ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ย้อนอดีตกรุ (ง) แตก : เปิดกรุวัดราชบูรณะ ตอนที่ 2  (อ่าน 2022 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29432
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0




ย้อนอดีตกรุ (ง) แตก : เปิดกรุวัดราชบูรณะ ตอนที่ 2

เมษายน เป็นเดือนที่เกิดเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ไทยมากมาย หนึ่งในนั้น คือการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในวันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน นพศก ตรงกับ 7 เมษายน พ.ศ. 2310 เป็นเหตุให้มีการย้ายราชธานีลงไปทางทิศใต้ ณ กรุงธนบุรี ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ ทุกวันนี้

พระราชโบราณ อีกทั้งวัดวาอารามที่เคยงดงามเกินบรรยายต่างทรุดโทรม ร่วงโรย และรกร้าง
กรุงศรีอยุธยาที่เคยรุ่งโรจน์กลายเป็นเพียงอดีต

ต่อมาในราว พ.ศ.2499 เกิดเรื่องที่ทำให้ชื่อของราชธานีแห่งนี้กลับมาอยู่ในความสนใจของคนไทยอีกครั้ง นั่นคือเหตุการณ์ ‘กรุแตก’ ซึ่งเริ่มมีเค้าลางมาจากเรื่องที่เล่ากันหนาหูว่า มีผู้เสียสตินำเครื่องทองงดงามระยับไปร่ายรำท่ามกลางชุมนุมชนใน ‘ตลาดเจ้าพรหม’ ตลาดใหญ่ในตัวเมืองอยุธยา กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว





เรื่องนี้ถูกนำมาสอดแทรกไว้ในเรื่องสั้น “ขุนเดช” ของ สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ด้านประวัติศาสตร์ในเครือ “มติชน”

สุจิตต์ เล่าว่า ตนได้ข้อมูลมาจาก “อามหา-จิรเดช ไวยโกสิทธิ์” หรือ ขุนเดชตัวจริงในเรื่องสั้นชุดดังกล่าวที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์หลายต่อหลายครั้ง

เหตุการณ์จริงต่อจากนั้น คือในเดือนกันยายน พ.ศ. 2500 กรมศิลปากรได้พบเครื่องทองคำราชูปโภค พระพุทธรูป สถูปทองคำ และพระพิมพ์มากมายภายในพระปรางค์องค์ใหญ่ของวัดราชบูรณะ จากนั้น ได้หาทางทำอุโมงค์ และบันไดลงไปในกรุลึกลับ ต้องคลำทาง วางแผน บันทึกผังกรุ และโบราณวัตถุมหาศาลที่ได้พบอย่างไม่คาดฝัน กลายเป็นหนึ่งในอภิมหาตำนานแห่งการค้นพบมรดกอันประเมินค่าไม่ได้จากบรรพชนยุคกรุงศรีอยุธยาที่น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง


 
(ซ้าย) ปกหนังสือ ขุนเดช โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ (ขวา) โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่องขุนเดช ฉายเมื่อ พ.ศ.2523 (ภาพจากมูลนิธิหนังไทย)


เรื่องราวทั้งหมดรวมถึงรายละเอียดของการขุดกรุดังกล่าวในทุกขั้นตอน ถูกบันทึกไว้อย่างถี่ถ้วนและเต็มไปด้วยสีสัน ผ่านรายงานฉบับหนึ่งของ นายกฤษณ์ อินทโกศัย รองอธิบดีกรมศิลปากรในยุคนั้น ซึ่ง “มติชน” จะทยอยทำเสนอเป็นตอนๆดังเนื้อหาต่อไปนี้

รายงานของนายกฤษณ์ อินทโกศัย รองอธิบดีกรมศิลปากร (ต่อจากตอนที่แล้ว)


 ans1 ans1 ans1 ans1

หลงทาง

เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2501 เจาะลงไป 3 ชั่วโมงก็รู้ว่าผิดทางเสียแล้ว จึงย้ายที่เจาะใหม่มาทางทิศตะวันตกห่างจากที่เจาะเดิมประมาณ 20 เซนติเมตร จุดที่เจาะเข้าไปนี้ลึกประมาณ 80 เซนติเมตร ทะลุตรงห้องกรุพอดี ห้องกรุกว้าง 0.70 เมตร ยาว 1.36 เมตร สูง 2.00 เมตร บรรจุพระพิมพ์และพระพุทธรูปสำริดไว้เต็มแน่น และที่ผนังด้านทิศตะวันตกเขียนภาพสีไว้เต็มผนัง ส่วนด้านอื่นไม่มีภาพคงโบกปูนไว้อย่างธรรมดา เมื่อขนของออกจากห้องนี้หมดแล้ว ก็เจาะทางด้านทิศใต้


อุโมงค์ที่กรมศิลปากรเจาะลงสู่กรุชั้นล่างของพระปรางค์วัดราชบูรณะ


พบพระพิมพ์มหาศาล

เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2501 เจาะลึกประมาณ 80 เซนติเมตร ก็พบกรุมีพระพิมพ์และพระพุทธรูปเต็มแน่น แล้วเจาะทางด้านทิศเหนืออีก พบกรุมีพระพิมพ์และพระพุทธรูปหล่อเต็มแน่นเช่นเดียวกัน การเจาะทางด้านทิศใต้และทิศเหนือ ไม่พลาดเหมือนเจาะห้องทางด้านทิศตะวันตก เจาะได้ตรงห้องพอดี เพราะได้แบบฉบับจากห้องทางด้านทิศตะวันตกเป็นหลักไว้แล้ว และห้องทิศใต้และเหนือมีภาพเขียนเหมือนห้องทิศตะวันตก ขนาดกว้างยาวและสูงเหมือนห้องที่ 1

รวมสิ่งของที่ได้จากกรุทั้ง 5 ห้อง เป็นพระพุทธรูปและมีเทวรูปรวม 618 องค์ พระพิมพ์นับด้วยแสนดังได้กล่าวข้างต้นแล้วว่า ได้พักการหาลู่ทางที่จะเจาะลงหามุมห้องบรรจุเครื่องทางด้านทิศตะวันตกไว้ก่อน เพราะไปพบกรุที่พื้นชั้นบนเข้า ดังนั้นเมื่อขนสิ่งของออกจากกรุชั้นบนทั้ง 3 ห้องแล้ว ก็เริ่มคลำทางที่จะลงไปสู่มุมทางด้านทิศตะวันตกตามความตั้งใจเดิมเห็นว่าระยะทางที่จะลงได้ใกล้ที่สุด และไม่เป็นอันตรายแก่ความทรงตัวขององค์ปรางค์นั้น ควรจะเจาะเปิดพื้นกรุชั้นบนด้านทิศใต้และทิศเหนือลงไป จึงลงมือเปิดพื้นห้องกรุชั้นบนด้านทิศใต้ก่อน



พระพิมพ์แบบต่างๆ พบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะจำนวนมหาศาล


“พระใบขนุน” ในกรุเงินกรุทอง

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2501 เจาะศิลาแลงเข้าไปสองแผ่นก็ทะลุ มองเห็นกรุมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้อยู่เบื้องล่างอย่างถนัดชัดเจนมีพระบรรจุอยู่ค่อนห้อง ไม่เต็มแน่นเหมือนมุมอื่น จัดการขนขึ้นและเปิดพื้นห้องกรุชั้นบนด้านทิศเหนือ

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2501 เจาะเข้าไปชั่วศิลาแลงสองแผ่นก็ทะลุ มองเห็นกรุมุมทิศตะวันตกเฉียงเหนือ บรรจุพระไว้ค่อนห้องเช่นเดียวกัน กรุนี้ควรจะเรียกว่ากรุเงินกรุทอง เพราะบรรจุพระพิมพ์แผ่นปางลีลา ลักษณะคล้ายกลีบขนุนขององค์พระปรางค์ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “พระใบขนุน” ล้วนๆ พระใบขนุนนี้เองที่ประชาชนพากันเบียดเสียดกันเข้าบริจาคเงินสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อจะขอรับพระนี้เป็นของสมนาคุณ พระใบขนุนช่วยให้ได้เงินสร้างอาคารพิพิธภัณฑสถานหลายแสนบาท กรุนี้เป็นกรุที่ 7 ที่กรมศิลปากรเปิด ในกรุนอกจากพระใบขนุนแล้ว ก็มีพระพิมพ์อย่างอื่นปะปนอยู่บ้างเล็กน้อยและมีพระพุทธรูปสำริดขนาดย่อมอยู่ด้วย 20 กว่าองค์

การเปิดกรุทั้ง 7 ของกรมศิลปากร ก็ยุติลง เพื่อทำการคัดเลือกพระที่ขนขึ้นมาแล้วจะได้สำรวจต่อไปอีกว่าจะยังมีกรุอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งถ้ามี ก็จะเสนอรายงานให้ทราบกันอีกในโอกาสต่อไป



พระพุทธรูปทองคำ พบในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

กฤษณ์ อินทโกสัย รองอธิบดีกรมศิลปากร ถือพระแสงขรรค์ชัยศรี ภาพจากหนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย เมื่อ พ.ศ. 2500 ครั้ง “กรุแตก” (ภาพถ่ายจากนิทรรศการพิเศษ “เครื่องทองอยุธยา มรดกโลก มรดกของแผ่นดิน” จัดแสดงตั้งแต่วันนี้ถึง 5 ธันวาคม 2559


(โปรดติดตามตอนต่อไป)


ที่มาข้อมูล : หนังสือ จิตรกรรมและศิลปวัตถุ ในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  และหนังสือ พระพุทธรูปและพระพิมพ์ ในกรุพระปรางค์วัดราชบูรณะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พิมพ์เผยแพร่โดยกรมศิลปากร เมื่อ พ.ศ.2558
ขอขอบคุณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
http://www.matichon.co.th/news/94106
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ