ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: บุญหรือบาป...พุทธหรือพราหมณ์ พึงพิจารณา.!!  (อ่าน 1264 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28562
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
บุญหรือบาป...พุทธหรือพราหมณ์ พึงพิจารณา.!!
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 10:42:25 am »
0


บุญหรือบาป...พุทธหรือพราหมณ์ พึงพิจารณา.!!

ปุจฉา : ...มีโครงการทำบุญกันมากในอินเดีย... จริงๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องที่ดีของชาวพุทธเรา... แต่ทำไมดูเหมือนว่าพระอาจารย์จะไม่ค่อยเห็นด้วย...ขอเป็นธรรมะเพื่อปีใหม่ของชาวไทยทุกคนด้วยนะครับ.!


วิสัชนา : เจริญพรสาธุชนทุกท่าน ...ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นด้วยความรู้เข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนที่พูดกันว่า ศรัทธาที่มีปัญญา หรือความเชื่ออย่างมีความรู้ จริงๆ แล้ว ความศรัทธานั้นจะต้องมีสติกำกับดูแลจนรู้เข้าใจในประโยชน์แห่งศรัทธาว่า ถูกต้องตรงธรรม ที่เรียกว่า ศรัทธาธรรมจึงจะเป็นพลังแห่งศรัทธาที่นำไปสู่การเพียรชอบอย่างมีสติ จนประกอบจิตตั้งมั่น เรียกว่า มีสมาธิที่นำไปสู่การก่อเกิดปัญญา ...สติจึงเป็นอุปการธรรมที่ยิ่งใหญ่ต่อกิจการกองกุศล หากขาดสติแล้วก็จะแปรรูปผลจากการกระทำเป็นกองอกุศลฝ่ายบาปได้ทันที เพราะเมื่อขาดสติแล้ว การกระทำดังกล่าวจะมุ่งไปสู่ทิศทางความชั่วทันที...

...สติจึงเป็นอุปการธรรมที่จะปรับความสมดุลให้ศรัทธากับปัญญาและความเพียร (วิริยะ) กับความตั้งมั่นของจิต หรือกำลังจิต (สมาธิ) เป็นไปอย่างพอเหมาะต่อกัน ไม่ให้ศรัทธานำปัญญาจนหลง...ไม่ให้ปัญญานำศรัทธาไปจนฟุ้งซ่าน... แม้ความเพียร (วิริยะ) กับความตั้งมั่น (สมาธิ) ก็เช่นกันจะต้องสมดุลกัน จึงจะได้ผลสมบูรณ์ และที่สุดแห่งสติก็ต้องพอเหมาะ เพื่อการเคลื่อนไหวอย่างมีปัญญา อันนำไปสู่การขจัดโมหจิต (จิตหลง) ให้สิ้นไป


 :96: :96: :96: :96: :96:

...โมหจิตทำให้เกิดโมหาคติในอคติ ๔ ที่ว่าลำเอียงเพราะหลง คือ ความหลงผิด ด้วยรู้ไม่จริง...ไม่ถูกต้องชอบธรรม จึงนำไปสู่การพูดและการกระทำที่ผิดไปจากทำนองคลองธรรม ...แม้ตั้งความปรารถนาขอได้บุญกุศล แต่กลับก่อบาปอกุศลได้ เพราะรู้ไม่จริง ด้วยอำนาจโมหะ

...ผู้ที่ถูกอำนาจโมหจิตครอบงำ จึงนำไปสู่ความเป็นผู้มีโมหจริต... หนึ่งในจริตทั้ง ๖ ที่กล่าวไว้ว่าคนมีโมหจริตจะเดินมีรอยตีนหนักทั้งปลาย-ส้น ชอบนั่งเหม่อใจลอย ที่กล่าวว่า ขวัญอ่อน ไม่ค่อยมีสติคนมีโมหจริต มีลักษณะทางธรรมที่เป็นคนท้อถอยง่าย ฟุ้งซ่านรำคาญได้เร็ว ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนสูงยากสละคืน จึงปิดกั้นตนเองจากการพัฒนาจิตใจ เพื่อให้เกิดปัญญา!!

 :25: :25: :25: :25: :25:

พระพุทธศาสนาของเราเป็นพุทธศาสตร์ที่ประกาศหลักความจริงอันสูงสุด ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ได้แก่ ทุกข์ความจริงอันประเสริฐ เหตุแห่งทุกข์ความจริงอันประเสริฐ ความดับทุกข์ความจริงอันประเสริฐ และวิธีการปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ความจริงอันประเสริฐ ซึ่งการจะเข้าสู่ความสำเร็จเพื่อรู้แจ้งในอริยสัจทั้ง ๔ ประการได้นั้น ต้องปฏิบัติบูชา คือ การเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพื่อรู้แจ้งในความจริงอันประเสริฐ ว่า นี่ทุกข์ เป็นสิ่งที่ควรรู้ เหตุแห่งทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องละ ความดับทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ้ง และหนทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องเจริญให้มาก

เครื่องมืออุปกรณ์ที่นำมาสู่การพัฒนาจิต เพื่อการดำเนินไปตามหนทางแห่งการปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์นั้น ได้แก่ องค์ธรรม ๘ ประการ มี สัมมาทิฏฐิ เป็นเบื้องต้น... มีที่สุด คือ สัมมาสมาธิ ที่ย่อลงอยู่ในรูปไตรสิกขา ได้แก่ ศีล... สมาธิ... ปัญญา โดยมุ่งเน้นพัฒนากาย-วาจา-ใจ ให้สุจริตในเบื้องต้น จนสามารถพัฒนาจิตให้เกิดสติที่ถึงพร้อมด้วยองค์ความรู้ เพื่อการหยั่งเห็น (ญาณ)... เพื่อปัญญา(ความรู้ชอบ)... เพื่อวิชชา (ความรู้-ความเห็นที่ถูกต้องตามอริยสัจ) และเพื่อแสงสว่างอันนำไปสู่ความดับทุกข์สิ้น คือ พระนิพพาน...

ดังนั้น การเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาเถรวาทอันเป็นไปตามพุทธคติดั้งเดิม จะต้องเข้ามาเพื่อการพัฒนาจิต จนรู้แจ้งในอริยสัจ ๔ ด้วยมรรควิธีที่มีองค์ธรรม ๘ ประการ ที่เรียกว่า อริยมรรค...


 st12 st12 st12 st12 st12

พระพุทธศาสนาของเราถูกฝ่ายมารพยายามแปลงรูปลดระดับลงจากอริยสัจเหลือแค่เพียงระดับศีลธรรม ตั้งแต่สมัยอัศวโฆษเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาภายหลังพุทธปรินิพพาน ประมาณ ๕๐๐ ปี ด้วยภัยร้ายจากพราหมณ์ที่มุ่งทำลายพระพุทธศาสนาให้สิ้นไป โดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์ศุงคะขึ้นครองแผ่นดินมคธในชมพูทวีป...เพื่อความอยู่รอดของพระพุทธศาสนา จึงมีการลดระดับการสอนลงเหลือเพียงแค่การไม่ทำบาป...การทำบุญกุศลให้ถึงพร้อม โดยโฆษณาเรื่องนรก-สวรรค์ เป็นเครื่องหมายว่า ทำบุญอย่างนี้ไปสวรรค์... ทำบาปอย่างนี้ไปนรก ที่เรียกว่าสร้างสวรรค์ให้คนอยาก...เขียนนรกให้คนกลัว ...ทิศทางของพระพุทธศาสนา จึงมิได้มุ่งไปที่ปฏิบัติบูชา แต่กลับเข้าสู่อามิสบูชาที่ต่อมาเป็นภัยร้ายในการทำให้พระพุทธศาสนาสูญสลายไปจากชมพูทวีป...

วันนี้ของพระพุทธศาสนาก็ยังดำเนินไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ เพราะพวกผีเปรตในร่างคนเข้ามา เพื่อหวังลาภสักการะปัจจัยเงิน-ทอง บางตัวก็ฉิบหายไปแล้วจากพระศาสนา แต่ก็ยังห่มผ้ากาสาหากินอยู่...ที่สำคัญ มันฉลาดในเรื่องการคิดโครงการบุญมาชักชวนให้เข้าร่วมโครงการบ้าบุญ โดยชวนเชื่อตามคตินรก-สวรรค์ในชาดก... เรื่องของเรื่องจึงวุ่นวายไปทั่วศาสนจักร เพราะมีการยื้อแย่งทำมาหากินของบรรดาผีเปรตที่หวังสูบน้ำเลือด-น้ำเหลืองจากบรรดาศรัทธาญาติมิตรทั้งหลาย ...พวกพราหมณ์จึงนั่งมองดูอย่างสมเพชในการปฏิบัติตนแบบนักสังคมสงเคราะห์ของบรรดาผู้อ้างว่าเป็นชาวพุทธ ที่ละทิ้งความสงเคราะห์ในวิถีพุทธไปอย่างสิ้นเชิง ...น่าสลดใจยิ่ง!!

เจริญพร

ขอบคุณบทความจาก
www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/336799/บุญหรือบาป-พุทธหรือพราหมณ์-พึงพิจารณา-
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

sinsae

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 277
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: บุญหรือบาป...พุทธหรือพราหมณ์ พึงพิจารณา.!!
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2015, 04:30:27 pm »
0
พระพุทธศาสนา จะเป็น ระดับ ศีลธรรม หรือ ปรมัตถธรรม ก็อยู่ กับความต้องการของผู้นับถือ ตัวศาสนา คำสอนอันประกอบด้วย ธรรม และ วินัย สองประการนี้ ก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่ ชนในยุคหลังจากนี้ไป ไม่ใช่ บุคคลที่ปรารถนา จะละ จากภพ จาชาติ เพราะผม ลองถามพ่อแม่ พี่น้อง ผมเองกันอยู่ตอนนี้ เขาบอกว่าอยากเกิดอีก ถ้าเกิด อีก ก็ขอให้มาเป็นพี่น้องกัน ( สำหรับคนที่ชอบ ) ไม่ต้องมาเป็นพี่น้องกันอีกต่อไป ( สำหรับคนที่ไม่ชอบ )

 โอ อนาถ แท้ พระอริยะ ยุคนี้ ท่านคงต้องทำงาน อย่างเหนื่อย มาก ขึ้น
 เพราะเหล่า ชน ปัจจุบัน นั้นไม่เอากับเรื่อง นิพพาน เลย เพียงแต่ ต้องการสร้างบุญ ทานบารมี กันเป็นส่วนใหญ่

  thk56
บันทึกการเข้า