ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อีก 30 ปีเศษ คนครึ่งโลกจะ ”สายตาสั้น”  (อ่าน 1040 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29346
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อีก 30 ปีเศษ คนครึ่งโลกจะ ”สายตาสั้น”
« เมื่อ: มีนาคม 03, 2016, 09:05:07 pm »
0


อีก 30 ปีเศษ คนครึ่งโลกจะ ”สายตาสั้น”

ทีมแพทย์นานาชาติใช้วิธีการตรวจสอบและวิเคราะห์ผลการศึกษาวิจัย 145 ชิ้นจากหลายประเทศ ครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างมากถึง 2.1 ล้าน จากนั้นนำผลวิเคราะห์ที่ได้มาประเมินและคาดการณ์ถึงอนาคต ทำให้สามารถระบุได้ว่า ในปี 2050 หรืออีก 34 ปีข้างหน้า ประชากรราวครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรทั้งหมด หรือคิดเป็นจำนวนได้เกือบ 5,000 ล้านคนจะมีภาวะสายตาสั้น หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า โรคไมโอเปีย โดยที่ 1 ใน 5 ของจำนวนดังกล่าวจะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะตาบอด

รายงานดังกล่าวซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่ผ่านวารสารวิชาการจักษุวิทยาประจำเดือนกุมภาพันธ์นี้ เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า ระหว่างทศวรรษ 1970 จนถึงต้นทศวรรษ 2000 จำนวนของผู้มีภาวะสายตาสั้นในสหรัฐอเมริกาและบางส่วนของเอเชียเพิ่มจำนวนขึ้นเกือบ 2 เท่าตัว โดยเฉพาะในหลายประเทศในเอเชียมีปริมาณผู้มีภาวะสายตาสั้นเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ ตัวอย่างเช่น ในผลการสำรวจชิ้นหนึ่งพบว่า วัยรุ่นในเกาหลีใต้มีภาวะสายตาสั้นมากถึง 96 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ในสิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น สัดส่วนของวัยรุ่นที่มีภาวะสายตาสั้นอยู่ที่ระหว่าง 80-90 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน

 :96: :96: :96: :96:

ผลการศึกษาชิ้นใหม่ระบุว่า ในปี 2000 ประชากรบนโลกราว 1,406 ล้านคนจะมีอาการของโรคไมโอเปีย คิดเป็น 22.9 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโลก โดยที่ 163 ล้านคนมีอาการหนักหรือ “ไฮ-ไมโอเปีย” ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นต้อหรือตาบอดได้ในที่สุด

“เราคาดการณ์ไว้ว่า ภายในปี 2050 จะมีประชากรโลกราว 4,758 ล้านคนมีอาการภาวะสายตาสั้น หรือคิดเป็น 49.8 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดบนโลก และมีผู้ที่มีภาวะ ไฮ-ไมโอเปีย มากถึง 938 ล้านคน” รายงานดังกล่าวสรุปไว้

ทีมวิจัยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ปัญหาภาวะสายตาสั้นหรือไมโอเปียเพิ่งจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นจึงน่าจะเชื่อมโยงกับรูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงสองสามทศรรษหลัง โดยในรายงานทีมวิจัยระบุเอาไว้ว่า เหตุผลที่ทำให้เกิดภาวะสายตาสั้นระบาดไปทั่วโลกนั้น “มาจากปัจจัยแวดล้อม (ภาวะการเลี้ยงดู), การเปลี่ยนแปลงหลักๆ ในรูปแบบการใช้ชีวิต อันส่งผลโดยรวมทำให้มนุษย์มีกิจกรรมกลางแจ้งน้อยลง และเพิ่มการทำงานภายในอาคารแบบใกล้ๆ ตัวมากขึ้น” เป็นปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดดังกล่าวนอกเหนือจากปัจจัยอื่นๆ

 :41: :41: :41: :41:

อย่างไรก็ตาม ทีมวิจัยก็ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า กลไกอะไรภายในร่างกายที่ทำให้เกิดสภาวะเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นปัญหาดังกล่าว แต่ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า การใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนไม่ได้ทำให้สายตาสั้นมากขึ้น เนื่องจากภาวะสายตาสั้นเพิ่มขึ้นมากก่อนหน้าที่จะมีสมาร์ทโฟนเกิดขึ้นด้วยซ้ำไป แต่ข้อที่น่าสังเกตก็คือช่วงเวลาที่มีการเพิ่มของภาวะสายตาสั้นสูงสุด เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ใช้เวลาอยู่ภายนอกอาคารหรือกลางแจ้งน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

นายแพทย์โควิน ไนดู หนึ่งในทีมวิจัยระบุว่า มีการศึกษาวิจัยถึงทางป้องกันภาวะสายตาสั้นหลายๆ อย่างด้วยกัน แต่ที่ประสบผลมากที่สุดก็คือการให้เด็กๆ ออกไปใช้เวลาอยู่กลางแจ้งวันละ 2 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้น เป็นการป้องกันภาวะสายตาสั้นได้ดี

“เราสามารถใช้เวลาอ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนนานๆ ได้ โดยที่ใช้เวลาสัก 2 ชั่วโมงต่อวันกลางแจ้งก็ยังคงเป็นการป้องกันภาวะสายตาสั้นได้” นายแพทย์ผู้นี้สรุป


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.matichon.co.th/news/56647
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ