที่สงฆ์ส่วนใหญ่อยู่ได้เพราะการอุปถัมภ์ของชุมชนท้องถิ่น

นอกอิทธิพลของราชธานี ผู้คนอาศัยอยู่ในวัฒนธรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงและผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา ทำให้พุทธศาสนาของชาวบ้านมีความหลากหลาย ยืดหยุ่น และสัมพันธ์อยู่กับชีวิตจริง เกิดเป็นนิกายหรือสายปฏิบัติย่อยๆ มากมาย ซึ่งแต่ละสายถูกส่งต่อผ่านอุปัชฌาย์อาจารย์และมีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเอง ชาวบ้านไม่ได้รับอิทธิพลจากจินตนาการของพุทธศาสนาในแบบชนชั้นปกครองในกรุงเทพฯ พระของพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาสูง ไม่จำเป็นต้องจบมหาวิทยาลัยสงฆ์ ไม่ต้องจบนักธรรมตรีโท เอก หรือมหาเปรียญ 9 ประโยคจากกรุงเทพฯ


 :s_hi: :s_hi: :s_hi: :s_hi:

ทว่า พระของชาวบ้าน คือ พระที่รู้จักชาวบ้าน รู้ทุกข์รู้สุขของชาวบ้าน ศึกษาปฏิบัติธรรมวินัยเพื่อการขัดเกลาจิตใจตนเอง นอกจากนั้น ก็มีบทบาทหน้าที่ในการประกอบพิธีกรรม เป็นที่พึ่งทางใจ ปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ แล้วแต่ทักษะและความสามารถที่พระแต่ละรูปมี

จะเห็นได้ว่า ภายในช่วงเวลาเพียง 60-70 ปีมานี้เอง ที่จินตนาการของพุทธศาสนาของคนไทยเปลี่ยนไปมาก ก่อนหน้านี้ชาวบ้านและพระบ้านๆ มีวิถีปฏิบัติทางศาสนาตามประเพณีปฏิบัติพื้นบ้านแบบดั้งเดิมที่สืบทอดมายาวนานเป็นร้อยๆ ปี สายปฏิบัติมีความหลากหลายไปตามสภาพภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ภาษา อย่างเป็นอิสระจากอิทธิพลของกรุงเทพมหานคร

การรวมศูนย์อำนาจในสมัยรัชกาลที่ 5 พร้อมกับการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่ และแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบประชาธิปไตย ก็ยังเกิดยุคสร้างชาติโดยระบอบเผด็จการทหารขึ้นอีก บริบททางสังคมการเมืองทั้งหมดที่กล่าวมาส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับชุมชนท้องถิ่นให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ศาสนาพุทธถูกดึงไปใช้เป็นเครื่องมือของรัฐ ส่งผลให้อำนาจสงฆ์จากส่วนกลางสามารถครอบงำสงฆ์ทั่วประเทศได้อย่างเป็นเอกภาพมากขึ้น

 :s_good: :s_good: :s_good: :s_good:

ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ภาพของพุทธศาสนาไทยก่อนถูกอำนาจคณะสงฆ์ของรัฐครอบงำ ด้านหนึ่งมีพุทธศาสนาที่เข้าไปใกล้ศูนย์กลางอำนาจ อีกด้านหนึ่งมีพุทธศาสนาแบบท้องถิ่น ซึ่งโดยภูมิศาสตร์การเมืองพุทธศาสนาทั้งสองแบบต่างมีบทบาทหน้าที่ของตัวเองที่เป็นอิสระจากกัน โดยมีอาณาบริเวณของป่าเป็นพื้นที่กันชน ด้วยพลวัตระหว่างพระเมือง พระบ้านๆ พระป่า และชาวบ้าน ที่สัมพันธ์กันอย่างเป็นอิสระจากกันในระดับหนึ่ง ทำให้สายปฏิบัติของพุทธศาสนาที่มีอยู่ในประเทศไทยในยุคก่อนการเกิดขึ้นของรัฐชาติสมัยใหม่มีความหลากหลายสูง นอกจากนักบวชในพุทธศาสนาที่มีวัตรปฏิบัติแตกต่างกันไปตามท้องถิ่นแล้ว เรายังพบได้กับพุทธศาสนาในหลากหลายนิกายไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนามหายานหรือแม้แต่วัชรยาน อีกทั้งยังพบได้กับนักบวชในรูปแบบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ฤๅษี ปะขาว ครูบา หรือนักบวชหญิง

โครงสร้างของพุทธศาสนาแห่งรัฐค่อยๆ ทำลายความหลากหลายของรูปแบบพุทธศาสนาที่สัมพันธ์อยู่กับชุมชนท้องถิ่นให้หมดไป แปรเปลี่ยนเป็นพุทธศาสนาเถรวาทแบบรัฐที่มีโครงสร้างการบริหารงานแบบราชการ มีอำนาจสั่งการจากสังฆราช ผ่านองค์กรอย่างมหาเถรสมาคมลงมาผ่านเจ้าคณะใหญ่ เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ไล่เรียงกันลงมาจนถึงเจ้าอาวาส


 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ส่วนการศึกษาแบบคณะสงฆ์ก็ไม่ได้เป็นการศึกษาที่เรียนรู้จากชุมชนและความทุกข์ของผู้คน โดยมีวัดเป็นศูนย์กลางของชุมชนหมู่บ้านอีกต่อไป ทว่า พระต้องเดินทางเข้ามารับการศึกษาตามแบบคณะสงฆ์ของรัฐในกรุงเทพฯ

พัฒนาการของพุทธศาสนาไทยในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมามีจุดโฟกัสอยู่ที่พุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งมีลักษณะรวมศูนย์และต้องการความมีเอกภาพเพราะเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์แห่งความเป็นรัฐไทยสมัยใหม่ อันประกอบด้วย "ชาติ" (ประเทศไทย, ความเป็นไทย, กรุงเทพมหานคร) "ศาสนา" (ศาสนาพุทธแบบรัฐ) และ "พระมหากษัตริย์" (ธรรมราชา, ศูนย์รวมจิตใจคนไทยทั้งชาติ) กระแสของพุทธศาสนาแบบวัดวาอาราม (Monasticism) ได้ผสานกับอำนาจของความเป็นสถาบัน (Institutionalization) และความเป็นชาติ (Nationalization)

จนทำให้รูปแบบของพุทธศาสนาไทยพัฒนาสู่อำนาจนิยมทางศาสนาที่มีความแข็งทื่อตายตัวทั้งทางด้านรูปแบบ คำสอน และวิถีการปฏิบัติอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน


คอลัมน์ ธรรมนัว โดย วิจักขณ์ พานิช
มติชนรายวัน 21 กันยายน 2557
ที่มา http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1411309493
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ