พิมพ์

[raponsan]

กตัญญู...บารมี

หนึ่งในหลายบารมีที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงบำเพ็ญได้ครบถ้วนบริบูรณ์จนเป็นที่กล่าวขาน...คือความกตัญญู (บวรธรรมบพิตร พระประวัติสมเด็จพระญาณสังวรฯ พิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศล ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพฯ ณ พระเมรุ วัดเทพศิรินทราวาส 16 ธ.ค.2558)

ประการแรกที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ แสดงให้ปรากฏคือความกตัญญูต่อพระครูอดุลยสมณกิจ หรือหลวงพ่อดี วัดเทวสังฆาราม (วัดเหนือ) พระอาจารย์สอนธรรมคนแรก ที่มุ่งมั่นให้สามเณรเจริญได้เล่าเรียนบาลี...จนสำเร็จเปรียญธรรม 9 ประโยค ทรงถือเป็นผู้มีพระคุณถวายความเคารพนับถือ และทรงอุปัฏฐากดูแล จนกระทั่งหลวงพ่อดีมรณภาพเมื่อปี 2510

พ.ศ.2515 เมื่อทรงได้รับพระราชทานสถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ที่สมเด็จพระญาณสังวรฯ...นับเป็นสมเด็จพระญาณสังวรฯ พระองค์ที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงปรารภว่า

   “ถ้าไม่มีสมเด็จญาณสังวรฯ (สุก ไก่เถื่อน) รูปที่ 1 ก็คงไม่มีสมเด็จญาณสังวรฯรูปที่ 2”
    เสด็จไปถวายสักการะพระรูปและพระอัฐิสมเด็จญาณสังวรฯที่วัดราชสิทธาราม และที่วัดมหาธาตุ ตลอดทุกปี



ผู้มีพระคุณที่เป็นทั้งพระอุปัชฌาย์ เป็นพระอาจารย์กรรมฐาน มอบงานสำคัญ เป็นเลขานุการในพระองค์ เป็นพระอภิบาล พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เมื่อเสด็จออกทรงผนวช พ.ศ.2499 คือ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์

พ.ศ.2516 ทรงสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ อาคารเรียนโรงเรียนวัดบวรฯ พ.ศ.2525 ก็ทรงสร้างตึกวชิรญาณวงศ์ ตึกสงฆ์อาพาธ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ ถวายเป็นพระอนุสรณ์

พ.ศ.2526 ทรงถือสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นพระอาจารย์กรรมฐาน (ทางตำรา) ทรงสร้างตึกวชิรญาณสามัคคีพยาบาร แทนหลังเดิมที่ทรุดโทรม

พ.ศ.2529 ทรงรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นประธานในการสร้างตึก ภปร. ณ โรงพยาบาลจุฬาฯ ถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ

แต่ความกตัญญูที่ไม่ได้ปรากฏมีอาคารเป็นวัตถุพยาน...แต่แอบซุบซิบเล่าขานกันมานาน คือความกตัญญูต่อพระชนนีกิมน้อย คชวัตร (โยมมารดา)

เล่ากันว่าตอนเป็นเด็กเป็นสามเณรนั้น เจ้าพระคุณสมเด็จฯ อยู่ในการเลี้ยงดูของโยมป้าเฮ้ง...ไม่ค่อยใกล้ชิดกับโยมมารดากิมน้อยเท่าใดนัก แต่ความจริงตรงกันข้าม

 

ราว พ.ศ.2480 เจ้าพระคุณสมเด็จฯยังเป็นพระมหาเปรียญ 7 ทรงดำริที่จะลาสิกขาทำหนังสือขอลาฯและได้รับพระราชทานพระบรม–ราชานุญาตแล้ว พระชนนีอยู่กาญจนบุรีทราบข่าวก็ร้อนใจ รีบมาหาพระลูกชายถึงกุฏิ พูดจาไม่กี่คำพระชนนีก็กลับ...
     พระมหาเจริญทำหนังสือขอแจ้งยกเลิกการลาสิกขาด้วยเหตุผล
     “มีความจำเป็นอย่างที่สุด ที่จะลาสิกขาไม่ได้”

เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เจริญก้าวหน้าในพุทธศาสนาจนเมื่อพระชนนีชรา ครั้งที่ยังทรงเป็นพระโศภณคณาภรณ์ ก็ขออนุญาตปลูกเรือนหลังเล็กๆ ข้างตำหนักคอยท่าปราโมช...ให้พระชนนีพำนัก ทรงอุปัฏฐากดูแลใกล้ชิด จนพระชนนีถึงแก่กรรม เมื่ออายุ 79 ปี

 

ยังเล่าลือกัน พระชนนีมาพูดอะไรกับพระมหาลูกชาย...คำพูดที่เป็นความลับนี้ ไม่เป็นความลับต่อไปแล้ว เพราะหาอ่านได้ในหนังสือ บวรธรรมบพิตร

    “คุณมหาจะสึกหรือ! ถ้าคุณมหาสึก อิฉันจะผูกคอตาย”
    หากพระชนนีไม่พูดประโยคนี้ คงไม่มีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ประมุขสูงสุดแห่งคณะสงฆ์ไทย และคงไม่มีตำแหน่งพระประมุขสูงสุดแห่งพุทธศาสนาโลก ผู้นำชาวพุทธ 32 ประเทศ ตกลงร่วมกันมีฉันทานุมัติ เมื่อ 8 พ.ย.2555.

    กิเลน ประลองเชิง

ขอบคุณภาพและบทความจาก
https://www.thairath.co.th/content/548408
http://sangharaja.org/ , http://www.madchima.net/

[PRAMOTE(aaaa)]

        ขออนุโมทนาสาธุ