สัมผัสที่ 6
เป็นหัวข้อหนึ่งที่ ดร.โรเบิร์ต แชนนี่ ผู้ก่อตั้งสถาบันแอสตารา ได้บรรยายให้ฟัง
- สัมผัสที่ 6 เป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ในตัวเอง เพียงแต่ใครจะมีมากน้อยกว่ากัน
เท่านั้น ผู้ที่มีมาก มักจะรู้เห็นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้
หากมีการฝึกบ่อยๆ จนเกิดความชำนาญ
- การปลุกสัมผัสที่ 6 ในตัวเองให้ตื่นขึ้นมาทำงานนั้น เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่
ยาก ในอดีตที่ผ่านมา บางคนฝันและมองเห็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นลักษณะ
เทวดาสังหรณ์ หรือได้ตาทิพย์ หูทิพย์ สามารถส่งจิตไปในสถานที่ต่างๆ ได้ แม้กระทั่ง
ภพภูมิอื่น มิติอื่น เป็นต้น- ถ้าสัมผัสที่ 6 ได้รับการพัฒนามากขึ้น มนุษย์จะสามารถสื่อสารกันได้
โดยทาง “โทรจิต” ความริเริ่มต่างๆ ความทรงจำต่างๆ จะดีมากขึ้น สามารถจะ
ติดต่อสื่อสารกับสิ่งที่มีชีวิตในภพภูมิอื่นได้มากขึ้น เข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของ
บรรดาเทพและเทวดามากขึ้น และสามารถเดินทางไกลได้ด้วยจิต
- สัมผัสที่ 6 ซึ่งพัฒนาแล้ว จะทำให้เราสามารถได้ยินสี ได้ยินคลื่นแสง
มองเห็นคลื่นเสียง (หูได้ยินสี และคลื่นแสง ส่วนตามองเห็นคลื่นเสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่
แตกต่างจากสัมผัสปกติทั้ง 5 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน)- สัมผัสที่ 6 หลังจากพัฒนาได้ระดับแล้ว จะมองเห็นเหตุการณ์ในอดีต ปัจจุบัน
และอนาคตได้ จะทำให้เราค้นพบชีวิตในภพภูมิต่างๆ มากมาย สามารถแลกเปลี่ยน
ความรู้สึกจากคน ไปสู่สัตว์เลี้ยง พืช หรือแร่ธาตุต่างๆ ได้
- การใช้สัมผัสที่ 6 ควรให้กายเนื้ออยู่ในสภาพที่นิ่ง และจิตก็ต้องนิ่ง
เพื่อให้สัมผัสที่ 6 ทำงานโดยการใช้พลังจิต (การเพ่งกระแสจิต) ซึ่งทุกคนฝึกฝนได้
- การกำหนดจิตถามแล้ว “รู้” ถูกต้อง แสดงว่า ตัวเราเกิด “ญาณทัศนะ”
แล้ว ซึ่งในเบื้องต้น ญาณทัศนะนี้ อยู่กึ่งกลางระหว่างจิตใจของมนุษย์กับ จิตใจของ
พวกเทพเทวา
- การพัฒนาสัมผัสที่ 6 และญาณทัศนะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น สรุปมี 3
ปัจจัย คือ
1. ความเงียบสงบนิ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก
2. การควบคุมลมหายใจ พยายามหายใจให้ลึกและยาวเสมอ
3. กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้มองเห็น หรือต้องการทำให้รู้และเข้าใจ- สิ่งที่เกิดจากความรู้ภายในสมอง หรือภายในจิตใจของเรา จะมีความสำคัญ
มากกว่า สิ่งที่เราพบเห็นด้วยตาและหูตามปกติของเรา
เราสามารถใช้สัมผัสที่ 6 มาช่วยให้เกิดแรงดลบันดาลใจในเรื่องต่างๆ ได้
นำมาใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้ ในลักษณะเหมือน
ใช้จักระ 6 เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกเนื้อหาที่สำคัญในหนังสือว่า ควรอ่านหน้า
ไหน ช่วยให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ช่วยในการตัดสินใจซื้อสิ่งของต่างๆ
ฯลฯ เป็นต้น
บางครั้งคำพูดที่ออกมาจากปาก 3 คำ ก็มีความหมายต่างกันมาก เช่น คำว่า
“ผมรักคุณ” ซึ่งอาจมีความหมายว่า
- ผมรักทรัพย์สินต่างๆ ของคุณ อยากได้มาเป็นของผมทุกอย่าง
- ผมรักคุณเท่าที่ผมรักคนอื่นๆ ในโลก
- ผมรักคุณและมีความปรารถนาได้ตัวคุณเป็นสมบัติส่วนตัวของผม
- ผมรักคุณเหมือนแม่
- ผมรักคุณเหมือนน้องสาว
- ผมรักคุณ ผมเสียสละสิ่งต่างๆ ของผมให้คุณได้ ฯลฯ- ญาณหยั่งรู้ มีลักษณะเหมือนเด็ก เมื่อเกิดญาณหยั่งรู้แล้ว เราควรทำ
ตามที่ที่เราหยั่งรู้ ก็จะทำให้เกิดญาณหยั่งรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราปฏิเสธสิ่งที่เราหยั่ง
รู้ ก็จะเป็นการปิดกั้นญาณหยั่งรู้ของเรา อย่างน่าเสียหายยิ่ง สรุป
1. เราต้องเปิดใจ และยอมรับในญาณหยั่งรู้ของเราเอง
2. เราต้องการญาณหยั่งรู้ให้เกิดขึ้นเมื่อไร สามารถที่จะกำหนดได้
3. ควรกำหนดให้เกิดการหยั่งรู้ให้ได้ในตัวของเรา- การฝึกให้เกิดญาณหยั่งรู้ง่ายๆ เช่น เมื่อมีโทรศัพท์ดังขึ้น ให้ตั้งจิตให้
สงบ และให้คิดว่าใครโทรมา ผู้ที่โทรมาเขาต้องการอะไร เขามีความสุข หรือมี
ความทุกข์ แรกๆ อาจคิดไม่ออก แต่ทำบ่อยๆ ก็จะคิดออก และถูกต้อง ซึ่งทำ
บ่อยๆ ก็จะทำให้ขีดความสามารถของเรารู้วาระจิตของผู้อื่นได้ง่ายมากขึ้น
หรือ อาจฝึกกับจดหมายที่เราได้รับแต่ละฉบับ นำจดหมายมาวางบนฝ่ามือ
แล้วประกบมือ ให้คิดว่าเป็นจดหมายของใคร เขาเขียนมาต้องการอะไร
- ให้คิดเพียงครั้งเดียว ไม่ต้องคิดซ้ำ ให้ความเงียบบอกแก่เราเอง
- อย่าลืมฝึกหายใจเข้า-ออก ยาวๆ ลึกๆ ให้ลมหายใจอัดลงไปถึงท้องน้อย
- สร้างมโนภาพ หรือนิมิตให้เกิดขึ้น เช่น ส่งกุหลาบไปให้คนที่เราต้องการส่งต้องนิ่งเงียบ นึกถึงดอกกุหลาบ แล้วส่งภาพดอกกุหลาบไปให้คนที่เราต้องการให้ไปถึง ซึ่ง
อาจเกิดผลสำเร็จได้ไม่ยาก หากทดลองทำบ่อยๆ
- จะทำอะไรก็ตาม ไม่ต้องกลัวที่จะขอร้องให้คนอื่นช่วยเหลือ หากเรามีสัมผัส
ที่ 6 หรือญาณหยั่งรู้แล้ว เราจะได้รับพลังต่างๆ เข้ามาในร่างกายของเรามากขึ้น
สุขภาพของเราจะแข็งแรงและกระตุ้นให้จักระทำงาน ทำการรักษาโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น
- ข้ออ้างที่ว่า เราทำไม่ได้ เพราะครอบครัวไม่สนับสนุน เจ้านายไม่ให้ทำ ตัวเอง
ไม่มีความพร้อมเพราะจิตไม่สงบ ควรตัดสิ่งเหล่านี้ออกไป ถ้าตัวเราจะทำจริงๆ ย่อมมี
เวลาและมีโอกาสทำได้ แต่อยู่ที่จิตใจของเราเองว่า เราต้องการได้ญาณหยั่งรู้
หรือไม่เท่านั้น
- ในช่วงเวลาใดที่เราต้องการพลังในร่างกายของเรา จะเป็นเวลาใดก็ตาม
ตัวเราสามารถบอกร่างกายของเราได้ เช่น ดร.แชนนี่ ซึ่งมีอายุ 95 ปีต้องบรรยายเวลา
13.00 – 17.00 น. ได้สั่งร่างกายให้มีความพร้อมในการบรรยาย
โดยการตั้งใจจริงด้วยอารมณ์ที่ต้องการให้เกิดความกระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง เมื่อเราพูดซ้ำๆ ในสิ่งที่เราปรารถนา เราก็จะได้สิ่งที่ต้องการนั้นได้ (คล้ายกับการสะกดจิตตัวเอง เป็นการพร่ำบอกตัวเองบ่อยๆ ก็จะเกิดผลตามการบอกบ่อยๆ เหมือนกับการสั่งจิตใต้สำนึก
แบบหนึ่ง)
ที่มา
Website www.mongkoldham.com
http://www.watnai.org/forum1/index.php?topic=625.0