มหาวิหารแก้ว 100 เมตร วัดท่าซุง กับความงดงามระยิบระยับที่หลายๆคนยกเปรียบให้เป็นดังสรวงสวรรค์
“อุทัยธานี”บนวิถีสโลว์ไลฟ์ เติมสุขกาย-ใจ...ล่องสะแกกรัง ท่องสวรรค์วัดท่าซุง
“เมืองพระชนกจักรี ปลาแรดรสดี ประเพณีเทโว ส้มโอบ้านน้ำตก มรดกโลกห้วยขาแข้ง แหล่งต้นน้ำสะแกกรัง ตลาดนัดดังโคกระบือ”
นี่คือคำขวัญของจังหวัด“อุทัยธานี” เมืองที่มีความเงียบสงบผู้คนดำรงวิถีเรียบง่ายแต่งดงาม และมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจอันหลากหลาย ทั้งมรดกโลก ธรรมชาติ ป่าไม้ ขุนเขาสายน้ำ ศิลปวัฒนธรรม วัดวาอาราม วิถีชีวิตอันทรงเสน่ห์ รวมถึงมีอาหารท้องถิ่นอร่อยเด็ดราคาย่อมเยาให้เลือกลองลิ้มชิมรสกันเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้อุทัยธานียังได้ชื่อว่าเป็นเมืองจักรยาน โดยมีสโลแกนประจำจังหวัดว่า “อุทัยเมืองน่าใช้จักรยาน” เนื่องจากเป็นเมืองที่มีการจราจรไม่พลุกพล่าน ภายในจังหวัดมีการส่งเสริมการปั่นจักรยานกันอย่างจริงจัง พร้อมทั้งมีเส้นทางจักรยานน่าสนใจในหลากหลายเส้นทางให้เลือกปั่นกันอุทัยเมืองน่าใช้จักรยาน(ภาพ : กิจกรรมการปั่นจักรยานที่เกาะเทโพ)
องค์ประกอบเหล่านี้ หนุนส่งให้จังหวัดอุทัยธานีเป็นอีกหนึ่งเมืองน่าเที่ยว ในรูปแบบ Slow Life & Slow Travel สัมผัสกับวิถีไทยอันเก๋ไก๋ไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยว“กลุ่มผู้หญิง” ที่เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพและมาแรงแห่งยุค
ด้วยเหตุนี้ทาง“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ภูมิภาค ภาคเหนือ และ ททท.สำนักงานอุทัยธานี” จึงได้จัดทริป “เติมสุขกาย & ใจ Slow Life อุทัยธานี”ขึ้น เพื่อเชิญชวนเหล่านักท่องเที่ยวสุภาพสตรีและกลุ่มบุคคลอื่นๆทั่วไป ให้มาสัมผัสกับเสน่ห์แห่งอุทัยธานีที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง อันน่าประทับใจและชวนค้นหาเป็นอย่างยิ่ง วัดท่าซุงมหาวิหารแก้ว 100 เมตร วัดท่าซุง ภายในประดับด้วยกระจกและโมเสคแก้วใสแวววับ
หลังใช้เวลาไม่นานเดินทางจากกรุงเทพฯมาถึงยังอุทัยธานี เราเปิดประเดิมทริปด้วยการไปไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันที่ “วัดท่าซุง”(ต.น้ำซึม อ.เมือง) ที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความงดงาม
วัดท่าซุง หรือ วัดจันทาราม เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เคยถูกปล่อยทิ้งรกร้างไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง กระทั่งในปี พ.ศ. 2332 หลวงพ่อใหญ่ได้เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์วัดขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นวัดท่าซุงก็ได้รับการบูรณะก่อสร้างสิ่งต่างๆขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสมัย“พระราชพรหมยาน”(วีระ ถาวโร) (พ.ศ. 2460-2535)หรือที่รู้จักกันดีในนาม“หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” ได้มีการพัฒนาวัดจนเจริญรุ่งเรืองมีการก่อสร้างอาคารสิ่งต่างๆมากมายบรรยากาศภายนอกของมหาวิหารแก้ว 100 เมตร
ปัจจุบันวัดท่าซุงถือเป็นหนึ่งในสถานที่ปฏิบัติธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในอันดับต้นๆของจังหวัดอุทัยธานี แต่ละวันมีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาทำบุญ ไหว้พระ และเที่ยวชมความงามของวัดแห่งนี้กันไม่ได้ขาด โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดจะมีคนมากันอย่างเนืองแน่น
สำหรับจุดที่เป็นไฮไลท์สำคัญของวัดท่าซุงก็คือ “มหาวิหารแก้ว 100 เมตร” วิหารสำคัญที่หลวงพ่อฤๅษีลิงดำสร้างไว้ก่อนมรณภาพ ภายในประดับด้วยกระจกและโมเสคแก้วใสแวววับ บนเพดานประดับโคมไฟคริสตัล มีเสาเรียงรายนำสวยงามนำสายตาไปสู่องค์พระประธานคือ “พระพุทธชินราช”(จำลอง)ที่ประดิษฐานอยู่ทางผนังฟากหนึ่ง ส่วนผนังอีกฟากหนึ่ง(ฝั่งตรงข้าม)ประดิษฐานสรีระของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ไม่เน่าเปื่อยไว้ในโลงแก้วให้สักการะบูชาพระพุทธชินราช(จำลอง) องค์พระประธานในมหาวิหารแก้ว 100 เมตร
ยามเมื่อเปิดไฟภายในวิหาร กระจกและโมเสคแก้วใสจะสะท้อนประกายเจิดจ้าระยิบระยับดูงดงามปานเนรมิต จนหลายๆคนยกให้ที่นี่เป็นดังสรวงสวรรค์จำลองอันสุดวิจิตรเพริศแพร้ว ซึ่งเมื่อเข้ามาอยู่ภายในจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกแห่งธรรมที่คอยเตือนใจให้เราสลัดหลุดจากกิเลสทั้งปวง
แต่ละวันวิหารแก้วจะเปิดให้เข้าชมความงามใน 2 ช่วงเวลาด้วยกัน คือ ช่วงเช้าเปิด 09.00-11.45 น. ก่อนปิดเพื่อเจริญพระกรรมฐาน ส่วนช่วงบ่ายเปิด 14.00-16.00 น. ก่อนปิดเพื่อทำวัตรเย็นและเจริญพระกรรมฐาน ทั้งนี้ผู้ที่จะเข้าเยี่ยมชมภายในวิหารแก้วต้องแต่งกายด้วยความสุภาพเรียบร้อย สำรวม กาย วาจาใจ และเคารพกฎระเบียบของสถานที่โดยเคร่งครัดด้วยลวดลายลงรักปิดทองภายในปราสาททองคำ วัดท่าซุง
ภายในวัดท่าซุงยังมี “ปราสาททองคำ” หรือ “ปราสาททองกาญจนาภิเษก” ที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวาระที่ ทรงเสวยราชย์เป็นปีที่ 50 เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวสำคัญ
ปราสาททองคำ เป็นอาคารทรงปราสาท 4 ชั้น ชั้นบนสุดเป็นทรงบุษบกประดิษฐานพระพุทธรูปางลีลา ภายในปราสาททั้ง ผนัง เพดาน เสา บานประตูและหน้าต่าง ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นลงรักปิดทองอันประณีตงดงาม โดยเฉพาะกับงานปูนปั้นเทวดาถือพระขรรค์ที่ประดับอยู่ที่บานประตูนั้นถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งไฮไลท์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูป เซลฟี่ คู่กับบานประตูอยู่ไม่ได้ขาดพิพิธภัณฑ์สมบัติพ่อให้ ที่กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง
ขณะที่ฝั่งตรงข้ามของปราสาททองคำ วันนี้กำลังดำเนินการก่อสร้าง “พิพิธภัณฑ์สมบัติพ่อให้” ที่ตัวอาคารดูโดดเด่นไปด้วยงานสถาปัตยกรรมในสมัยสุโขทัย ด้านหน้าตกแต่งภูมิทัศน์ด้วยสวนหย่อมสวยงาม ซึ่งเมื่อพิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างแล้วเสร็จ(ในอีกไม่นาน) จะถือเป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดแห่งใหม่ของวัดท่าซุงที่น่าสนใจยิ่ง
วัดท่าซุงนอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อในอันดับต้นๆของอุทัยธานีแล้ว วัดแห่งนี้ยังเป็นสถานปฏิบัติธรรมชื่อดัง มีพุทธศาสนิกชนเดินทางมาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญภาวนากันไม่ได้ขาด โดยเฉพาะในช่วงวันพระใหญ่และช่วงเทศกาลสำคัญของทางวัด ที่มีผู้คนเดินทางมาปฏิบัติธรรมกันอย่างเนืองแน่น และปักหลักพักค้างที่วัดท่าซุงกันเป็นจำนวนมากอาคารพระพินิจอักษรกับห้องพักสะดวกสบาย
นั่นจึงทำให้ทางวัดท่าซุงได้ดำเนินการ จัดสร้าง “อาคารพระพินิจอักษร”ขึ้น ด้วยการปรับปรุงอาคารเก่าที่ถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ ให้เป็นที่พักอันสวยงาม มีความสะดวกสบาย สงบ สะอาด และปลอดภัย เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้มาปฏิบัติธรรมที่ไม่สะดวกในการพักค้างที่วัดท่าซุง
อย่างไรก็ดีอาคารพระพินิจอักษรได้เปิดโอกาสให้คนทั่วไปที่สนใจเข้าพัก แต่ว่าต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบ ข้อบังคับที่กำหนดไว้ โดยสถานที่แห่งนี้เน้นย้ำว่า “อย่าเห็นที่พักปฏิบัติธรรมเป็นโรงแรม” พัดสาน บ้านโรงน้ำแข็งเกาะเทโพ ในช่วงเดือนเม.ย.ที่คูนออกออกดอกบานสะพรั่ง
หลังอิ่มบุญอิ่มใจไปกับการไหว้พระและชื่นชมความงามที่วัดท่าซุงแล้ว จุดต่อไป“ตะลอนเที่ยว” เดินทางมายัง “เกาะเทโพ” เกาะน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
เดิมเกาะเทโพเคยเป็นแหลมที่ยื่นออกมาคั่นแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำสะแกกรัง แต่ต่อมาเมื่อมีการขุดคลองเชื่อมลำน้ำ ทำให้ส่วนที่เป็นแหลมขาดออกจากแผ่นดินใหญ่กลายเป็นเกาะน้ำจืด ขนาบด้วยแม่น้ำ 2 สายเหนือใต้ คือแม่น้ำเจ้าพระยาทางทิศเหนือ และแม่น้ำสะแกกรังทางทิศใต้การแปรรูปปลาย่างของชาวบ้านบนเกาะเทโพ
เกาะเทโพได้ชื่อว่าเป็นเกาะแห่งวิถีชีวิต ชาวบ้านที่นี่ดำรงวิถีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายแต่ว่ามากมายเสน่ห์ บนเกาะเทโพวันนี้ยังคงมีการประกอบอาชีพดั้งเดิมของชาวอุทัยธานี ให้ได้สัมผัสเรียนรู้ และช่วยอุดหนุนกันตามความพึงพอใจ ไม่วาจะเป็น การทำสวนผัก-ผลไม้ การเลี้ยงปลาแรดในกระชัง การแปรรูปปลาย่างที่บ้านน้ำตก การทำเสื่อลำแพนที่บ้านท่าดินแดง
รวมถึง“การทำหัตถกรรมจักสานที่บ้านโรงน้ำแข็ง”(ต.ท่าซุง เกาะเทโพ อ.เมือง) ซึ่ง“ตะลอนเที่ยว”กับสาวๆชาวคณะ ได้มาเรียนรู้และทดลองทำการ“สานพัด”จากฝีมือภูมิปัญญาพื้นบ้านกันที่นี่คุณป้าสังเวียน กำลังสาธิตการสานพัดให้ชม
ที่บ้านโรงน้ำแข็งเราได้พบกับคุณป้า 2 พี่น้อง คือคุณป้า“สังเวียน ทรัพย์ผล”(พี่) และคุณป้า“สงบ นิลเกษม”(น้อง) ที่ถือเป็นยอดฝีมือของงานจักสานบนเกาะเทโพ ซึ่งในทริปนี้คุณป้าทั้งสองได้มาโชว์ฝีมือการสานพัดอันประณีตสวยงามให้ชม เริ่มตั้งแต่การนำไม้ไผ่มาจักตอกเป็นเส้นบางๆก่อนจะนำมาเรียงร้อยสอดสานเป็นพัดขนาดต่างๆอันสวยงาม
งานนี้นอกจากจะมาโชว์ฝีมือการสานพัดสวยๆให้ชมกันแล้ว คุณป้าทั้งสองยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวผู้สนใจได้ร่วมทดลองสานพัด เรียนรู้ภูมิปัญญาพื้นบ้านด้วยการทำเวิร์คชอปอารมณ์บ้านทุ่งที่ใต้ถุนบ้านมีลมโกรกเย็นสบาย พร้อมทบทวนความทรงจำจากเมื่อครั้งสมัยวัยเยาว์ที่เราได้ฝึกเรียนงานฝีมือสานกระดาษจากคุณครูกันด้วยนักท่องเที่ยวทดลองสานพัดโดยมี 2 คุณป้าผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
สำหรับการทำพัดสานจากการติวเข้มของคุณป้าสังเวียนและคุณป้าสงบ นอกจากเราจะได้สร้างสรรค์ผลงานจากฝีมือของตัวเอง ที่เป็นมาสเตอร์พีชมีชิ้นเดียวในโลกแล้ว นี่ยังเป็นการฝึกสมาธิชั้นดีที่ทำให้ใจของเราจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ อีกทั้งยังสามารถนำสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้มาต่อยอด สร้างสรรค์ให้เกิดผลงานหรือไอเดียใหม่ๆในชีวิตประจำวันได้ ล่องแม่น้ำสะแกกรังยามเช้าแห่งลุ่มน้ำสะแกกรัง
อุทัยธานีมีอีกหนึ่งสถานที่สำคัญนั่นก็คือ“แม่น้ำสะแกกรัง” แม่น้ำที่เป็นดังเส้นเลือดสำคัญหล่อเลี้ยงชีวิตของชาวอุทัยธานีมาช้านาน
ในอดีตแม่น้ำสะแกกรังเคยเป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญยิ่ง โดยเป็นทั้งเส้นทางสัญจรของชาวบ้าน และเป็นเส้นทางขนส่งสินค้านานาชนิด รวมถึงเป็นแหล่งทำการค้าขายที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของภาคกลาง อันก่อให้เกิดเป็นชุมชน “เรือนแพ” สุขจริงอิงกระแสธาราขึ้นในลำน้ำแห่งนี้
วันนี้แม้การสัญจรทางน้ำจะลดบทบาทลงไปมาก แต่มรดกแห่งเรือนแพที่ตกทอดจากอดีตสู่ปัจจุบันในแม่น้ำสะแกกรังยังดำรงคงอยู่ ในฐานะชุมชนเรือนแพขนาดใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ในบ้านเรา“เรือนแพ”สุขจริงอิงกระแสธารา กับวิถีอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวแพสะแกกรัง
เรือนแพสะแกกรังเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของจังหวัดอุทัยธานี ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 200 หลัง ส่วนใหญ่มีขนาดกะทัดรัดและมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นแพหลังคาจั่ว หลังคาปั้นหยา เรือนแพสีสันสดใส รวมไปถึงเรือนแพแฝดสามหลัง(อยู่บริเวณหน้าวัดโบสถ์) ที่เป็นเรือนแพของผู้มีฐานะดีมีอันจะกินในอดีต ซึ่งเป็นที่นิยมกันในสมัย รัชกาลที่ 5
เรือนแพสะแกกรังต่างมีบ้านเลขที่ มีทะเบียนบ้าน ซื้อ-ขายได้ แต่ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้วิถีชาวแพแห่งสะแกกรังยังคงอยู่(แม้ว่าลูกบวบในวันนี้จะมีราคาสูงมาก)นั่นก็คือความสะอาดและความอุดมสมบูรณ์ของลำน้ำสะแกกรังวันนี้มรดกแห่งเรือนแพที่ตกทอดจากอดีตสู่ปัจจุบันในแม่น้ำสะแกกรังยังดำรงคงอยู่
ชุมชนชาวเรือนแพสะแกกรังวันนี้ยังคงมีวิถีความเป็นอยู่ที่น่าสนใจและน่าเรียนรู้ พวกเขาอาศัยกินอยู่หลับนอนอยู่บนแพ บางแพประดับตกแต่งที่อยู่อาศัยของตัวเองด้วยการปลูกดอกไม้ กล้วยไม้ ปลูกพุทธรักษา บางแพปลูกต้นเตยขาย ปลูกผักบุ้งไว้กินและเก็บขาย บางแพเลี้ยงปลาในกระชัง บางแพดำรงอาชีพประมง มีการทำปลาแห้งรมควันส่งขายตลาด
ด้วยมนต์เสน่ห์ของลำน้ำที่ร่มรื่นสวยงาม สงบ สะอาด และวิถีชาวแพสะแกกรังอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทำให้วันนี้แม่น้ำสะแกกรังถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวอันโดดเด่นแห่งอุทัยธานี ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า บรรยากาศยามเย็น ภาพวิถีเรือนแพ และวัดวาอารามริม 2 ฟากฝั่งวิถีชาวแพสะแกกรัง เรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์
รวมถึงนิยมมาล่องเรือชมสัมผัสภาพวิถีชีวิตชาวแพอันทรงเสน่ห์ ชมความงามและสิ่งที่น่าสนใจ 2 ฟากฝั่งของแม่น้ำสะแกกรังกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งถือเป็นกิจกรรมในลำดับถัดมาของ“ตะลอนเที่ยว”กับคณะ“สะแกกรัง ริเวอร์ ครุยส์” นำเรือบรรทุกข้าวในอดีต มาดัดแปลงเป็นเรือท่องเที่ยว
สำหรับเรือท่องเที่ยวสะแกกรัง มีทั้งเรือท่องเที่ยวที่ท่าวัดท่าซุง ที่จะพาล่องเรือชมลำน้ำไปจนถึงจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำสะแกกรังกับแม่น้ำเจ้าพระยา เรือนำเที่ยวที่ตามรีสอร์ทต่างๆมีไว้ให้เช่าบริการ และเรือนำเที่ยว “สะแกกรัง ริเวอร์ ครุยส์” ที่เป็นการนำเรือบรรทุกข้าวในอดีต มาดัดแปลงเป็นเรือท่องเที่ยวให้บริการเช่าเหมาลำล่องเรือชมแม่น้ำสะแกกรังกันแบบเป็นส่วนตัว พร้อมมีอาหารเครื่องให้บริการ นับว่าเอ็กซ์คลูซีฟไม่น้อยเลย ร้านกาแฟ บ้านจงรักร้านกาแฟ บ้านจงรัก
หลังล่องเรือดื่มด่ำกับวิถีชาวแพในลำน้ำสะแกกรังแล้ว เราเปลี่ยนมาดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟและเครื่องดื่มเย็นๆกันที่ “บ้านจงรัก” (ถ.ศรีอุทัย ต.อุทัยใหม่ อ.เมือง) ร้านกาแฟที่เพิ่งเปิดให้บริการในอุทัยธานีได้ไม่นาน แต่ว่ามาแรงน่าดู
บ้านจงรักเป็นร้านกาแฟ-เครื่องดื่ม ในบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา กับการจำลองแบบบ้านโบราณมาสร้าง(ใหม่)มี 2 ชั้นด้วยกัน
บ้านจงรัก ชั้นล่าง กับการตกแต่งด้วยของสะสมย้อนยุค
ชั้นล่างเป็นส่วนของร้านกาแฟ-เครื่องดื่ม กับบรรยากาศการตกแต่งอันน่ารักกิ๊บเก๋ ประดับตกแต่งไปด้วยของเก่าย้อนยุค โดยเฉพาะของเล่นในยุคแฟนฉันไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตุ่น ตุ๊กตา รถสังกะสี ของเล่นสังกะสี ที่ทางร้านนำมาตกแต่งไว้ตามผนังและมุมต่างๆภายในร้านได้อย่างคลาสสิกลงตัว
ส่วนชั้น 2 จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้ชมเฉพาะวันเสาร์ ซึ่งทางเจ้าของผู้ก่อตั้งต้องการจัดทำที่นี่ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ของจังหวัดอุทัย การจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้และของสะสมต่างๆ มากมายมาให้ชมกัน ไม่ว่าจะเป็น เฟอร์นิเจอร์เก่า โต๊ะตู้เครื่องแป้งเก่า เครื่องถ้วยโถโอชาม กล้องยาฝิ่น หมอนนอนสูบฝิ่น และอีกสารพัดสารพัน รวมถึงมีการจำลองห้องหอสมัยคุณปู่คุณย่ามาจัดแสดง(แบบเหมือนจริง) ให้ชมกันอีกด้วยร้านกาแฟ บ้านจงรัก จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เที่ยวชมทุกๆวันเสาร์
นอกจากนี้หากใครได้มีโอกาสขึ้นชั้น 2 ไปเที่ยวชมส่วนพิพิธภัณฑ์ในวันที่คุณลุงเจ้าของอยู่ ก็จะยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะคุณลุงจะมานำชมและคอยอธิบายให้ความรู้ ประวัติความเป็นมา เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ อย่างสนุกเพลิดเพลิน
นับว่าบ้านจงรักเป็นร้านกาแฟที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เพราะนอกจากจะมีกาแฟ-เครื่องดื่ม โปสการ์ด และของที่ระลึกไว้บริการแล้ว ก็ยังมีอาหารสมองคอยเสิร์ฟให้ความรู้กับผู้ที่สนใจด้วย ถนนคนเดินตรอกโรงยาถนนคนเดินตรอกโรงยา เปิดเฉพาะวันเสาร์ ช่วงเย็น-ถึงค่ำ
เป้าหมายถัดไปต่อจากร้านบ้านจงรักก็คือ การไปเดินสัมผัสกับอีกหนึ่งเสน่ห์ของเมืองอุทัยธานีที่ “ถนนคนเดินตรอกโรงยา เซ็กเกี๋ยกั้ง”(ตลาดเก่าบ้านสะแกกรัง)ที่เปิดเฉพาะวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 15.30-20.00 น.มีสินค้า-อาหาร มากหลาย ในถนนคนเดินตรอกโรงยา
ตรอกโรงยา เซ็กเกี๋ยกั้ง เป็นชุมชนเก่าแก่ที่ก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ถือกำเนิดจากชาวจีนที่ล่องเรือมาค้าขายทางแม่น้ำสะแกกรัง แล้วได้ร่วมกันก่อตั้งเป็นชุมชนไทย-จีนขึ้น ก่อนจะมีการเติบโตพัฒนาขึ้นเป็นลำดับ
ในช่วงสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่นี่มีการตั้งโรงยาฝิ่นขึ้น ชาวบ้านสามารถสูบฝิ่นกันได้อย่างเปิดเผยถูกกฎหมาย ก่อนจะกลายเป็นชื่อ“ตรอกโรงยา เซ็กเกี๋ยกั้ง” เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่คำว่าเซ็กเกี๋ยกั้งนั้นเป็นภาษาจีนที่เพี้ยนมาจากคำว่า“สะแกกรัง” อันหมายถึงแม่น้ำสะแกกรังเส้นเลือดหลักของชาวอุทัยธานีอาคารบ้านเรือนหลายๆหลังบนถนนคนเดินตรอกโรงยา ต่างพร้อมใจกันตกแต่งด้วยบรรยากาศย้อนยุค
ต่อมาในช่วงราวปี พ.ศ. 2500 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โรงยาฝิ่นต้องปิดตัวลงตามคำสั่งของทางการ อันถือเป็นยุคเปลี่ยนผ่านของตรอกโรงยาจากแหล่งสูบฝิ่นมาเป็นแหล่งค้าขาย โดยเฉพาะด้านอาหารการกิน ที่เคยมีของกินอร่อยๆในระดับตำนานหลากหลาย
ครั้นเมื่อเวลาผ่านพ้นไปย่านการค้าแห่งนี้ได้ซบเซาลงไป แต่ทว่ารอยอดีตอันรุ่งโรจน์ของอดีตยังคงอยู่กับบรรดาอาคารเรือนแถวไม้เก่าแก่อายุยาวยานกว่า 100 ปี ที่ยังคงหลงเหลืออยู่และถือว่ามีสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในตัวเมืองอุทัยบ้านปลาแดงอีกหนึ่งแห่งที่ตกตแ่งแบบย้อนยุคบนถนนคนเดิน ตรอกโรงยา
มาถึงในยุคปัจจุบัน ชาวเมืองอุทัยธานีที่เกิดจากการรวมกลุ่มกันของชุมชนต่างๆ ได้จับมือกับมหาวิทยาลัยนเรศวร ก่อตั้ง“คณะกรรมการพัฒนาเมืองอุทัย”ขึ้น พร้อมกับผลักดันให้เกิดเป็นถนนคนเดินขึ้นในปี พ.ศ. 2553 ภายในแนวคิด “ถนนสั้น ตำนานยาว”
ถนนคนเดินตรอกโรงยา มีเป้าประสงค์เพื่อต้องการจุดประกายปลุกชาวบ้านให้“ตื่น” และหันมามองรากเหง้าเข้าใจพื้นฐานชุมชนของตัวเอง สร้างความร่วมมือในชุมชน สร้างแหล่งเชื่อมโยงอดีตจากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่ สร้างสถานที่พบปะแลกเปลี่ยนในช่วงวันหยุดของชาวอุทัย ควบคู่ไปกับการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่จะก่อให้เกิดมีรายได้ในพื้นที่ตามมา โดยมีข้อกำหนดว่า “ผู้ที่จะมาเปิดร้านค้าขายบนถนนคนเดินต้องเป็นชาวอุทัยเท่านั้น”หมูสะเต๊ะปิ้งกันแบบสดใหม่ ควันขโมงบนถนนคนเดิน ตรอกโรงยา
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ถนนคนเดินตรอกโรงยาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง จนต้องมีการขยายพื้นที่การค้าขายออกไปในอีกตรอกข้างๆ
ส่วนคนที่มาเดินที่ถนนคนเดินตรอกโรงยา จากแรกๆที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนอุทัยธานี แต่มาวันนี้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากพากันมาเดินเล่นในยามเย็นวันเสาร์ สัมผัสวิถีที่อวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความมีชีวิตชีวา ให้ทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ได้ ชม ช้อป ชิม แชะ และเซลฟี่กันเป็นที่เพลิดเพลินตามมุมโดนๆ ที่มีให้เลือกกันหลากหลาย โดยเฉพาะในบ้านเรือน ร้านรวง หลายๆร้านที่พร้อมใจตกแต่งในบรรยากาศย้อนยุค พร้อมกับเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปถ่ายรูปได้อย่างเต็มที่ในบรรยากาศพิพิธภัณฑ์ชุมชนอันทรงคุณค่า ไม่ว่าจะเป็น “บ้านนกเขา”, “ร้านปุ๋มกาแฟสด”,“ร้านรักษ์อุทัย”, “บ้านปลาแดง” เป็นต้นถนนคนเดินเป็นการพลิกฟื้นตรอกโรงยาจากเดิมที่เคยซบเซาให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ขณะที่สินค้าที่วางขายในถนนคนเดินนั้นก็มีทั้งแบบ แบกะดิน รถเข็น แผงลอย และที่วางจำหน่ายกันในร้านในบ้านของชาวชุมชนที่นั่น โดยสินค้าที่นำมาจำหน่ายก็มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ของที่ระลึก งานฝีมือ งานศิลปะ พืชผักผลไม้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาอาหารการกิน ขนมของกินเล่น ที่มีขายกันเป็นจำนวนมากให้เดินอิ่มอร่อยกันตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอยกิจกรรมสอนเด็กๆวาดรูป ระบายสี
นอกจากนี้ก็ยังมีกิจกรรม การสอนเด็กระบายสี ดนตรีไทยจากฝีมือของเยาวชน ถ่ายรูปกับสตรีทอาร์ทตรงผนังหัวมุมถนนฝั่งธนาคาร รวมถึงมีคุณลุงโฆษกที่นอกจากจะทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์แล้ว ยังมานั่งบรรยายบอกเล่าเรื่องราว ประวัติศาสตร์ เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย พร้อมทั้งแอบปล่อยมุขเด็ดๆแฝงแทรกเข้าในด้วยสำเนียงเสียงหล่อย้อนยุคที่ “ตะลอนเที่ยว” ฟังแล้วอดอมยิ้มตามไม่ได้ (อ่านต่อด้านล่าง)