พิมพ์

[raponsan]

ถวายอภิสัมมานสักการะส่งเสด็จครั้งสุดท้าย
สมเด็จพระญาณสังวรฯ "พระป่าในเมือง" : "สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19"

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (เจริญ สุวฑฺฒโน)
สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และประมุขแห่งคณะสงฆ์ไทย

พระองค์สิ้นพระชนม์ลงอย่างสงบ เมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 24 ต.ค.2556 ณ ตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร รพ.จุฬาลงกรณ์ และคณะศิษยานุศิษย์ ได้ร่วมกันเชิญพระศพกลับมายังตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค.2556 เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าสักการะพระศพ

พร้อมกันนี้ พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมถวายพระศพ 7 วัน และทรงพระกรุณาโปรดบำเพ็ญพระราชกุศลสัตตมวาร ปัญญาสมวาร และสตมวาร ถวายพระศพตามลำดับ

กระทั่งวันที่ 18 ก.ค.2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในวันที่ 15–17 ธ.ค. ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร ต่อมาวันที่ 4 พ.ย.2558 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ งานบำเพ็ญพระราชกุศลพระอัฐิ วันที่ 19–20 ธ.ค. ที่วัดบวรฯ

 

“ทีมข่าวศาสนา” ขอฉายภาพหมายกำหนดการพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ โดยเริ่มตั้งแต่การอัญเชิญพระโกศพระศพจากวัดบวรฯ มายังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส การจัดริ้วขบวนพระอิสริยยศ เส้นทางการเคลื่อนขบวน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนซึ่งมีความมุ่งมั่นจะร่วมส่งเสด็จสามารถวางแผนได้ว่าในวันสำคัญยิ่งครั้งนี้จะไปร่วมส่งเสด็จเป็นครั้งสุดท้ายได้ที่จุดใดได้บ้าง

การพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพครั้งนี้ แบ่งกำหนดการออกดังนี้ วันที่ 15 ธ.ค.2558 พิธีบำเพ็ญกุศลที่วัดบวรฯ วันที่ 16 ธ.ค.2558 เชิญพระโกศพระศพจากวัดบวรฯไปยังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส จากนั้นจะมีพิธีพระ ราชทานเพลิงพระศพในช่วงเย็น วันที่ 17 ธ.ค.2558 ช่วงเช้ามีพิธีเก็บพระอัฐิที่พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส และเชิญพระอัฐิมาประดิษฐานยังตำหนักเพ็ชร วัดบวรฯ โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะพระอัฐิวันที่ 18 ธ.ค. 2558 ด้วย

สำหรับการอัญเชิญพระโกศพระศพจากวัดบวรฯ มายังพระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส วันที่ 16 ธ.ค.2558 นั้น จะมีการจัดริ้วขบวนพระอิสริยยศอย่างสมพระเกียรติ โดย ริ้วขบวนที่ 1 ประกอบด้วยขบวนทหารนำวงโยธวาทิต นำริ้วธงสามชาย ประตูหน้า-หลัง คู่แห่ กลองชนะ แตรฝรั่ง แตรงอน เครื่องสูง รถพระอ่านพระอภิธรรม ราชรถเชิญพระโกศพระศพ และเครื่องยศ

ริ้วขบวนพระอิสริยยศจะใช้เส้นทางการเคลื่อนขบวนเส้นทางเดียวกับงานพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2503 โดยใช้เส้นทางจากวัดบวรฯไปตามถนนพระสุเมรุ มุ่งหน้าข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ไปตามถนนหลวง เลี้ยวขวาเข้าถนนกรุงเกษม เลี้ยวขวาถนนหลวง จากนั้นเข้าสู่พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อเข้าถึงพระเมรุแล้ว จะปรับริ้วขบวนเป็นริ้วขบวนที่ 2 ประกอบด้วย นำริ้ว เสลี่ยงพระนำ ราชรถเชิญพระโกศพระศพ เครื่องยศ และกลุ่มพระราชาคณะ วนรอบพระเมรุ 3 รอบ ก่อนจะอัญเชิญพระโกศขึ้นยังพระเมรุ เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงพระศพต่อไป

การเคลื่อนริ้วขบวนพระอิสริยยศพระศพสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วันที่ 16 ธ.ค.นี้ ยังถือเป็นโอกาสสำคัญครั้งสุดท้ายที่พุทธศาสนิกชนจะได้ร่วมส่งเสด็จพระองค์อย่างใกล้ชิด ด้วยการตั้งโต๊ะหมู่บูชาพร้อมอัญเชิญพระรูปของพระองค์ประดิษฐานบนโต๊ะหมู่บูชา ตลอดเส้นทางในการเคลื่อนริ้วขบวนพระอิสริยยศ ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 08.00–10.00 น.

 

และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับพุทธศาสนิกชนที่ต้องการจะเดินทางมาร่วมวางดอกไม้จันทน์ ในวันที่ 16 ธ.ค. ได้มีการจัด จุดวางดอกไม้ จันทน์หลัก ไว้ 2 จุดคือ 1.สนามหญ้าข้างพระอุโบสถ วัดเทพศิรินทราวาส และ 2.วัดบวรฯ ซึ่งจะเปิดให้วางดอกไม้จันทน์ 2 ช่วงเวลาคือ เวลา 12.30-15.00 น. และเวลา 18.00-19.00 น. ส่วนพุทธศาสนิกชนที่ไม่สะดวกเดินทางมาในเวลาดังกล่าว รัฐบาลก็ให้จัดจุดวางดอกไม้จันทน์ในทุกอำเภอ และทุกเขตในกรุงเทพฯด้วย

นอกจากนี้ ทางรัฐบาล มหาเถรสมาคม วัดบวรฯ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก และมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ยังได้จัดทำหนังสือระลึกถึงองค์พระประมุขสงฆ์ของไทย เพื่อแจกให้กับผู้ที่จะเข้าร่วมงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ รวมจำนวน 20 รายการ

ขณะเดียวกัน วัดบวรฯ ยังร่วมกับกองกษาปณ์ จัดสร้างสิ่งมงคลสักการะ เหรียญพระรูปเหมือนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เพื่อระลึกถึงพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย โดยรายได้ทั้งหมดจะนำไปบูรณะอาคารศาสนสถานที่ได้รับประทานพระสังฆราชูปถัมภ์ โดยสามารถติดต่อเช่าบูชาได้ที่วัดบวรฯ

ตลอดระยะเวลา 86 ปี ที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ดำรงอยู่ในเพศพรหมจรรย์ พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญทางคณะสงฆ์ ตั้งแต่ เจ้าอาวาสวัดบวรฯ 52 ปี กรรมการมหาเถรสมาคม 50 ปี เจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต 25 ปี และตำแหน่ง สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 24 ปี มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

 

โดยตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ทรงสร้างคุณูปการต่อพระพุทธศาสนา และประเทศชาติอย่างมากมาย ทั้งยังเป็นแบบอย่างในการมีพระจริยาวัตรที่งดงาม การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย จนเป็นที่กล่าวขานกันว่า พระองค์ทรงเป็น “พระป่าในเมือง” และไม่ว่าจะทรงทำเรื่องใด จะทรงนึกถึงประชาชนเสมอ โดยทรงมีพระดำริกับคนใกล้ชิดอยู่เสมอว่า “เรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์กับคนทั่วไป ก็ไม่ต้องพูด”

แม้วันที่ 16 ธ.ค. จะเป็นวันสุดท้ายที่พุทธ-ศาสนิกชนจะได้ร่วมส่งเสด็จพระองค์ แต่ “ทีมข่าวศาสนา” เชื่อมั่นเหลือเกินว่า นอกเหนือจากการระลึกถึงคุณงามความดี และคุณูปการด้านต่างๆของพระองค์ท่าน อีกสิ่งสำคัญซึ่งจะตราตรึงอยู่ในจิตใจของพุทธศาสนิกชนทุกคนตลอดไป เพื่อให้ทุกคนสามารถพบกับความสุขที่ยั่งยืนถาวร นั่นคือ หลักธรรม และคำสอนต่างๆของพระองค์

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก “พระของประชาชน”.

ทีมข่าวศาสนา

ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/content/548850

[PRAMOTE(aaaa)]

     สาธุ สาธุ