ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องทางโลกไม่มีที่จบ แต่ทางธรรม 'จบ'  (อ่าน 2281 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29339
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


เรื่องทางโลกไม่มีที่จบ แต่ทางธรรม 'จบ' : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพิสุทธิ์ เกรียงบูรพา

ได้มีโอกาสมาเยือนโคราช ใกล้เขาใหญ่ สหายธรรมเจ้าบ้าน เธออาสาพาผมมากราบครูบาอาจารย์ที่ วัดป่ารัตนวัลย์ สถานที่ซึ่ง หลวงพ่อสุเมโธ พระฝรั่งลูกศิษย์รุ่นแรกของ หลวงพ่อชา สุภัทโท แต่ผู้เขียนคงมีบุญน้อย ไม่ได้เจอหลวงพ่อสุเมโธ หรือพระเจ้าอาวาส เพียงได้เข้ามาเยี่ยมสถานธรรม ที่ยึดตามแนวทางแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ชื่นใจแล้วครับ

การได้เข้ามาใส่บาตรพระ ถวายสังฆทาน กราบครูบาอาจารย์ สำรวจพุทธสถาน หามุมสงบวิเวกเพื่อนั่งสมาธิ ก็ทำให้ชีวิตคนเราได้อิ่มเอมใจอย่างมากทีเดียว แม้บุญผู้เขียนจะน้อย แต่ก็ยังพอมีอยู่บ้าง ที่ได้พบปะพระฝรั่งชาวอเมริกันลูกวัดรูปหนึ่ง เดินออกมาต้อนรับ และเสวนาธรรม

ท่านสุนันโท บวชเป็นเณรมา ๔ พรรษา ตระเวนไปทั้งทิเบตและอินเดีย สุดท้ายมาจบลงที่ประเทศไทย ปัจจุบันท่านเป็นพระมาเกินกว่า ๑๐ พรรษาแล้ว ด้วยความเมตตาของท่าน สละเวลามาสั่งสอนธรรมพวกเราร่วม ๓๐ นาที


 :25: :25: :25: :25:

"ตลอดระยะเวลาที่หลวงพ่อสุเมโธ สั่งสอนลูกศิษย์ ท่านมักเน้นธรรมข้อไหนมากเป็นพิเศษ” ผมขอโอกาสถาม
“สติ-สัมปัชชัญญะ และอริยสัจ ๔” ท่านสุนันโท ตอบเป็นภาษาไทยได้อย่างฉะฉาน
“อะไร ทำให้ชาวอเมริกัน ที่อยู่ในดินแดนที่เจริญทางวัตถุอย่างท่าน หันมาบวชครับ?”

“ผมเอง (ท่านถ่อนน้อมถ่อมตนมาก แทนตัวเองว่า “ผม” แทนที่จะใช้คำว่า “อาตมา”)... อยู่ในประเทศที่วัตถุนิยมรุนแรงมาก คนที่นั่นนับถือเงิน คนนี้มีเงินเท่านี้ ว่าโอเคแล้ว ก็ยังมีคนที่รวยกว่านั้น ก็โอเคมากกว่า ใครอยากจะให้คนนับถือมาก ก็ต้องหาเงินมาก แข่งขันกันไม่สิ้นสุด เมื่อมีเงินทองแล้ว ก็นำไปซื้อสิ่งที่ชอบที่พอใจ ได้แล้วก็เบื่อหน่าย ไปหาซื้อใหม่ ที่แพงกว่าเดิม ยี่ห้อที่ดีมากๆ ดีเท่าไหร่ มันก็ไม่จบ เรื่องทางโลก มันจึงไม่มีที่จบ



"สมัยก่อนผมนับถือคริสต์ คนมาชุมนุมในโบสถ์ ก็ดูโอเค แต่ก็ยังชอบแสดงความโกรธออกมา แล้วให้เหตุผลกับตัวเองว่า โกรธคนนอกศาสนา พระเจ้าว่าไม่ผิด ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ใช่ อารมณ์โกรธที่เกิดขึ้น แล้วเราไปยึดมั่นเป็นของเรา ก็ทำให้ทุกข์ทั้งนั้น... ผมจึงแสวงหาหนทางที่ดีกว่านั้น หลังจากใช้เวลา ๔ ปี ใช้ชีวิตเป็นเณรที่ทิเบตและอินเดีย ก็รู้สึกว่า ยังไม่เคร่ง (พระทิเบตฉันข้าวเย็นได้) และวินัยยังไม่ละเอียด (พระที่อินเดีย ยังไม่ละเอียดในธรรมวินัย)"

ท่านจึงเบนเข็มมาที่ประเทศไทย สายที่สังฆะเข้มแข็ง ละเอียดในธรรมวินัย และได้ตามธุดงค์กับครูบาอาจารย์มาหลายท่าน กระทั่งปัจจุบัน พรรษานี้อยู่ที่โคราช


 :96: :96: :96: :96:

ฟังท่านเล่าแล้ว พวกผมเหมือนคนใกล้เกลือกินด่างเลยนะครับ... ส่วนท่านนั้น ไกลเกลือก็จริง แต่ก็ได้กินเกลือแล้ว

“พวกเราทุกคนปฏิบัติได้ แม้จะยังไม่ได้มาบวช... โดยการเป็นผู้เฝ้าดู เวลาที่เกิดอารมณ์ (เวทนา) ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ตาม มันก็เพียงเกิดขึ้น-ตั้งอยู่ระยะเวลาหนึ่ง-แล้วต้องดับไป ทุกเรื่อง การเฝ้าดูนั้น เป็นการแยกจิตออกจากอารมณ์ แล้วพิจารณาสิ่งๆ นั้น (อารมณ์นั้นๆ) เที่ยงไหม? เปลี่ยนแปรไหม? (ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปร; พวกเราตอบ) มันทำให้เราเป็นทุกข์ไหม? (เป็นทุกข์) แล้วเป็นของของเราหรือไม่? (ไม่ใช่) ...

"...เหมือนน้ำในบึงที่โยมเห็น... หากเราไปยืนมอง อยากให้น้ำใสกว่านี้ ไม่เห็นมันใสซะที มีปลาในน้ำอีกหลายตัว ว่ายไปมาอยู่ เกิดใจร้อน กระโดดลงไปในบึง แล้วไล่จับปลาให้มันอยู่นิ่งๆ ปลาก็ยิ่งตกใจ ว่ายกระเจิงไปมา มากกว่าเดิม น้ำยิ่งขุ่น ก็ยิ่งแย่กันไปใหญ่ เพราะฉะนั้น เราจึงควรแค่ยืนจ้องดู เป็นเพียงผู้ดู น้ำในบึงก็จะค่อยๆ นิ่ง ใสขึ้นเองโดยธรรมชาติ แม้ปลาจะแหวกว่ายไปมาบ้าง หรือ น้ำจะไม่ใสบ้างในบางครั้ง ก็ไม่กระทบเรา เพราะไม่ใช่ของเรา เราเป็นเพียงผู้เฝ้าดู (จิตไม่เสวยอารมณ์, สักว่ารู้ในเวทนานั้นๆ เฉยๆ)”


 ans1 ans1 ans1 ans1

แล้วท่านก็มัก สรุปอุบายให้พวกเราน้อมไปปฏิบัติ (action) แบบง่ายๆ แต่ทว่าเป็น หัวใจธรรม ทีเดียว คือ ให้ฝึกสติ-สมาธิ ให้ชำนาญ เพื่อรับมือกับอารมณ์ที่เกิด-ดับๆๆ เสมอ แล้วเฝ้าดู จนเกิดปัญญาเห็นว่า จิตกับอารมณ์นั้นเป็นคนละส่วนกัน (แยกกัน) แล้วใช้หลักพระไตรลักษณ์มาพิจารณาว่า อารมณ์นั้นไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) และไม่ใช่ของของเรา ไม่เป็นของของใครทั้งสิ้น (อนัตตา) ... อย่างนี้เรื่อยๆ ไป แล้วจึงจะจบจริง ดับทุกข์ได้จริงๆ

การเดินทางมานมัสการครูบาอาจารย์ถึงโคราชในครั้งนี้ จึงได้ครบบริบูรณ์พร้อม ทั้ง ทาน-ศีล-ภาวนา แล้วพวกเราก็แยกย้ายถ่ายเท ต่างก็ไปเสาะหามุมวิเวกของใครของมัน แล้วทำจิตภาวนากันอีกร่วม ๒ ชั่วโมง ก่อนจะกราบลาท่านกลับกรุงเทพฯ ท่านยังเมตตากล่าวว่า ...

“ดีๆ มากันบ่อยๆ มาแล้วเสวนาธรรมเสร็จ ก็นั่งสมาธิ หรือ เดินจงกรมได้ อยู่กันทั้งวันก็ได้ พระเอง ก็ชอบที่จะเห็นพวกโยมภาวนา อย่างสงบ ตั้งใจนะ ... เจริญพร”


             ไหนว่า “สุข” สุขจริง มีไหมเล่า?
             เดี๋ยวก็เก่า เฝ้าวิ่งหา “สุข” กันใหม่
             ถ้ามี “สุข” ที่จบจริง ในโลกไซร้
             คนคงไม่ ดิ้นขวนขวาย ตะกายดาว
             มีแต่ “ทุกข์” เท่านั้น ล้อมโลกอยู่
             เปิดตาใน ให้ตื่นรู้ ดูให้เห็น
             ฉันจึงเดิน ตามพุทธองค์ ทรงว่างเย็น
             ฉันจึงเห็น อริยสัจ ตัดทุกข์เอยฯ


ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20141008/193612.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ