วัดหน้าพระลาน
วัดหน้าพระลาน ตั้งอยู่เลขที่ ๑๔๘ บ้านหน้าพระลาน หมู่ที่ ๑ ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน ๘๐ ตารางวา โฉนดเลขที่ ๗๒๓๙ อาณาเขต ทิศเหนือยาว ๑๒๑ ยาว ติดต่อกับตลาดสุขาภิบาลหน้าพระลาน และทิศใต้ยาว ๔๖ วา ติดต่อกับตลาดหน้าพระลาน ทิศตะวันออกยาว ๕๐ วา ติดต่อกับถนนพหลโยธิน สายลพบุรี – กรุงเทพ ทิศตะวันตกยาว ๔๖ วา ติดต่อกับบ้านเรือนของประชาชน
กุฎีสงฆ์ จำนวน ๑๓ หลัง เป็นอาคารไม้ตึก และครึ่งตึกครึ่งไม้ นอกจากนี้มีฌาปนสถาน และศาลาปรกด้วย สำหรับปูชนียวัตถุมีพระประธานในอุโบสถ ขนาดพระเพลากว้าง ๓ ศอก ๙ นิ้ว ที่วิหารมีหลวงพ่อ ศิลาแล นอกจากนี้มีอีกหลายองค์
วัดหน้าพระลาน สร้างขึ้นเป็นวัดนับตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ โดยมีนายสุวรรณ ฉ่ำใจหาญ เป็นผู้ดำเนินการสร้างวัด เริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาวันที่ ๑๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๘ เขตวิสุงคามสีมากว้าง ๘ เมตร ยาว ๒๕ เมตร ได้ผูกพัทธสีมา วันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๓ ทางวัดมีการสอนปริยัติธรรม ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๒ เป็นต้นมา
สมเด็จพระพุทธองค์ดำ
ถ้าหากท่านเคยไปที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ นาลันทา เมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย นอกจากท่านจะเห็นซากปรักหักพังของมหาวิทยาลัยสงฆ์แล้ว ท่านยังจะได้เห็นพระพุทธรุปองค์หนึ่ง ซึ่งอยู่นอกเขตรั้วของมหาวิทยาลัยสงฆ์ทางด้านทิศตะวันตก ภายใต้ เพิงหลังคาและฝากั้นพอคุ้มแดดกันฝนได้ อยู่อย่างโดดเดี่ยวแทบจะไม่มีใครเหลียวแล เพราะอยู่ท่ามกลางชนศาสนาอื่น เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินสีดำ หน้าตักกว้าง 60 นิ้ว พระเกตุทรงบัวตูม ปางสมาธิ องคุลีของพระหัตถ์ขวาทั้งหมดชี้ลงธรณี แม้บางคงคุลีและพระนาสิกจะหักบิ่นไป แต่ก็ยังทรงความงดงามอยู่มิได้จืดจาง
จากบันทึกของปิลาชิง ทำให้เราได้ทราบว่า พระพุทธรูปพระพุทธองค์ดำ นี้ สร้างเมื่อสมัยพระเจ้าเทวปาล คือ ระหว่าง พ.ศ.1353-1393 และเมื่อปี พ.ศ.1766 นั้น คนศาสนาหนึ่งเผยแผ่ศาสนาโดยใช้กำลังอาวุธ ใครไม่นับถือศาสนาของตนจะต้องโดนทำร้าย จะต้องถูกทำร้าย โดยเฉพาะผุ้ที่นับถือศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญ จะต้องถูกทำลายไม่ว่าจะเป็นคนหรือสมบัติทางศาสนา จนกระทั่งยึดครองดิน แดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือทั้งหมดนั้น ซึ่งมี อิคเทียร์ซิลจิ เป็นหัวหน้าพาสมัครพรรคพวกถืออาวุธเข้าห้ำหั่น ชาวพุทธ ทุบทำลายเผา ตำรับ ตำรา สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา แม้กระทั่งมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ที่เมือง ราชคฤห์ ก็ต้องตกเป็นเป้าหมายของการทำลายโดย มิได้ละเว้น พระพุทธรูปก็ถูกทุบทำลายไม่ให้เหลือ เป็นการเผยแผ่ศาสนาของตนด้วยการทำลายศาสนาอื่น ใช้อำนาจ อาวุธ และกำลังคนที่เหนือกว่าเป็นการบังคับให้คนอื่นศรัทธาในศาสนาตน เมื่อได้ทำลายจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็ยกกองทัพกลับไป เหลือไว้แต่ซากปรักหักพังของมหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาและเศษศาสนวัตถุอื่น ๆ เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก
จากการบันทึกของท่าน ตารนาท ธรรมสวามิน ปราชญ์ เขียนเอาไว้ว่า พอกองทัพศาสนานั้นยกกลับไปแล้ว พระนักศึกษาและพระอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ซึ่งเหลืออยู่ประมาณเจ็ดสิบรูป ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน ทำการสำรวจข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่รวบรวมเท่าที่จะหาได้ ปฏิสังขรณ์ตัดทอนกันเข้า ก็พอได้ใช้สอยกันต่อมา และท่านมุทิตาภัทร รัฐมนตรีของกษัตริย์ในสมัยนั้นได้จัดทุนทรัพย์ในทศวรรษหนึ่งส่งไปจากมคธ เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่นาลันทาขึ้นมาใหม่ แต่ก็ทำได้บางส่วนเท่านั้น ก็ยังดีที่ยังคงดำรงเป็นวัดอยู่ต่อมา
จนกระทั่ง เมื่อชาวอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย ได้มีนักโบราณคดี ชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อท่าน เซอร์คัมนิ่งแฮม ได้อ่านบันทึกของพระถังซำจั๋ง ซึ่งเป็นพระจีนที่เคยเดินทางจากประเทศจีนไปศึกษาพระพุทธ ศาสนา ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทาถึงสิบสี่ปี ได้บันทึกเหตุการณ์และสถานที่สำคัญต่าง ๆ เอาไว้อย่างละเอียด ซึ่งเมื่อ เซอร์คัมมิ่งแฮม ได้อ่านดูแล้ว ก็ให้เกิดความอยากเห็นข้อเท็จจริงตามนิสัยของนักโบราณคดี จึงได้มอบหมายให้ เอ เอ็ม พรอดเล่ย์ และดอกเตอร์สปูนเนอร์ สองสหายไปทำการขุดค้นหาปูชนียวัตถุตามบันทึกนั้น ก็ปรากฏว่าได้พระพุทธ รูปมากมายหลายองค์ ส่วนมากจะเสียหายหักบิ่นจากการถูกทำลายของ มาร ดังกล่าว จึงส่งเข้าไปรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ
ส่วนพระพุทธรูป สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ดำนั้น ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกส่งไปอังกฤษด้วย และเป็นพระพุทธรูป องค์เดียวที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุด จะมีหักบิ่นนิดหน่อยเฉพาะที่พระนาสิก และพระองคุลีข้างขวาเท่านั้น สรุปแล้วก็คือ เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือรอดจากการถูกทำลายของมาร และไม่ถูกอังกฤษยึดไป นับเป็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งนัก จึงทำให้ประชาชนผู้ทราบข่าวต่างมากราบไหว้บูชา ขอบารมีช่วยคุ้มครองดลบันดาลให้ประสพโชคดีตามที่ปรารถนาจำนง
บางคนก็นับถือศรัทธาว่าท่านศักดิ์สิทธิ์ เวลาลูกไม่สบายก็พากันเอาน้ำมันเนยมาทาที่องค์พระท่านก่อน แล้วลูบเอาน้ำมันเนยนั้นกลับมาทาตัวลูกอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ลูกหายเจ็บป่วย หายงอแง กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ จนหลายคนขนานนามท่านว่า หลวงพ่อน้ำมัน หรือภาษาอินเดียว่า เตลิยะบาบา และบางคนก็ขนานนามท่านว่า หลวงพ่ออ้วน หรือภาษาอินเดียว่าโมต้าบาบา
ใกล้ ๆ กันนั้นมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่งหรือภาษาอินเดียว่า โมต้าบาบา และเอาน้ำในบ่ออาบกายตน ทำให้โชคดีมีสุข และเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของพระพุทธรูป สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ดำ องค์นี้ ก็เลยพากันมาบนและแก้บน โดยเอาน้ำมันเนยมาทาลูบไล้ และดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา เอาข้าวสารมาไหว้ถวาย ซึ่งถือว่าเป็นการเคารพและศรัทธา จนขณะนี้ ข่าวความศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายออกไปทั่ว แม้กระทั่งคนไทยในเมืองไทย ว่าถ้าไปอินเดียต้องไม่เว้นที่จะไปแวะกราบไหว้นมัสการท่าน ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา เมืองราชคฤห์นี้ ส่วนผู้ที่ไม่มีโอกาสได้ไป ก็กระหายที่จะกราบไหว้บูชาท่านเพียงแต่ขอบารมีแห่งความศักดิ์สิทธิ์อยู่ใกล้ ๆ
ครั้งหนึ่ง พระครูสิริภัทรกิจ เจ้าคณะอำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรีได้เดินทางไปประเทศอินเดียและได้ไปนมัสการพระพุทธรูป สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ดำ ได้เห็นพระพุทธลักษณะอันงดงาม ถูกต้องตาม
พระมหาปุริสลักษณอสีตยานุพยัญชนะทุกประการ ช่างเป็นที่น่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก พร้อมทั้งได้ทราบถึงความศรัทธาของประชาชนทั่วทุกสารทิศที่มีต่อท่าน จึงคิดว่าน่าจะจำลองแบบมาหล่อที่เมืองไทย และสวดพุทธาภิเษก โดยพระเถรานุเถระจำนวนมาก แล้วส่งกระจายไปประดิษฐานตามวัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วประเทศไทย ให้คนได้กราบไหว้บูชา โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงประเทศอินเดีย ก็คงจะให้ผลเหมือนไปกราบท่านถึงที่นาลันทา เพราะจิตใจเรามุ่งมั่นจดจ่อศรัทาต่อพระองค์ท่านอยู่แล้ว ดังนั้น
จึงได้ทำการหล่อจำลองทั้งลักษณะและขนาดเหมือนองค์จริงทุกประการ ทั้งยังได้รับพระราชทาน
ตราพระราชสัญจกรณ์ หาสิบปีกาญจนาภิเษก สถิตไว้ที่ผ้าทิพย์กึ่งกลางฐาน จำนวน 999 องค์ และยังหล่อขนาดรอง ๆ ลงมาอีก ซึ่งขณะนี้ได้นำไปประดิษฐานตามที่ต่าง ๆ แล้วจำนวนหลายร้อยองค์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา, เยอรมันนี, อินโดนีเซีย, บังคลาเทศ, มาเลเซีย, เนปาล, ธิเบต, อินเดีย, เขมร, สาธารัฐประชาธิปไตประชาชนลาว, สหภาพเมียนม่าร์, สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน และ ประเทศศรีลังกายังความเลื่อมใสศรัทธาให้แก่พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก ที่หลั่งไหลไปแจ้งความจำนงขอเป็นเจ้าภาพร่วมสร้าง พระพุทธรูปพระพุทธองค์เจ้าดำ