หนุ่มสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ เปิดประเด็นบ้าง
คำว่า โลกย ในคำว่า วัดโมลีโลกยาราม แปลว่าอะไร และสำเร็จรูปมาอย่างไร ?
เกริ่นนำ พจนานุกรมฯ ใช้ว่า โลกย์, โลกยะ, โลกัย ว. ของโลก (ส. โลกฺย)
บาลีอาจเป็น โลกิย หรือ โลกีย
นายพระยา ฤทธิภักดี เท่าที่เห็นมีใช้ เป็น โลกฺยํ ก็มี โลกยํ ก็มี
หนุ่มสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ (ขอดูหลักฐานจากคัมภีร์บาลีด้วยครับ ขอบคุณ)
นายพระยา ฤทธิภักดี โลกฺยํ และ โลกยํ ปรากฏในเล่มที่ 28
Pongkhante Phramahaasomchai Punyawachiro เข้าใจว่า เป็น โลก+อิย (อีย) +อาราม นะครับ ลบ อิ จึงใส่ พินทุ ที่ ก น่ะครับ บาลีจึงเป็น โลกฺยาราม คงเทียบได้กับ อุทรียํ (โภชนํ) เขียนเป็นภาษาไทยจึงเป็น โมลีโลกยาราม ผิดถูกอย่างไร ช่วยกันสากัจฉานะครับ.. ขอท่านปัณฑิตาจารย์ ร่วมเสวนา..
มังกร นพเก้า รมณียสถาน โลกยาราม รมณียาราม
คีรีวัน มารัญชยะ ฝากข้อเสนอดังนี้
1) โลกี+อาราม (อี เป็น ย = โลกฺย) = โลกฺยาราม
2) โลกฺย มาจาก โลกิย (ลบ อิ เพื่อต้องการแผลงเป็นรูปว่า โลกย์) ลองค้นดูเอกสารเก่าดูอาจพบชื่อว่า วัดโมลีโลกย์ แม้พระนามของล้นเกล้ารัชกาลที่ 1 ดูเหมือนเอกสารเก่าท่านใช้ จุฬาโลกย์ (ถ้าจำไม่ผิด)
๏ ตามข้อ 1 : โลกี อาจเป็นคำที่เติมเสียงสระในภาษาไทยเป็น โลกี โลกา (ความหมายเท่ากับ โลก) เมื่อนำคำว่า อาราม มาเป็นสร้อยพ่วงท้ายจึงทำการเชื่อมสนธิแบบบาลีเป็น โลกฺยาราม
๏ โมลีโลกย์ (โมลีโลก) หมายถึง ปิ่นโลกา / มิ่งโลกา
๏ โมลีโลกยาราม หมายถึง อารามที่พระผู้เป็นมิ่งโลกา (พระมหากษัตริย์) ทรงสถาปนาขึ้น
มังกร นพเก้า ขนฺตฺยาคโม โลกฺยาราโม
หนุ่มสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ 3 วัดนี้ เคยมีชื่อว่า วัดโมลีโลกย์สุธารา มอาวาศวรมหาวิหารพระอารามหลวง เรียกสั้นๆว่า วัดโมลีโลกย์สุธาราม (และเป็นชื่อวัดอย่างปัจจุบัน) ดังนั้น คำเดิมจึงน่าจะเป็น โลกย (หรือโลกย์) นั่นแหละ คงไม่ได้แปลง ... เป็น ย เพราะสระอยู่หลัง (เนื่องจาก สุธาราม ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ส) ประเด็นปัญหาก็คือ คำนั้น ตรงกับคำบาลีหรือสันสกฤตว่าอย่างไร แปลและทำตัว/สำเร็จรูปทางไวยากรณ์อย่างไร ?
นายพระยา ฤทธิภักดี ในอรรถกถา อธิบาย คำว่า โลกฺยํ ว่า
โลกฺยนฺติ เอวํ ปาปปวาหนสมตฺถํ โลกสมฺมตํ.
มังกร นพเก้า ชฺยาสนา กตา พุทฺธา เชตฺวา มารํ สวาหนํ
ตรง ชฺยาสนา ยังงัยครับ
อิ เป็น เอ ๆ เป็น อฺย หรือยังงัยครับ ?
หนุ่มสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ชฺยาสนา แปลและแยกว่า ?
มังกร นพเก้า ชิ + อาสนา อิ เป็น เอ ๆ เป็น อฺย ใช่ป่ะ ?
คีรีวัน มารัญชยะ ชฺยา (สายธนู) เป็นภาษาสันสกฤต ในภาษาบาลีมีรูปว่า ชิยา โดยแทรกเสียง อิ ที่ต้นคำตามหลัก Svarabhakti (สระภักดี : The helping vowel or fraction vowel) เหมือน สํ. สฺมรติ ป. สุมรติ (รูปบาลีจริงๆ เป็น สรติ) etc.
ถ้าเช่นนั้น คำว่า โลกฺย คงเป็นรูปหดของ โลกิย กระมัง เทียบ ปทุมํ-ปทฺมํ / วิทฺธํสิตํ-วิทฺธสฺตํ / กิริยา-กฺริยา etc. วิธีเช่นนี้บาลีเรียกว่า วัณณสังโกจนนัย (วิธีย่ออักษร)
มังกร นพเก้า พระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม
หนุ่มสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ขนฺตฺยาคโม คงเป็นรูปธรรมดา จาก ขนฺติ + อาคโม แปลง อิ เป็น ยฺ เพราะสระอยู่หลัง, ส่วน โลกฺย เป็นรูปพิเศษ
แต่ ชยาสนา ... ดูจากคำแปลแล้ว น่าจะแยกเป็น ชย (ชัยชนะ) + อาสน (อาสนะ, ที่นั่ง)
(ส่วน โลกฺย ในกระทู้นี้ ยังไม่ได้ข้อยุติ)
Pongkhante Phramahaasomchai Punyawachiro ได้อ่านแนวคิด/มุมมองของนักปราชญ์ทุกท่าน...แหม..ขอบอกตรง ๆว่า ชอบจริง ๆ ลุ้นไปตลอดเลย..กับความคิดอับแยบยล ช่างโยนิโส (เจาะลึก) จังเลย ..ปญฺญา สากจฺฉาย เวทิตพฺพา " อิอิ ขออนุญาตครับ
คีรีวัน มารัญชยะ บางฉบับสวดว่า ชิยาสนากตา ชิยา (สาย)+อสน (ลูกศร)+อกต (ไม่สร้าง/ไม่กระทำ) นอ. (พิเศษ) แย้ม ประพัฒน์ทองท่านแปลว่า โดยไม่ต้องใช้สายและศร (มาสู้รบ) ถ้าอยากรู้รายละเอียดหาอ่านได้จากหนังสือพินิจพระคาถาชินบัญชรของท่านอาจารย์ นอ.ทองย้อย แสงสินชัยครับ ท่านเจาะลึกรายละเอียดไว้พอสมควร
นายพระยา ฤทธิภักดี http://jinapanjara-gatha.blogspot.com/2011/08/blog-post.htmlหนุ่มสุรินทร์ ถิ่นช้างใหญ่ ในพินิจฯ กล่าวว่าเป็นปัฐยาวัตร บาลีว่า ชิยา... หรือ ชยา.. ก็ครบ 8 พยางค์พอดี , แต่ถ้าเป็น ชฺยา (รูปหดของ ชิยา) ดูเหมือนไม่ครบ 8 พยางค์? ฝากพินิจร่วมกันครับ
คีรีวัน มารัญชยะ ท่านคีรีวันพินิจเพิ่มจากของอาจารย์ทองย้อยโดยส่งไปให้ท่านร่วมพินิจด้วยดังนี้:-
๏ ทีนี้เราลองมาพินิจคาถาแรกที่ว่า ชิยาสนากตา, ชิยาสรากตา ที่แปลว่า ไม่ต้องใช้สายและศร (มาทำการสู้รบ) กันอีกทีหนึ่ง ตามรูปศัพท์และคำแปลดังกล่าว ถ้าว่าตามลักษณะภาษาบาลีจริงๆ แล้ว เป็นการแปลในลักษณะให้พอไปกันได้ ซึ่งผู้รู้บาลีพยายามโมเมทึกทักดึงดันที่จะแปลให้ได้ เพื่อเอาใจคนไม่รู้บาลีถือเป็นการโกหกตนเองและผู้ไม่รู้บาลีได้หรือไม่ ตามปกติศัพท์บาลีที่เป็นคำปฏิเสธเมื่อใช้เป็นคุณศัพท์แล้วจะไม่นิยมเข้าสมาสในลักษณะเช่นนี้ คือ จะใช้เป็นตัปปุริสสมาสไม่ได้ เช่น ภาษาไทยว่า “ไม่มาแล้วสู่บ้าน” จะแต่งเป็นบทสมาสว่า คามานาคโต ดังนี้ เป็นอันผิดลักษณะภาษาบาลี ที่ถูกจะต้องแยกประกอบวิภัตติว่า คามํ อนาคโต คำว่า ชิยาสนากตา และ ชิยาสรากตา ก็เช่นกัน ถ้าหากจะใช้เป็นคุณนามปฏิเสธควรประกอบรูปศัพท์เป็นพหุพพีหิสมาสว่า อกตชิยาสนา หรือ อกตชิยาสรา แปลว่า “ผู้มีสายและศรอันไม่กระทำแล้ว” ดังนี้ถึงจะถูก
๏ การเปลี่ยนเสียงสระ อ ตรง ชยาสนคตา มาเป็น ชิยา- ก็คงเข้าลักษณะการเปลี่ยน พกุล, วรุณ มาเป็น พิกุล, พิรุณ ในภาษาไทยนั่นเอง ส่วนการเพิ่มสระ อา มาข้างหลัง น เป็น ชิยาสนา ก็เพื่อจะให้สัมผัสกับคำว่า ยา ข้างหน้า ส่วน คตา เพี้ยนเป็น กตา นั้นได้ชี้แจงไว้ข้างต้นแล้ว
๏ อนึ่งคำว่า ชยาสนากตา ตามฉบับวัดระฆังฯ ที่พิมพ์เผยแพร่ทั่วไปนั้น ถ้าตัดบทว่า ชย+อาสน+อากตา หรือ ชย+อาสน+กตา (ทำทีฆะหน้า กต) โดยถือว่า อากตา - กตา มาจาก อาคตา - คตา ตามที่วิเคราะห์ไว้ในเชิงอรรถหน้า ๔๐ (อ้างถึง : ข้อความในหนังสือรวมบทสวดพระคาถาชินบัญชรนานาชาติ) ก็ยังไม่มีเหตุผลที่พอทำให้น่าเชื่อถือได้แต่อย่างใด
๏ ส่วนที่แปลและพินิจไว้ว่า “โดยที่มิได้เขยื้อนจากชัยอาสน์” และว่า “ไม่ทำการขยับจากอาสนะชัย” โดยถือว่ามาจากคำเดิมว่า ชยาสนาสนากตา (ลบ อาสน หรือ อสน ศัพท์ : ชยาสน+(อสน)+อกตา / ชย+(อาสน)+อสนากตา = ชยาสนากตา) นั้นก็เป็นการแปลในลักษณะให้พอไปกันได้เช่นกัน
ชิยา ชฺยา นี้แยกประเด็นมาจาก โลกฺย นะครับ เพราะมีเพื่อนสมาชิกบางท่านหลงเข้าใจว่า ชฺยาสนา คงจะแยกสนธิว่า ชิ+อาสนา กระมัง ? โดยเอาไปเทียบกับคำว่า โลกฺย นั่นเอง ในเมื่อมีผู้ใคร่รู้เราก็ไปเสาะแสวงหามาให้เพื่อเป็นการประเทืองปัญญาจะได้เพิ่มพูนความรู้มากยิ่งขึ้นครับ
นายพระยา ฤทธิภักดี เอาฉบับลังกามาฝาก ครับ..
คีรีวัน มารัญชยะ (อาหุํ อานนฺทราหุลา) สงสัยเฉพาะ อาหุํ นะ ทำไมไม่เป็น อหุํ หรือ อาสุํ
อาหุ (กล่าวแล้ว) อาหุํ....?
นายพระยา ฤทธิภักดี http://issuu.com/volunteerspirit/docs/sangharajab014คีรีวัน มารัญชยะ ถ้า อาหุํ มาจาก อาสุํ แสดงว่าสียง ส กลายไปเป็น ห เหมือนคำว่า อสุร ในภาษาบาลีสันสกฤต ออกเสียงเป็น อาหุร ในภาษาอเวสตะ (Ahura-mazdā)
Pongkhante Phramahaasomchai Punyawachiro ในความคิดของกระผมนั้นว่า อาหุง (ขออภัยครับ) พิมพ์ อุ กับ อํ ไม่ได้ เพราะไม่ได้ติดตั้งฟ๊อนต์บาลี) บทนั้น น่าจะ มาจาก หุ ธาตุ อ อาคม อุง อัชชัตตนีวิภัตติ น่ะครับ ที่มีค่าเท่ากับ อาสุง แปลเหมือนกันว่า "ได้มีแล้ว" อันหนึ่งเป็น อสฺ ธาตุ อันหนึ่งเป็น หุ ธาตุ..อ้อ ทีฆะต้นธาตุด้วย สำหรับ อาหุง..
เพราะมีหลายบทนะครับ ผิดแผกจากที่ในประเทศไทย จัดพิมพ์ อย่างสีเส เป็น สิเร อย่างนี้เป็นต้น แปลกอย่างหนึ่ง คือ โมคฺคลฺลาโนสิ นี่แหละ.. ฯลฯ ??
คีรีวัน มารัญชยะ อาหม-อาสาม-อัสสัม (Skr. kāmarūpa) / หินฺทุ (Skr. hindu)-สินฺธุ (สินฺทุ ?) etc.
สีเส (ศีรษะ) / สิเร (เศียร) เป็น synonym ไม่มีปัญหาครับ|
อาสิ (อ+อสฺ+อี) / อาสุํ (อ+อสฺ+อุํ) จึงเป็นเสียงยาวได้
โมคฺคลฺลาโนสิ (โมคฺคลฺลาโน+อสิ) ถึงแม้รูปศัพท์จะเป็นวัตตมานา แต่ความบ่งว่าเป็นปัญจมี เวลาแปลต้องแปลว่า ขอพระโมคคัลลานะจงมาอยู่ที่ข้างซ้าย (วามเก) ในสันสกฤตมีพบทั่วไปครับ อย่างเช่นใช้ ชยติ แทน ชยตุ etc.
Pongkhante Phramahaasomchai Punyawachiro อ๋อ..ชัดเจน ทั้งนั้นเลย ดูแล้ว ส่วนมาก อสฺ ธาตุ กับ หุ ธาตุ ...
คีรีวัน มารัญชยะ อีกนัยหนึ่ง โมคฺคลฺลาโนสิ (โมคฺคลฺลาโน+อาสิ) ตรงนี้อัชชตนีใช้แทนปัญจมีได้เลย (ในสัททนีติมีอธิบายไว้อยู่) มีอุทาหรณ์ในรูปสิทธิอ้างว่า โมคฺคลฺลาโนสิ พีชโก (ลองไปเปิดดู) ครับ ถ้าเป็น √หู (√หุ สนล.) ควรมีรูปว่า อหุํ ครับ ดังพระบาลีในมหาสมยสูตรว่า ทิสา สพฺพา ผุฏา อหุํ. อาหุํ อานนฺทราหุลา ในที่นี้ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะต้องรักษาฉันท์ดังนั้นควรเป็น อหุํ มากกว่าครับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ รูปว่า อาหุํ นี้ แปลง พฺรู ธาตุ ในการกล่าว เป็น อาห แล้วลง อุํ อัชชัตตนี ได้ไหมครับ
นายพระยา ฤทธิภักดี ผมว่าโดยบริบท น่าจะไปทาง ที่แปลว่า มี , เป็น มากกว่า ที่จะมาจากศัพท์ที่แปลว่า กล่าว...
Pongkhante Phramahaasomchai Punyawachiro สนับสนุนครับ หุ อสฺ ธาตุ มี,เป็น ชัดเจนกว่าครับ ฟันธง(ดีไหม) ??
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ถ้าเป็น อาสุํ นะหายสงสัยเลย อิอิ หรือเป็นการเล่นคำของนักปราชญ์รุ่นเก่า โดยแปลง สฺ เป็น ห ฺ อย่างท่านอาจารย์คีรีวัน ว่าเนาะ
คีรีวัน มารัญชยะ [เพิ่มเติมจาก...อีกนัยหนึ่ง โมคฺคลฺลาโนสิ (โมคฺคลฺลาโน+อาสิ)..] ในสัททนีติ ธาตุมาลา (360-361) รุธาทิฉกฺก ตนาทิคณิก
กล่าวไว้ว่า แม้จะระบุถึงกิริยาที่เป็นอดีตกาลก็ตาม แต่เนื่องจากประกอบกับ มา ศัพท์ จึงเป็นอนุตตกาลลงในอรรถปัญจมีวิภัตติได้ ดัง อุ.ว่า
๏ มา เมตํ อกรา กมฺมํ มา เม อุทกมาหริ. (ขุ.ชา.28/396)
๏ ชราธมฺมํ มา ชีรีติ อลพฺภเนยฺยํ ฐานํ. (องฺ.ปญฺจก 22/59)
๏ ณ ที่นั้นท่านแสดงว่า อัชชตนีวิภัตติจะใช้ในอรรถปัญจมีวิภัตติได้ต้องประกอบกับ มา ศัพท์เท่านั้น แต่ในอรรถกถาท่านใช้ในอรรถสัตตมีวิภัตติบ้าง เพราะจัดเป็นอนุตตกาลเหมือนกันดังนี้
๏ มา ตํ โลโภ อธมฺโม จ จิรํ ทุกฺขาย รนฺธยุํ (ธป.อฏฺ.7/20)
(แก้อรรถ) จิรํ ทุกฺขาย รนฺธยุนฺติ: จิรํ กาลํ นิรยทุกฺขาทีนํ อตฺถาย เอเต ธมฺมา มา ฆาเตนฺตุ มา มทฺทนฺตูติ อตฺโถ. (ธป.อฏฺ.7/21)
๏ ภิกฺขุ วิสฺสาส¹ มาปาทิ อปฺปตฺโต อาสวกฺขยํ.
(แก้อรรถ)...อาสวกฺขยสงฺขาตํ อรหตฺตํ อปฺปตฺโต หุตฺวา ภิกฺขุ นาม วิสฺสาสํ
น อาปชฺเชยฺย. (ธป.อฏฺ.7/56)
(ท่านแก้ มา อาปาทิ เป็น น อาปชฺเชยฺย)
๏ แต่ในสันสกฤตแม้ในที่ไม่ได้ประกอบกับ มา ศัพท์หรือ น ศัพท์ ก็ควรทั้งนั้น เพราะในสันสกฤตบางครั้งประกอบกริยาปัจจุบันกาลแต่ท่านเติม สฺม นิบาตมาท้ายศัพท์ก็กลายเป็นอดีตกาลไปเหมือนกัน เช่น วิหรติ สฺม (विहरति स्म) สฺมรติ สฺม (स्मरति स्म) มีอรรถเท่ากับ วิหาสิ / สริ ในบาลี มีสาธกยืนยันจากอรรถกถาดังนี้
๏ สุมรติ นาควนสฺส กุญฺชโร. (ธป.อฏฺ.7/145)
"พญาช้างระลึกถึงแต่ป่าที่อยู่ของช้าง"
อรรถกถาแก้ สุมรติ นาควนสฺส เป็น นาควนํ สริ.²
๏ มีใครเคยคิดบ้าง คำว่า วิหรติ ที่ปรากฏในคำเริ่มต้นพระสูตรเช่น สาวตฺถิยํ วิหรติ etc. เป็นปัจจุบันกาลใช้ในอรรถอดีต แทนที่เราจะมาอธิบายกันว่ามันเป็นสำนวนพระสูตรโดยเฉพาะ ความหมายในที่นี้ก็คือ มันเป็นปัจจุบันกาลทุกยุคทุกสมัย (คือเป็นปัจจุบันกาล ณ ขณะนั้น) แต่ถ้าเราลองไปเปิดพระสูตรของทางฝ่ายมหายานดูบ้างเราก็จะพบรูปว่า วิหรติ สฺม. เท่านั้น เมื่อมาสู่ภาษาบาลี สฺม นิบาตไม่ได้มีความหมายอะไร ท่านจึงตัดออกไป แต่ในเวลาอธิบายท่านใช้วิภัตติหมวดอัชชตนีมาอธิบายแทน
_____________________________
¹ คำว่า วิสฺสาส ในที่นี้เป็นทุติยันตบทที่ลบ อํ วิภัตติ ดังนั้นในแก้อรรถจึงเป็น
วิสฺสาสํ พบในที่อื่นบ้าง อุ. มเมว กต มญฺญนฺตุ. กต = กตํ (ธป..3/166)
² คำว่า สุมรติ เป็นคำบาลีแปลงจากสันสกฤตว่า สฺมรติ โดยการแทรกเสียง อุ เข้ามาข้างหน้าตามหลัก svarabhakti (สฺวรภกฺติ) คำนี้มีรูปเป็นบาลีจริงๆ ว่า สรติ แต่เนื่องจากเป็นอิทธิพลจากสันสกฤตที่มีรูปเป็น Habitual Past Tense (Historical Tense or Historical present) ว่า สฺมรติ สฺม ดังนั้นในอรรถกถาจึงแก้เป็น สริ.
คำว่า มา รนฺธยุํ ก็ดี มา อาปาทิ ก็ดี ถ้าแปลตามที่อรรถกถาแนะนำก็ต้องแปลว่า "จงอย่ารบกวน" "ไม่ควรถึง" วงการสนามหลวงต้องเปิดใจกว้างและยอมรับมากกว่านี้
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ไม่แน่ใจคับสนามหลวงจะรับไหม มีครั้งนึงท่านเจ้าคุนพระธรรมกิตติวงษ์ ท่านไปเยี่ยมเยียนวัดหาดใหญ่ ฯ ท่านบอกหลายที่ที่สนามหลวงรู้ว่าผิด แต่ไม่สามารถแก้ไขได้ ท่านได้กล่าววลีเด็ดที่จำได้ไม่เคยลืม ลงเรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ ถ้าไม่ตามใจแป๊ะ เดวแปีะถีบตกเรือ เด้ดมาก ๆ เลยครับ
คีรีวัน มารัญชยะ เคยได้ยินมาเหมือนกัน ในเมื่อเรือแป๊ะรั่ว ทำไมเราไม่พยายามคว่ำเรือแป๊ะล่ะ ต้องช่วยกันผลักดัน ว่านะ เอ๊า ฮุย เล ฮุย !!!
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ อาจารย์ขาโหดดดเลย นำทัพเลยครับ ผมเคยคิดเหมือน ขอให้ถึงฝั่ง ป.ธ.๙ ก่อน จะกลับมาจัดแป๊ะ
Pongkhante Phramahaasomchai Punyawachiro ๕๕๕๕ เคยได้ยินท่านพูดสมัยที่เรียนกับท่านที่วัดสามพระยาเหมือนกันวลีนี้.."ลงเรือแป๊ะ ต้องตามใจแป๊ะ ถ้าไม่ตามใจแป๊ะ เดวแปีะถีบตกเรือ เด้ดมาก ๆ"
คีรีวัน มารัญชยะ เรียนบาลีอย่าทิ้งอรรถกถาฏีกาเพราะเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้รองลงมาจากพระบาลี พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายได้ชื่อว่า พุทธมตัญญู (ผู้รู้พระบรมพุทธาธิบาย) และเป็นมหาเวยยากรณะ (นักไวยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่) ลองไปเปิดนิคมธัมมปทัฏฐกถาดูก็จะรู้
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ อรรถกถา ฎีกา คือคลังข้อมูลอย่างมหาศาลเลยครับ ได้ตื่นตาต่ืนใจกับรูปวิเคาระห์แปลก ๆ วิธีวิเคราะห์ศัพท์แปลก ๆ รวมทั้งแนวคิดของผู้แต่งคัมภีร์เลยครับ
คีรีวัน มารัญชยะ (เพิ่มเติมจาก วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่) √พฺรู อาเทสเป็น อาห มีเฉพาะในบาลีครับ ด้วยสูตรว่า พฺรูภูนมาหภูวา ปโรกฺขายํ. "ในปโรกขาวิภัตติให้อาเทส พฺรู เป็น อาห และ ภู เป็น ภูว" (กจฺ.๔๗๕ / รู.๔๖๕) ส่วนในสันสกฤตคำว่า อาห อาหุะ (อาหุ ในบาลี) เป็นรูปที่ทำ reduplicatoin (ทฺวิตฺว หรือ เทฺวภาว ในภาษาบาลี) สำเร็จมาจาก √อหฺ+อ และ √อหฺ+อุสฺ (อุะ) ทำทฺวิตฺวเป็น ออหฺ+อ / ออหฺ+อุสฺ (อุะ) อ+อ สนธิกันจึงเป็น อา ครับ
๏ ส่วนในอัชชตนีไม่มีรูปว่า อาหุํ ครับเพราะในสูตร พฺรูภูนมาหภูวา ปโรกฺขายํ. คำว่า ปโรกฺขายํ บังคับไว้ชัดเจน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ครับผม ผมก้เปิดในรูปสิทธิดูครับ ก็เลยตั้งสมมุติฐานครับ
คีรีวัน มารัญชยะ ต่อไปในทศวรรษอันใกล้นี้ค่านิยมที่ว่า เรียนบาลีเพื่อหวังให้สอบได้คงจะถูกขจัดให้ลดลงไปบ้าง เพราะทุกวันนี้มีฆราวาสญาติโยมที่สนใจหันมาเรียนบาลีเพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะบาลีใหญ่) บางท่านไม่สนใจที่จะเข้าสอบ แต่เป็นการเรียนเพื่อรู้จริงๆ นับวันสยามประเทศนี้จะหาพระเณรที่มีความรู้บาลีดีมาต่อกรกับฆราวาสที่แตกฉานในบาลียากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นเราต้องช่วยกัน ใช่ว่าจะเรียนไปเพื่อแข่งขันและเอาความรู้มาวัดภูมิและเบ่งใส่กัน ที่สำคัญพระเณรเราต้องตระหนักในอันที่จะศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นงานหลัก วิชาทางโลกเป็นงานรอง เพราะมีโอกาสและเวลาที่จะศึกษามากกว่าฆราวาสญาติโยมนั่นเอง ถ้าเราหันหลังให้กับการเรียนบาลีเสียแล้วก็อายญาติโยมที่มีความรู้บาลีดีโดยที่ไม่ได้ผ่านการบวชเรียนมาก่อน
Mahapali Vijjalaya ได้จุดเชื้อปลุกในเรื่อง "สอบบาลี" นี้ไว้บ้างเช่นกัน
http://mahapali.com/main.php?url=news_view&id=106&cat=B และช่วงท้าย ๆ ตรงนี้
http://mahapali.com/main.php?url=news_view&id=79&cat=Bคีรีวัน มารัญชยะ (กลับสู่ประเด็นหลัก) คำว่า โลกย์ อาจมาจาก โลก ก็ได้ แต่เป็นการสะกดตามความนิยมในยุคสมัยหนึ่ง ดูพจนานุกรมไทยฉบับแรกของหมอบรัดเลย์พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2416 ท่านใช้ชื่อหนังสือว่า อักขราภิธานศรับท์ คำว่า อาศัย เมื่อก่อนใช้ อาไศรย คำว่า เสลด เคยใช้ เศลษม์ (สํ.เศฺลษฺมนฺ) ประสบ ควรเป็น ประสพ (สํ. ปฺรสว ป. ปสว) คำว่า ค้อน ใช้มาตั้งฉบับหมอบรัดเลย์ (มีในศิลาจารึกวัดศรีชุม ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๖๕-๖๖ ด้วย แต่ในจารึกเขียนเป็น ฅ๋อน ในความว่า ฅ๋อนตีหางนาคราช ส่วนที่พบในหนังสือเก่าใช้คำว่า ฆ้อน เป็นเครื่องมือ อาจเป็นการใช้ที่คลาดเคลื่อน) สุข ก็เคยใช้ ศุข เป็นต้น
คำว่า อาศัย เดิมเขียน อาไศรย
____________________________________________________
..........คำว่า อาศัย เดิมเขียน อาไศรย นั้นเห็นว่าใกล้เคียงกับทางสันสกฤตมากกว่า เพราะในสันสกฤตเดิมมีรูปว่า อาศฺรย (อา+√ศฺริ : resort+อจฺ) ดังนั้นรูปที่ถูกต้องตรงตามต้นฉบับต้องเขียนว่า อาศรัย แต่เนื่องจากสมัยโบราณไม่ค่อยเคร่งครัดในอักขระวิธีเท่าไหร่นัก และยังไม่มีการบัญญัติสระ อัย ขึ้นใช้ จึงใช้ไม้มลายแทนโดยมาก ส่วนคำว่า อาศัย ที่ใช้ในปัจจุบันนั้น คงเป็นบาลีผสมสันสกฤต เพราะในบาลีมีคำว่า อาสย (อาสัย) หลักฐานสนับสนุนคำว่า อาศัย เดิมเขียน อาไศรย นั้น ปรากฏในคำภาษาถิ่นล้านนาคือ อาไสฺร (อ่านว่า อา-สะ-ไหร) แสดงว่าแผลงมาจาก อาศฺรย นั่นเอง (ภาษาล้านนาโบราณใช้หลักการถอดเสียงให้ใกล้เคียงมากกว่าแผลงให้ตรงมูลศัพท์)
..........คำนี้อาจไม่มีใช้โดยตรงในรูปของคำนามในภาษาสันสกฤต แต่ปรากฏใช้ในรูปกริยาดังนี้:- อถ ตตฺร วฺฤกฺเษ กศฺจิทฺ วฺยนฺตระ สมาศฺริตฺย อาสีตฺ. (pañcat.5 kathā 7) "ที่ต้นไม้นั้นมีรุกขเทวดาตนหนึ่งอาศัยอยู่"
..........คำว่า สมาศฺริตฺย แยกบทว่า สมฺ+อา+ศฺริ+ตฺวา รูปนี้ตรงกับคำนามว่า สมาศฺรย (สมาศรัย)
..........คำว่า สมาสัย ใน ราชประชาสมาสัย ถือว่าแผลงจากภาษาบาลีถูกต้อง ถึงแม้จะเป็นคำสมาสระหว่างสันสกฤตกับบาลีก็ตาม
..........ส่วนคำว่า ปราศรัย นั้นยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ามาจากศัพท์เดิมคืออะไรกันแน่ ระหว่าง ปฺร+อาศฺรย หรือ ปรา+ศฺรย ต้องอาศัยผู้รู้ช่วยสืบค้นกันต่อไป (ในภาษาล้านนาเขียน ปฺราไสฺร แต่อ่านว่า ผา-สะ-ไหร)
(ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่)
http://www.sac.or.th/.../2012-04-26-08-52-30/691--16-118 หลักฐานคำว่า อาไศรย อีกแห่งหนึ่ง
http://th.wikisource.org/.../%E0%B9%98-%E0%B9%91%E0%B9%97 ปราศรัย ตามความเห็นของอาจารย์จำนงค์ ทองประเสริฐ
http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=1264The Royal Institute - Thailand
royin.go.th