« ตอบกลับ #2 เมื่อ: เมษายน 15, 2016, 10:24:00 am »
0
พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวรรค [๓. มหาปรินิพพานสูตร]
การถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
[๒๓๕] เมื่อพระเพลิงไหม้พระสรีระของพระผู้มีพระภาค พระอวัยวะ คือ
พระฉวี (ผิวนอก)
พระจัมมะ(หนัง)
พระมังสา(เนื้อ)
พระนหารู(เอ็น) หรือ
พระลสิกา(ไขข้อหรือ ไขกระดูก) ไม่ปรากฏเถ้า ไม่ปรากฏเขม่าเลย
คงเหลืออยู่แต่พระสรีระเท่านั้น
เปรียบเหมือนเมื่อไฟไหม้เนยใสและน้ำมัน ก็ไม่ปรากฏเถ้า ไม่ปรากฏเขม่า ฉันใดเมื่อพระเพลิงไหม้พระสรีระของพระผู้มีพระภาค พระอวัยวะ คือ พระฉวี พระจัมมะพระมังสา พระนหารู หรือพระลสิกา ไม่ปรากฏเถ้า ไม่ปรากฏเขม่า คงเหลืออยู่แต่พระสรีระ เท่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน และบรรดาผ้า ๕๐๐ คู่นั้น มีเพียง ๒ ผืนเท่านั้นที่ถูกไฟไหม้ คือ ผืนในสุดกับผืนนอกสุด ก็เมื่อพระเพลิงไหม้พระสรีระของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ท่อน้ำไหลหลั่งมาจากอากาศดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาค
น้ำพุ่งขึ้นจากไม้สาละดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาค พวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคด้วยน้ำหอมล้วน ๆ ต่อจากนั้น เจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราได้จัดกำลังพลหอกไว้รอบสัณฐาคารล้อมด้วยกำแพงธนู๒ (ป้องกันพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาค) แล้วสักการะ เคารพ นบนอบ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ระเบียบดอกไม้และของหอมตลอด ๗ วัน
พระบรมสารีริกธาตุ ที่ สถิตย์ ณ บรมบรรพต นั้น เป็นส่วนของ กรุงกบิลพัสด์ุ ที่ทางประเทศอินเดีย ขุดค้นในพระสถูป ที่จมอยู่ใต้ดินจึงมอบเป็นบรรณาการไว้ที่ประเทศไทย ถวายให้แก่นายหลวง รัชกาลที่ ๕ ตามบันทึกประกาศ
... ครั้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๑ มีผู้ขุดพบที่บรรจุอัฐิธาตุที่เมืองกบิลพัสดุ์ มีอักษรจารึกเป็นอย่างเก่าที่สุดในอินเดียบอกไว้ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า คือส่วนซึ่งกษัตริย์สักยราชได้ไปเมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เวลานั้น มาเควสเคอสัน (ซึ่งเคยได้เข้ามากรุงเทพฯ คุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแต่ก่อน) เป็นอุปราชครองประเทศอินเดียอยู่ ปรารภว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นพุทธศาสนูปถัมภกมีอยู่ในโลกในปัจจุบันนี้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว จึงส่งพระบรมสารีริกธาตุที่พบ ณ เมืองกบิลพัสดุ์นั้นมาถวาย และครั้งนั้นพวกที่นับถือพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ คือ ญี่ปุ่น พม่า ลังกา และประเทศไซบีเรีย ต่างแต่งทูตเข้ามาทูลขอพระบรมธาตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้แบ่งพระราชทานไปตามประสงค์ พระบรมธาตุที่เหลือนั้น โปรดให้สร้างพระเจดีย์ทองสัมฤทธิ์เป็นที่บรรจุประดิษฐานไว้ในคูหาพระสถูปบนยอดบรมบรรพตวัดสระเกศ เป็นที่สักการบูชาของมหาชนมาจนทุกวันนี้ เรื่องพระบรมธาตุที่กล่าวมาเป็นข้อสำคัญ ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนในนานาประเทศโดยมากยอมยกสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกมาแต่ครั้งนั้น"
กษัตริย์สักยราช พระญาติวงศ์ของพระพุทธองค์ได้ไปยังเมืองกบิลพัสดุ์ (เดี๋ยวนี้เรียกว่าแขวงภูอิละอยู่ในเนปาลราฐ) ส่วน๑ ...ส่วนนี้ที่ได้มายังประเทศสยามและบรรจุประดิษฐานไว้ในพระสถูปบนพระบรมบรรพต วัดสระเกศ
พวกเจ้าศากยะชาวกบิลพัสดุ์ ได้ทรงสดับว่า “พระผู้พระภาคปรินิพพานในกรุงกุสินารา” จึงทรงส่งทูตไปถึงพวกเจ้ามัลละผู้ครองกรุงกุสินาราว่า “พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระญาติผู้ประเสริฐที่สุดของพวกเรา พวกเราควรจะได้รับส่วนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุบ้าง จะได้สร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลอง”
พวกเจ้าศากยะชาวกบิลพัสดุ์ ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและทำการฉลองในกรุงกบิลพัสดุ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 15, 2016, 10:26:23 am โดย ธัมมะวังโส »

บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ