ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อัศจรรย์ปัญญาไทย เลื่อนเมรุวัดท้ายหาด  (อ่าน 1254 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29390
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


อัศจรรย์ปัญญาไทย เลื่อนเมรุวัดท้ายหาด

คนไทยสามารถย้ายเมรุไกลกว่า 50 เมตร ได้โดยไม่ต้องรื้อถอน ขั้นตอนการย้ายอาศัยภูมิปัญญาแต่โบราณกาล ความสามารถชวนตื่นตานี้ เกิดขึ้นที่วัดท้ายหาด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม

ทางวัด “จ้างช่างมาเมื่อ พ.ศ.2547 ราคา 600,000 บาท ให้ย้ายเมรุออกจากที่เดิม เพราะว่าสมัยก่อนเราใช้เรือ แต่เดี๋ยวนี้เราหันมาใช้รถ ทำให้เมรุที่เคยอยู่หลังวัด เหมือนจะมาโดดเด่นอยู่หน้าวัด จึงต้องหาทางปรับทัศนียภาพใหม่” พระครูเกษมสมุทรกิจบอก

พระครูเกษมสมุทรกิจเจ้าอาวาสวัดท้ายหาดอธิบายต่อว่า หลังจากปรึกษาคณะกรรมการแล้ว แรกๆคิดว่าจะต้องรื้อเมรุออกแล้วสร้างใหม่ ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมาก พอดีเห็นข่าวมีคนย้ายบ้านได้โดยไม่ต้องรื้อ ทางวัดจึงส่งคนออกสืบหาช่าง โดยเริ่มที่สิงห์บุรี

 :96: :96: :96: :96: :96:

แล้วก็สมหวัง เมื่อพบว่ามีช่างชาวจังหวัดสกลนครสามารถย้ายเมรุได้

เมื่อสืบทราบชื่อและตามหาจนพบก็เริ่มเจรจา ครั้นตกลงราคากันได้ก็กำหนดการรื้อถอน หัวหน้าช่างชาวสกลนครพาลูกน้อง ซึ่งเป็นคนในจังหวัดเดียวกันมาพักอาศัยในวัด จัดเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เคลื่อนย้าย ท่ามกลางความสนใจของชาวบ้านรอบๆวัด และผู้คนที่ทราบข่าว

ช่างมีวิธีการย้ายอย่างไร เจ้าอาวาสบอกว่า ขั้นแรก ช่างทุบเอาผนังอาคารออกให้เหลือแต่เสา จากนั้นลงมือเซาะดินด้านล่าง แล้วเอารางเหล็กคล้ายๆรางรถไฟสอดเข้าไป ใช้ลวดสลิงผูกรอบตัวเมรุ แล้วให้แรงงานกว่า 30 คน ช่วยกันดึงสลิงให้เมรุเคลื่อนไปตามทิศทางที่ต้องการ

เมรุเผาศพเคลื่อนตัวทีละนิดๆ ครั้งหนึ่งประมาณ 1-2 นิ้ว แรงงานต้องใช้ความพยายาม นายช่างต้องมีความอดทน แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้มีความมั่นใจว่า อย่างไรเมรุต้องไปเด่นเป็นสง่าในจุดที่ต้องการได้แน่ๆ ขณะที่ทางวัดคอยลุ้นอยู่นั้น ชาวบ้านหลายคนก็เฝ้าติดตามดูอย่างใกล้ชิด

“แค่เลื่อนอย่างเดียวยังพอว่า แต่นี่หมุนกลับด้านอาคารเมรุด้วย ก่อนที่จะนำเข้าที่ที่จัดเตรียมไว้” ยายแป๊ด แม่ค้าขายขนมเบื้องวัย 67 บ้านติดอยู่กับวัดบอกและเสริมว่าต้นมะพร้าวของยายใกล้ๆวัด ตายไปหลายต้น เนื่องจากคนงานนำเอาลวดสลิงมาพันแล้วดึง “แต่ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าช่วยวัดไป” ยายแป๊ดบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนตบท้ายว่า “ระหว่างที่คนงานทำงานอยู่นั้น หมาในวัดไม่เหลือเลย เพราะว่าคนงานทุบกินหมด”


พระครูเกษมสมุทรกิจ

ครั้นซักว่ายายเห็นหรืออย่างไร ยายบอกว่า ชาวบ้านรู้กันทั้งนั้น “บางทีเราทำงานอยู่เพลินๆ พอได้ยินเสียงเอ๋งก็เป็นอันว่ารู้กัน ช่วยไม่ทันหรอก ไปอีกตัวแล้ว”

ยายกระซิบว่า ช่างมาอยู่ในวัดประมาณ 3 เดือน หลังเคลื่อนย้ายเมรุเสร็จแล้วก็ขนข้าวของออกไป ในวัดเกิดอาการเงียบเหงาขึ้นมาทันที เพราะว่าสุนัขไม่มีวิ่งให้เห็นเลยสักตัว

สำหรับเมรุที่ต้องย้ายนั้น “เอาไว้มันก็ไม่สวย มันเกะกะ เราจึงต้องย้าย” พระครูเกษมสมุทรกิจบอก

เอ่ยพลางพาทีม “สกู๊ปข่าวหน้า 1” ไปดูฐานเมรุที่พอเห็นร่องรอยอยู่ และยังชี้ให้เห็นห้องน้ำ ซึ่งสมัยก่อนตั้งอยู่หลังเมรุ แต่ปัจจุบันอยู่ริมลานขนาดกว้าง ต้นไม้ที่ปลูกหลังย้ายเมรุอวดลำต้น ดอก และใบเขียวขจี มองออกไปเห็นถนนผ่านหน้าวัด และถนนแยกตัวเข้ามาในบริเวณวัดได้ชัดเจน

 st12 st12 st12 st12 st12

เพราะถนนมา การย้ายเมรุจึงมี

วัดท้ายหาดนอกจากเป็นวัดที่เคลื่อนเมรุด้วยภูมิปัญญาดั้งเดิมของไทยแล้ว ยังเป็นวัดริมแม่น้ำแม่กลอง มีพุทธสถานเก่าแก่ อาทิ พระอุโบสถอายุประมาณ 200 ปี แต่ละวันมีคนเข้ามาลอดเพื่อความเป็นสิริมงคล เรื่องนี้พระครูเกษมสมุทรกิจบอกว่า โบสถ์หลังเก่าชำรุดทรุดโทรมจึงสร้างหลังใหม่ขึ้นมาแทน แต่ต้องใช้ทุนทรัพย์มาก เนื่องจากรายได้เข้าวัดไม่มีเหมือนวัดอื่นๆ ดังนั้นท่านจึงขุดอุโมงค์ลอดโบสถ์หลังเก่า เพื่อให้คนมาลอด ได้มาสร้างกุศล และปัดเป่าโพยภัย แล้วนำรายได้มาสร้างพระอุโบสถหลังใหม่

แม้จะเป็นวิธีการที่แปลก แต่ก็ได้ผล

“โบสถ์หลังเก่าอายุราว 200 ปี อาตมาเปิดให้คนลอดเพื่อเป็นมงคลต่อชีวิต บางคนที่มาลอดปรากฏว่าถูกลอตเตอรี่ก็มี บางคนง่อยเปลี้ยเสียขามา เมื่อลอดปรากฏว่าดีขึ้น ก็อาจเป็นไปได้ว่า โบสถ์อายุมากผ่านการสวดมายาวนาน คงมีความขลังอยู่ในตัว”


พระอุโบสถหลังใหม่

เมื่อถามว่า ถ้าโบสถ์หลังใหม่เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระอุโบสถหลังเก่าจะทำอย่างไรต่อไป เจ้าอาวาสบอกว่า อาจต้องเคลื่อนย้ายไปอยู่ริมน้ำ วิธีการย้ายนั้นคงเหมือนย้ายเมรุ เรื่องนี้ได้แต่คิดไว้เท่านั้น ยังไม่ได้ปรึกษากับคณะกรรมการวัดแต่อย่างใด

วัดท้ายหาดเป็นวัดเก่าแก่ เดิมในหน้าแล้งเกิดหาดทรายยื่นลงไปในแม่น้ำ จึงตั้งชื่อวัดตามทำเลที่ตั้ง ผู้สร้างวัดเล่ากันว่า คือ “เจ้าคุณในโกฏิ” ชื่อประหลาดนี้มาจาก หลังพระอาจารย์มรณภาพไป เหล่าศิษย์ได้นำสรีระของท่านบรรจุไว้ในโกฏิ นานเข้าชาวบ้านจึงเรียกท่านว่า ท่านเจ้าคุณในโกฏิ จนลืมนามจริงของท่านไปสืบมามีเจ้าอาวาสรูปอื่นๆ แต่ที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางคือ

หลวงพ่อแดง ปณฺฑิโต ท่านมีนามเดิมว่า แดง พยัฆศิริ เกิดเมื่อวันอังคาร ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน ตรงกับวันที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2430 พื้นเพเป็นชาวอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม

 :25: :25: :25: :25: :25:

หลวงพ่อแดงเป็นพระอาจารย์เรืองวิทยาคม มีความรู้ด้านอักขระทั้งภาษาไทยและขอม ตลอดจนพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี เคยศึกษาพุทธาคมต่างๆจากหลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย หลวงพ่อบ่าย วัดช่องลม และศาสตร์บางแขนงจาก หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อมอีกด้วย ท่านเป็นพระอาจารย์รูปหนึ่งที่ได้รับนิมนต์เข้ามาสวดในกรุงเทพฯ เมื่อคราวฉลองพุทธศักราช 2500 ปี ที่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม และ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ จัดขึ้น โดยมีเกจิอาจารย์ทั่วประเทศมาร่วมพิธี

หลวงพ่อแดงมรณภาพเมื่อวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2503 ตรงกับวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน 4 ปีชวด เวลา 08.03 น. ด้วยอาการสงบ รวมสิริอายุได้ 73 ปี 52 พรรษา

ด้านวัตถุมงคล ท่านสร้างเหรียญรุ่นแรก เมื่อปี พ.ศ.2502 ปีที่ท่านอายุครบ 7 รอบ เป็นเหรียญเนื้อทองแดง จำนวน 2,000 เหรียญ เล่าลือกันว่ารุ่นนี้มีปาฏิหาริย์ ขนาดโดนคุณโดนไสยผีเข้า ถ้าอาราธนาเหรียญท่านใส่ขันน้ำมนต์แล้วดื่มกิน จะแก้คุณไสยผีเข้าได้ และยังมีคุณทางอยู่ยงคงกระพันอีกด้วย ปัจจุบันนี้หายากแล้ว

พระอุโบสถอายุประมาณ 200 ปี

ต่อจากนั้นมีผู้สร้างรุ่นต่อๆกันมาอีก 6 รุ่น

ล่าสุดพระครูเกษมสมุทรกิจเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ได้สร้างเหรียญขึ้นใหม่เป็นเหรียญพิมพ์เดิม พ.ศ.2502 โดยจัดทำย้อนยุคและทำเหรียญรุ่นที่ 7 เมื่อปี พ.ศ.2556 เป็นเหรียญพ่อแดง รุ่นเม็ดแตง มีทั้งเนื้อเงิน และอื่นๆ

ภูมิปัญญาของไทย ไม่ว่าจะเป็นภูมิธรรมและภูมิรู้ที่สั่งสมมาแต่บรรพกาล ล้วนมีคุณค่าและชวนให้ตื่นตะลึงได้เสมอ.


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/477566
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ