
การเข้าไปประจักษ์ ในบริกรรม พุทธานุสสติกรรมฐาน ก็คือ เข้าถึงความเป็น อนุพุทธะ เพื่อรับ สัญญลักษณ์ แห่งพระสาวก การเข้ารับ สัญญลักษณ์ แห่งพระสาวก มีตั้งแต่ พระโสดาบัน ภาษาธรรม เรียกว่า
ธรรมจักษุ ปรากฏ หรือ ดวงตาเห็นธรรมปรากฏ
ดวงตาเห็นธรรม ในที่นี้ ก็คือ การเข้าประจักษ์ในเนื้อหา แห่ง พระสาวกเบื้องต้น นั่นก็คือ พระโสดาปัตติผล

รัศมี เป็น รูปปรมัตถ์ คำว่า รูป ปรมัตถ์ หมายความ รูปที่จริงที่สุด
รูป ประกอบ ด้วย ธาตุ + รัศมี + ลักษณะ + แสงสว่าง
รูป ในสภาวะ สมาธิ ไม่ได้หมายถึง มหาภูตรูปทั้ง สี่ แต่ หมายถึง ธาตุ ทั้ง 6


เวลาที่ใช้ทิพยจักษุ รัศมีทั่วกาย ปรากฏดั่งภาพ เมื่อเห็นรัศมี ก็จะรู้สภาวะ ของผู้นั้น ว่าอยู่สภาวะอารมณ์อะไร ?
"เมื่อภาวนา แก้อารมณ์ ก็ทำให้จิตกลับมาตั้งมั่นในบริกรรม ปัคคาหะ และ อุเบกขา ใหม่ วิตก วิจาร ก็ทำงานอีกรอบ เมื่อวิตก วิจาร ทำงาน ลักษณะแห่งปีิติก็เกิด เพราะไม่พลัดเข้าไปในภวังค์ ลักษณะของปีิติ เกิดก็แตกต่างตามฐานจิต เมื่อปีติเกิด สิ่งที่ควรทำก็คือ การไม่ละจาก วิตก วิจาร ไม่ควรละ เพราะจิตเป็น อัปปนาสมาธิ ยังแล่นอยู่ในระหว่าง ขณิกะสมาธิ และ อุปจาระสมาธิ ดังนั้นเมื่อปีติลงในกายมาก กายก็สั่นไหว น้ำตาแตก ขนลุก ขนพอง ร้อนวูบ เหมือนมีตัวมดแมลงไต่ตามตัว เหมือนมีสายฟ้าแลบไปมาในคลองจักษุ กายสั่นระรัว ด้วยอำนาจปีติ ขนพองสยองเกล้า จนกว่า จะไล่ปิีติ ไปถึง หทัยวัตถุได้ ปีติถึงจะสงบลง เพราะในหทัยวัตถุ ลักษณะปีติ ให้ผลเป็น ความเย็นแผ่ซ่าน จากศรีษะ ลงปลายเท้า จากปลายเท้า ขึ้นสู่ศรีษะ เมื่อลักษณะปีติลงที่ หทัยวัตถุ แล้ว ก็บริกรรม พุทโธ ให้แนบแน่นในฐาน ปีติก็จะเบาลง เมื่อปีติเบาลง ให้อธิษฐานต่อเลย ว่าขอรัศมีจงปรากฏ ณ หทัยวัตถุ อันว่า รัศมี นั้น เกิดได้ทุกฐาน ในฐานจิต แต่ ฐาน หทัยวัตถุ เป็นที่รวม อัปปนาจิต โดยตรงครูอาจารย์ นิยมให้ลงรวมรัศมี ที่ฐานจิต หทัยวัตถุ สุขสัญญา ลหุสัญญา เกิดที่หทัยวัตถุ ดังนั้นเมื่ออธิษฐาน พระรัศมีให้ปรากฏที่ฐานจิต หทัยวัตถุ แล้ว หน้าที่ของผู้ภาวนา ต้อง รักษา วิตก วิจาร ไว้จนกว่า นิมิต จะปรากฏ การปรากฏ ของนิมิต นั้น เกิดตามลำดับ คือ โอภาสเกิด รูปบััญญัติเกิด ธาตุเกิด อุปาทายรูปเกิด มโนธาตุเกิด มนายตนะธาตุเกิด รัศมีเกิด อุคคหนิมิตเกิด ทั้งหมดนี้ เกิดตามลำดับ ไม่มีการลัดขั้นตอน แต่ การเกิดแต่ละท่าน แต่ละคนจะไว ดังนั้น เพื่อเป็นการยืนยัน ใน นิมิตที่ได้ ว่า เป็นของแท้(หมายถึงจิตเข้าถึงสัญญลักษณ์ภายใน) หรือ ของเทียม(หมายถึงอุปาทานสร้างเอง) ครูอาจารย์จึงสอบ รัศมี เพราะรัศมี เป็นรูปปรมัตถ์ ดังนั้นจึงต้องตอบว่า ที่หทัยวัตถุปรากฏ รัศมีอะไร กับครูอาจารย์ อันนี้สำหรับครูอาจารย์ ที่ไม่มีเจโตปริยาญาณ หรือ ทิพพจักษุ เข้าไปตรวจก็ต้องฟัง ลูกศิษย์ตอบ แต่ถ้าครูอาจารย์ มี ญาณประการใด ประการหนึ่ง ก็ไมจำเป็นต้องตอบ เพราะท่านจะดูจาก รัศมี จิต ซึ่ง รัศมีจิต จะสะท้อนรูปลักษณ์ออกมาทาง กายภาพ สามารถเห็นได้ ด้วยทิพยจักษุ..... "
่่ข้อความบางส่วน จากหนังสือเพียงหยดหนึ่งแห่งพระธรรม
บันทึกการภาวนาของ ธัมมะวังโส ภิกขุ