ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: คนเช่นไร เรียกว่า เป็นคนดี  (อ่าน 935 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
คนเช่นไร เรียกว่า เป็นคนดี
« เมื่อ: กันยายน 12, 2016, 08:35:59 am »
0


คนเช่นไร เรียกว่า เป็นคนดี

หลายวันก่อนได้สนทนากันในหมู่เพื่อนบ้าน แล้วได้ทราบว่าหลายคนยังไม่ทราบว่า คนดี คือคนเช่นไร ? เพื่อนบ้านคนหนึ่งพลั้งปากออกมาว่า คนสวยคือคนดี นั่นคือตามแนวที่หลายคนเคยกล่าวว่า คนมีชื่อเสียงคือคนดี คนมีเงินคือคนดี คนมีอำนาจคือคนดี บุคคลที่เอ่ยมานั้น มิใช่เป็นคนดี ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลย

เพื่อให้รู้ว่าคนดีเป็นเช่นไร จึงขอยกคำสอนเกี่ยวกับการดูคนดีและคนชั่วในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดังต่อไปนี้ พระพุทธเจ้าแนะนำว่า จะดูคนดีหรือคนชั่ว ให้ดูที่ การทำ การพูด และความคิด โดยมี 2 รูปแบบ 3 พฤติกรรม ดังต่อไปนี้


 :25: :25: :25: :25:

  (๑) ผู้ใดใช้กำลังกายทำลายชีวิตคนอื่น หรือใช้กำลังกายข่มเหงคนอื่นหรือสัตว์อื่น คนนั้น เรียกว่า คนชั่วทางกาย หรือกายทุจริต
       ผู้ใดใช้กำลังกายหยิบฉวยทรัพย์สมบัติคนอื่นโดยการขโมย คนนั้นเรียกว่าคนชั่วทางกาย หรือกายทุจริต
       ผู้ใดใช้กำลังกายผิดลูกผิดเมียคนอื่น คนนั้นเรียกว่า คนชั่วทางกาย หรือกายทุจริต
       พฤติกรรมทางกายทั้ง 3 ประการนี้ เป็นรูปแบบของความชั่ว
       ใครก็ตามอยากจะรู้ว่าเราเป็นคนดีหรือคนชั่ว ก็ดูตรงนี้ ถ้าทั้ง ฆ่า ทั้งขโมย ทั้งผิดลูกเมียคนอื่น ก็เรียกว่า คนชั่วทางกายที่สมบูรณ์

 (๒) ผู้ใดพูดเท็จต่อคนอื่น ผู้นั้นเรียกว่าคนชั่วทางวาจา หรือวจีทุจริต
      ผู้ใดพูดยุยงให้คนอื่นผิดใจกัน ผู้นั้นเรียกว่าคนชั่วทางวาจา หรือวจีทุจริต
      ผู้ใดพูดด่าคนอื่น พูดเสียดสีคนอื่น ให้เจ็บใจ ผู้นั้นเรียกว่าคนชั่วทางวาจา หรือวจีทุจริต
      ผู้ใดพูดเพ้อเจ้อ ผู้นั้นเรียกว่าคนชั่วทางวาจา หรือวจีทุจริต
      พฤติกรรมทางวาจา 4 ประการนี้ เป็นรูปแบบของความชั่ว
      ใครก็ตามอยากจะรู้ว่า เราเป็นคนชั่วหรือไม่ ก็ดูตรงนี้ ถ้าทั้งพูดเท็จ ทั้งพูดยุยงให้คนผิดใจกัน ทั้งชอบด่าคนอื่นทั้งต่อหน้าและลับหลัง อีกทั้งชอบพูดเพ้อเจ้อ ก็เรียกว่าเป็นคนชั่วทางวาจาที่สมบูรณ์

 (๓) ผู้ใดคิดอยากได้สมบัติของคนอื่น ผู้นั้นเรียกว่า คนคิดชั่ว หรือมโนทุจริต
      ผู้ใดคิดอาฆาตคนอื่น ผู้นั้นเรียกว่า คนคิดชั่ว หรือมโนทุจริต
      ผู้ใดคิดว่า พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ การให้ทานไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล บุญไม่มี บาปไม่มี ชาติหน้าไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ผู้นั้นเรียกว่าเป็นคนมีความเห็นผิด หรือเรียกว่า มโนทุจริต
      พฤติกรรมทางใจทั้ง 3 ประการนี้ เป็นรูปแบบของความชั่ว
      ใครก็ตามอยากจะรู้ว่า เราเป็นคนคิดดีหรือคิดชั่ว ขอให้ดูตรงนี้ ถ้าเป็นคนที่ ทั้งอยากได้สมบัติคนอื่น ทั้งอาฆาตคนอื่น และมีความเห็นผิด ก็เรียกว่าเป็นคนคิดชั่วที่สมบูรณ์

โดยสรุปแล้วรูปแบบความชั่วทางกายมี 3 รูปแบบความชั่วทางวาจามี 4 และรูปแบบความชั่วทางใจมี 3 รวมเป็นพฤติกรรมทั้ง 10 ประการนี้นี่แหละ ช่วยชี้ว่าผู้คนเช่นนี้เป็นคนชั่ว


 :25: :25: :25: :25:

ต่อไปนี้เป็นรูปแบบความดี ซึ่งต้องดูที่กาย วาจา และใจ เช่นกัน ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ผู้ใดไม่ใช้กำลังกายทำลายชีวิตคนอื่น ไม่ข่มเหงคนอื่น ผู้นั้นเรียกว่าเป็นคนดีทางกาย หรือกายสุจริต ผู้ใดไม่ใช้กำลังกายลักทรัพย์คนอื่น ผู้นั้นเรียกว่า เป็นคนดีทางกาย หรือกายสุจริต ผู้ใดไม่ใช้กำลังกายผิดลูกเมียคนอื่น ผู้นั้นเรียกว่า เป็นคนดีทางกาย หรือกายสุจริต พฤติกรรมทางกาย ทั้ง 3 ประการนี้ เป็นรูปแบบของความดี ใครก็ตามอยากจะรู้ว่า เราเป็นคนดีหรือไม่ ก็ดูตรงนี้ ถ้าไม่ทำลายชีวิตคนอื่น ไม่ลักทรัพย์คนอื่น และไม่ผิดลูกผิดเมียคนอื่น คนผู้นั้นเรียกว่าเป็นคนดีทางกาย

ผู้ใดไม่พูดเท็จ ไม่พูดยุยงให้เขาผิดใจกัน ไม่พูดด่าคนอื่น และไม่พูดเพ้อเจ้อ ผู้นั้นเรียกว่าเป็นคนดีทางวาจา หรือวจีสุจริต พฤติกรรมทั้ง 4 ประการนี้ เป็นรูปแบบของคนดี ใครก็ตามอยากจะรู้ว่า เราเป็นคนดีหรือไม่ ขอให้ดูตรงนี้ ถ้าไม่พูดเท็จ ไม่พูดยุยงให้เขาผิดใจกัน ไม่ด่าคนและไม่พูดเพ้อเจ้อ นั่นคือคนดีทางวาจา

 :sign0144: :sign0144: :sign0144: :sign0144:

ผู้ใดไม่คิดอยากได้สมบัติคนอื่น ไม่คิดพยาบาทอาฆาตคนอื่น ไม่มีความเห็นผิดว่า พ่อแม่ไม่มีบุญคุณ การให้ทานไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล เป็นต้น คนผู้นั้นเรียกว่าเป็นคนดีทางใจ หรือวจีสุจริต ความคิดทางใจ 3 ประการนี้ เป็นรูปแบบของคนดี ใครก็ตามอยากจะรู้ว่า เราเป็นคนคิดดีหรือคิดชั่ว ก็ดูตรงนี้ ถ้าไม่คิดอยากได้สมบัติคนอื่น ไม่อาฆาตคนอื่น ไม่มีความเห็นผิด นั่นคือ คนดีทางความคิด ตามที่กล่าวมา เป็นการกล่าวอย่างสูง คือ ความสะอาดทางกาย ความสะอาดทางวาจา และความสะอาดทางใจ

พระท่านว่า ผู้มีความสะอาดทางกาย ทางวาจา และทางใจ ตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์ แต่ถ้าพวกเราหวังเพียงความเป็นมนุษย์ พระพุทธองค์ จึงบัญญัติศีล 5 ไว้สำหรับมนุษย์ โดยนำพฤติกรรมทางกายซึ่งมีโทษหนัก มาเป็นศีล ข้อที่ 1 ข้อที่ 2 และข้อที่ 3 แล้วนำการพูดเท็จ ซึ่งโทษหนัก มาเป็นศีลข้อที่ 4 จากนั้นทรงนำการดื่มสุรา มาเป็นศีลข้อที่ 5 มนุษย์เราถ้ามีศีล ห้าครบ ชีวิตก็จะอยู่ในโลกได้อย่างปลอดภัย แต่ถ้าหวังสวรรค์ ต้องปฏิบัติชำระกาย วาจาและใจให้สะอาด ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าวมา จึงสรุปว่า การดูคนดีหรือคนชั่ว ต้องดูที่กาย วาจา และใจเท่านั้น

การที่บางคนมองว่าคนสวยเป็นคนดีนั้น แม้โดยหลักการแล้วไม่ถูกต้อง แต่ก็มีนัยที่ชวนให้พูดถึง แถมจะมีประโยชน์ต่อคนเป็นจำนวนมากด้วย ความสวยทุกคนอยากได้ ทุกคนอยากสวย ผู้ชายทุกคนถ้ามีแฟนสวยก็อยากพาไปอวดเพื่อน สามีที่มีเมียสวย ก็อยากพาไปอวดชาวบ้านเหมือนกัน ผู้หญิงทุกคนอยากสวย ถ้าเกิดมาไม่สวย ก็น้อยใจในชะตาของตัวเอง
     นางวิสาขา มหาอุบาสิการู้ความต้องการของผู้หญิง จึงไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
     ผู้หญิงอยากสวย ควรปฏิบัติตนอย่างไร.?
     พระพุทธองค์ตรัสว่า
     "หญิงใดอยากเกิดเป็นคนสวย จงข่มความโกรธให้ได้ เมื่อเกิดความโกรธ อย่าแสดงออกทางสีหน้า อย่าพูดอะไรออกมาขณะโกรธ เมื่อปฏิบัติได้แบบนี้ หญิงนั้นจะเกิดเป็นคนสวย"


 st12 st12 st12 st12

    เราลองมาวิเคราะห์ดูว่า น่าจะเป็นจริงหรือไม่.?
    ตามปกติคนเรา สีหน้าเรานั้น มันเปลี่ยนไปตามความคิดของจิตของเรา ถ้าใจเราโกรธ หน้าเราก็ถมึงตึง ไม่มีความสวยเลย แต่ถ้าเราได้อารมณ์ที่พอใจ หน้าของเราก็จะเบิกบานตามใจไปด้วย ถามว่า คนอื่นเขาอยากมองหน้าคนหน้าโกรธ หรือเขาอยากมองคนหน้ายิ้ม คำตอบก็คือทุกคนอยากเห็นคนหน้ายิ้ม ด้วยประการฉะนี้ จึงสรุปว่า ใจเรามันมีหน้าที่ปั้นหน้าเราให้สวยและให้ไม่สวย การที่พระพุทธเจ้าตรัสให้เราข่มความโกรธ ก็คือให้เราคอยปั้นหน้าเราให้สวยตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อเราตายไปเกิดใหม่ หน้าเราก็จะสวย

    บางคนอาจจะคิดว่า สวยไม่สวยอาจจะเป็นเรื่องของกรรมพันธุ์ คือ มาจากพ่อแม่ ซึ่งไม่ถูก ความจริงเป็นสมบัติของเราเอง เราสร้างมาเอง จะวิเคราะห์ให้ดู ตามที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ชีวิตของทุกคนนั้นพ่อเป็นผู้ให้ ส่วนแม่เป็นผู้ให้เลือดเนื้อ ส่วนจิตวิญญาณเป็นของตนเอง"


 ans1 ask1 ans1 ask1

พูดเพียงเท่านี้บางคนอาจจะยังไม่เข้าใจ จึงขอขยายเพิ่มเติมว่า ชีวิตเป็นของพ่ออย่างไร.?

     ขั้นแรกขอให้รู้ว่า ตัวสเปิร์มของผู้ชายที่วิ่งเข้าไปในมดลูกนั้น เป็นสิ่งที่มีชีวิต คือมีชีวิตแบบพืช ที่มีชีวิต แต่ไม่มีวิญญาณ ส่วนที่ว่าแม่เป็นผู้ให้เลือดเนื้อนั้น เพราะเมื่อตัวสเปิร์มที่มีชีวิตนั้นไปผสมกับไข่ของแม่แล้ว จะได้รับเลือดและเนื้อจากไข่ และต่อไปก็จะมีสายสะดือเป็นท่ออาหารจากแม่มาสู่ลูก
    ดังนั้นพระองค์จึงตรัสว่า แม่เป็นผู้ให้เลือดเนื้อ ตัวสเปิร์มที่มีชีวิตนั้น เมื่อได้เลือดเนื้อจากแม่ ก็เจริญขึ้น และนั่นคือร่างที่มีชีวิตแต่ไม่มีวิญญาณ ต่อเมื่อวิญญาณของเราจะเขาไปปฏิสนธิ หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือวิญญาณเราเข้าไปสิงแล้ว จิตนั้นมันจะปั้นหน้าของผู้นั้นให้สวยงามตามความสะอาดของจิตที่ตัวได้สั่งสมไว้

บางคนอาจจะค้านว่า รูปร่างหน้าตาน่าจะได้จากพ่อแม่มากกว่า แล้วยกตัวอย่างว่า เช่น พ่อผิวดำ ลูกก็ผิวดำด้วย แสดงว่า ไปจากพ่อแม่ชัดๆ
    ก่อนตอบตรงนี้ ต้องถามว่า ทุกคนอยากได้ผิวดำหรือไม่.?
    ตอบว่า ไม่มีใครอยากได้ผิวดำ แล้วถามต่อไปว่า แล้วทำไมเราจึงมาได้ผิวดำตามพ่อ
    สิ่งที่ผลักดันให้มาได้ผิวดำตามพ่อก็คือ การสั่งสมความโกรธ เพราะสั่งสมความโกรธ จะทำให้ผู้นั้นผิวพรรณเศร้าหมอง และเมื่อคนขี้โกรธจะตาย คตินิมิตของเขาจะจดจ่ออยู่ที่คนผิวดำ แล้วนั่นคือตัวผลักดันให้ไปได้เชื้อคนผิวดำ


 :49: :49: :49: :49:

ดังนั้น เมื่ออยากมีหน้าสวย ผิวพรรณขาวผ่อง จงข่มความโกรธ เมื่อข่มความโกรธได้ กรรมจะผลักดันให้ได้เชื้อของคนผิวขาว หน้าสวยงาม ชนิดที่คนต้องหันหลังไปมอง

ความนัยที่ควรพูดถึงมิใช่เฉพาะความสวยเท่านั้น เพราะแม้คนมีชื่อเสียง คนมีเงิน และคนมีอำนาจ ที่ถูกระบุว่า เป็นคนดีก็มีนัยที่ควรพูดถึงเช่นกัน
    เพราะอะไร.?
    เพราะว่า ความสวยที่มีแก่ตน มันเป็นผลของความดีทางใจคือ ข่มความโกรธได้ที่ตนทำในอดีตชาติที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ผลของคนมีชื่อเสียง และผลของความมีเงิน ก็เป็นผลของความดีคือ การบริจาคทานที่ทำมาจากอดีตชาติเช่นกัน
    ส่วนผลของการมีอำนาจ ก็เป็นผลจากการทำความดี คือ ไม่ริษยาคนที่เขามีอำนาจที่ตนทำมาแล้วในอดีตชาติ

ทั้งหมดนี้ เป็นคำพยากรณ์ของพระพุทธองค์ ต่อคำถามของนางวิสาขา ที่ทูลถามว่า
     อยากรวยต้องปฏิบัติอย่างไร.?
     อยากมีอำนาจ จะต้องปฏิบัติอย่างไร.?

ดูแล้วเป็นเรื่องแปลก ที่คนในปัจจุบัน นำเอาความสวยที่อบรมมาในอดีตชาติคือ การข่มความโกรธ มาตอบว่าเป็นคนดี เพราะเขาทำดีมาก่อนจริงๆ นำเอาความรวย และนำเอาความมีอำนาจ ที่อบรมมาในอดีตชาติคือการบริจาคทาน และการไม่ริษยาคนมีอำนาจ มาตอบว่าเป็นคนดี เพราะเขาทำดีมาก่อนจริงๆ


 ans1 ans1 ans1 ans1

ขอกล่าวถึงความคิดชั่วทางใจอีกข้อหนึ่ง คือ ความเห็นผิด พระพุทธองค์ค้นพบว่า การมีความเห็นผิด จะนำไปเกิดเป็นสัตว์ติรัจฉาน
     ถามว่า ทำไมมีความเห็นผิด จึงพาไปเกิดเป็นสัตว์ติรัจฉาน
     ตอบว่า เพราะพ่อแม่มีบุญคุณต่อลูก แต่ลูกกลับมองไม่เห็นว่ามีบุญคุณ การให้ทานมีผลทั้งชาตินี้และชาติหน้า แต่บางคนกลับมองว่า ไม่มี เมื่อความจริงมันมีอยู่ แล้วคิดว่าไม่มี ก็เท่ากับว่า เป็นคนโง่ เมื่อเป็นคนโง่ ไร้ปัญญา เมื่อตายไปจึงต้องไปเกิดในเหล่าสัตว์ที่ไร้ปัญญา สัตว์ที่ไร้ปัญญาก็คือสัตว์ติรัจฉาน หรือคนเห็นผิดดังกล่าวอย่างเบา ตายไปเขาจะไปเกิดเป็นคนโง่เซอะตามป่าตามเขา เช่นพวกผีตองเหลือง พวกเงาะ เป็นต้น

     ถ้าเห็นผิดอย่างกลาง จะเกิดเป็นสัตว์ติรัจฉาน
     แต่ถ้ามีความเห็นผิดอย่างรุนแรง ใครแนะนำไม่ได้ เมื่อฟังคนพูดเรื่องนี้ ก็ประณามเขาว่า โง่ งมงาย คนชนิดนี้ตายไปจะไปเกิดเป็นสัตว์ติรัจฉานในโลกมืด คือ เกิดเป็นหนอน เป็นไส้เดือน เป็นหอย เป็นทาก เป็นต้น
     นี่คือผลของความเห็นผิด ที่พระพุทธองค์เปิดเผยให้พวกเรารู้

     ดังนั้น จึงสรุปว่า ความดีความชั่วต้องระบุให้เห็นชัดในปัจจุบัน ไม่เอาผลในอดีตมาพูด กล่าวคือ คนดีหรือคนชั่วดูได้ ที่การกระทำ ทางกาย 3 ทางวาจา 4 และทางใจ 3 ด้วยประการฉะนี้



ผู้เขียน : รศ.ทวี ผลสมภพ
ที่มา : มติชนรายวัน
เผยแพร่ : 11 ก.ย. 59
ขอบคุณภาพและบทความจาก : http://www.matichon.co.th/news/281057
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 12, 2016, 08:43:01 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ