ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตามรอยพระพุทธเจ้า “ลัคเนา-สาวัตถี” วัดเชตวัน แดนธรรมแห่งมหาศรัทธาอันน่าทึ่ง.!  (อ่าน 1647 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ศรัทธาจากชาวพุทธที่มีต่อวัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย

ตามรอยพระพุทธเจ้า “ลัคเนา-สาวัตถี” วัดเชตวัน แดนธรรมแห่งมหาศรัทธาอันน่าทึ่ง!
โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)

“ดูก่อนพระอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยังเจดีย์ 4 สถาน เหล่านั้นแล้ว มีจิตเลื่อมใส ชนเหล่านั้นทั้งหมด เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุขคติโลกสวรรค์”
       
       จาก : มหาปรินิพพานสูตร
       
       สำหรับชาวพุทธแล้ว การได้ตามรอยพระพุทธเจ้าไปสักการะ“สังเวชนียสถาน 4 ตำบล” อันได้แก่ สถานที่ประสูติ(ลุมพินี) ตรัสรู้(พุทธคยา) ปฐมเทศนา(สารนาถ) และปรินิพพาน(กุสินารา) ในประเทศอินเดีย-เนปาล ถือเป็นหนึ่งในมงคลสูงสุดของชีวิต


อานันทโพธ์ ต้นโพธิ์อายุกว่า 2,500 ปี ตั้งแต่สมัยพุทธกาล

        นอกจากสังเวชนียสถาน 4 แล้ว ในอินเดียยังมีพุทธสถานสำคัญๆ นับจากอดีตตั้งแต่สมัยพุทธกาลตกทอดมาจนถึงปัจจุบันอีกหลากหลายให้พุทธศาสนิกชนได้ไปสักการะ
       
       หนึ่งในนั้นก็คือเมือง “สาวัตถี” ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองหลักของทริปแสวงบุญ “ตามรอยพระพุทธเจ้า : อินเดีย-เนปาล” ของผมและคณะในทริปนี้กับเส้นทางทัวร์วงรอบ “ลัคเนา-สาวัตถี-ลุมพินี-กุสินารา-ลัคเนา” โดยมี “พระครูนิโครธบุญญากร” หรือ “ดร.มหาน้อย”(ดร. พระมหาปรีชา กตปุญฺโญ) เจ้าอาวาสวัดไทยนิโครธาราม-เนปาล ผู้มากไปด้วยความรู้ทั้งทางธรรมและทางโลก มาเป็นพระวิทยากรกิตติมศักดิ์บรรยายให้ทั้งข้อมูลความรู้อย่างลึกซึ้ง


“พระครูนิโครธบุญญากร” หรือ “ดร.มหาน้อย”

        นอกจากนี้ ดร.มหาน้อย ยังสอดแทรกหลักธรรมคำสอนและคติเตือนใจให้แก่ชาวคณะเราไปตลอดทั้งทริป
       
       สาธุ...

       
       ลัคเนา

ทิวทัศน์ตัวเมืองลัคเนา

        จากเมืองไทย(สนามบินสุวรรณภูมิ) เราเดินทางสู่เมืองลัคเนา ประเทศอินเดีย ที่ถือเป็นจุดตั้งต้นของเส้นทางทัวร์แสวงบุญตามรอยพระพุทธเจ้าในทริปนี้
       
       “ลัคเนา”(Lucknow) เป็นเมืองเอกแห่งรัฐอุตตรประเทศ หรือ รัฐยูพี (Uttar Pradesh : UP) ลัคเนานอกจากจะเป็นเมืองใหญ่ในอันดับต้นๆของอินเดียที่กำลังโตวันโตคืนแล้ว ยังเป็นประตู(เมืองชุมทาง)สำคัญสู่สังเวชนียสถานแห่งอินเดียเหนือ-เนปาล อันได้แก่สถานที่ประสูติ(ลุมพินี-เนปาล) และสถานที่ปรินิพพาน(กุสินารา-อินเดีย) ซึ่งปัจจุบันจากบ้านเรามีสายการบิน “ไทยสมายล์” บินตรงสู่ “กรุงเทพฯ-ลัคเนา” และ “ลัคเนา-กรุงเทพฯ”


บรรยากาศเมืองลัคเนายามราตรี

        เมืองลัคเนามีหลายฉายาให้เรียกขาน ไม่ว่าจะเป็น“เมืองอาหรับราตรี”, “สุวรรณภูมิแห่งบูรพา”,“คอนแสตนโนเปิลแห่งอินเดีย” และ“เมืองเจ้าอาหรับ” ซึ่งต่างก็สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองนี้ โดยเฉพาะกับงานศิลปกรรมสถาปัตยกรรมผสมแบบฮินดู-มุสลิม(แบบเปอร์เซีย)-ยุโรป และแบบ“มุสลิมโมกุล”ที่เป็นชื่อเรียกขานเฉพาะตัว

บารา อิมามบารา หรือ อัครมัสยิด หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์แห่งเมืองลัคเนา

        สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ในระดับไม่ควรพลาดของลัคเนานั้นก็มี“บารา อิมามบารา”(Bara Imambara) หรือ“อัครมัสยิด” อันสวยงามคลาสสิกและยิ่งใหญ่อลังการรวมถึงมี“รูมิ ดะร์วาซา”(Rumi Darwaza) หรือ “ประตูเตอร์กิซ” ประตูเมืองโบราณเก่าแก่อันงดงามเป็นเอกลักษณ์
       
       และ “อนุสรณ์สถาน ดร.อัมเบดการ์”(Ambedkar Memorial Park)อันสวยงามอลังการกับการจารึกเรื่องราวอันน่าทึ่งของชายนักสู้ชนชั้น“จัณฑาล”(พวกนอกวรรณะ) ที่ต้องต่อสู้กับความยากลำบากอย่างหนักหนาสาหัสตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ก่อนจะได้รับการยกย่องสดุดีให้เป็น “บิดาแห่งอินเดียสมัยใหม่” อันถือเป็น 1 ใน 5 วีรบุรุษคนสำคัญของอินเดียยุคใหม่ เฉกเช่นเดียวกับท่าน “มหาตมะ คานธี” มหาบุรุษนักต่อสู้ในแนวสันติอหิงสาคนสำคัญของโลก และท่าน “เนห์รู”(ยาวาหะราล เนห์รู)นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย


อนุสรณ์สถาน ดร.อัมเบดการ์

        สาวัตถี
       
       เมืองลัคเนาอยู่ห่างจากสาวัตถีไปทางทิศตะวันออกประมาณ 175 กิโลเมตร สภาพถนนในบางช่วงมีลักษณะเป็นถนน“ลาดยางหมด” คือยางที่ลาดทับหน้าถนนนั้นหมดไปนานแล้ว รถบัสที่เรานั่งไปจึงต้องค่อยวิ่งโขยกเขยกไปในอารมณ์ “สโลว์รถ-สโลว์ไลฟ์” ไปตามสไตล์อินตระเดีย
       
       ท่าน ดร.มหาน้อย บอกว่า เวลานั่งรถในอินเดีย เราไม่ต้องทำอะไรมาก ขอให้“ทำใจ”อย่างเดียว ส่วนใครถ้าไม่ได้นั่งหลับบนรถ ลองนั่งสังเกตวิถีการขับรถของชาวอินเดียดูก็ถือว่าน่าอะเมซิ่งไม่น้อย คือถึงแม้พวกเขาจะขับกันอย่างหวาดเสียวและบีบแตรกันสนั่นระรัวปรู๊น ปร๊าน ไปตลอด แต่กลับไม่มีเรื่องมีราวทะเลาะเบาะแว้ง ชี้หน้าด่าพ่อล่อแม่ ชกต่อย หรือหนักขนาดถึงขั้นยิงกันตายแบบบ้านเรา

วิถีชีวิตชาวบ้านที่เมืองสาวัตถี

        จากลัคเนา ผมนั่งรถไปแบบหลับๆตื่นๆ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงก็มาถึงยังเมืองสาวัตถี ที่วันนี้มีฐานะเป็นอำเภอ กับบรรยากาศของเมืองชนบทเล็กๆของอินเดีย
       
       สาวัตถี(Sravasti-ภาษาบาลีเรียก “สาวัตถี” ภาษาสันสกฤตเรียก“ศราวัสตี”) ในอดีตเป็นเมืองหลวงของ“แคว้นโกศล”ที่มีพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ และมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นหนึ่งใน 16 แคว้นอันยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีป
       
       เมืองสาวัตถีในสมัยพุทธกาล ที่มี“พระเจ้าปเสนทิโกศล” เป็นผู้ปกครองแคว้นโกศล พระองค์เป็นผู้ที่ให้ความเคารพนับถือพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมาก


สาวัตถีเมืองอีกหนึ่งเมืองสำคัญทางพุทธศาสนาของอินเดีย

        สาวัตถีในยุคนั้นนอกจากจะมีพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองแล้ว ยังเป็นหนึ่งในเมืองที่มีความสำคัญทางพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และในหลายประการด้วยกัน(ใครที่เคยอ่านพุทธประวัติในช่วงท้ายๆจะปรากฏเรื่องราวเมืองสาวัตถีอยู่มากพอสมควร) ไม่ว่าจะเป็น
       
       -เมืองที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทับจำพรรษาอยู่ยาวนานที่สุดถึง 25 พรรษา(พระพุทธองค์เผยแผ่ประกาศพระพุทธศาสนาอยู่ 45 พรรษา)


สถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์

        -เมืองที่แสดง “ยมกปาฏิหาริย์”ปาฏิหาริย์สำคัญครั้งสุดท้ายแห่งองค์พระศาสดา(ซึ่งผมจะเขียนบอกเล่านำเสนอในโอกาสต่อไป)
       
       -เมืองที่ปรากฏเรื่องราวของ“องคุลิมาล” มหาโจรที่สุดท้ายกลับตัวกลับใจจนได้เป็นพระอรหันต์
       
       -เมืองที่พระเทวทัต นางจิญจมาณวิกา และนันทมานพถูกธรณีสูบ(ในสมัยพุทธกาลมีผู้ที่คิดร้ายต่อพระพุทธเจ้าและพระพระสาวก 5 คน ด้วยกัน)


แอ่งน้ำ บริเวณที่เชื่อว่านางจิญจมาณวิกา ถูกธรณีสูบที่นี่

        นอกจากนี้สาวัตถียังเป็นเมืองที่มหาอุบาสิกาผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง คือ“นางวิสาขา” ได้สร้าง “วัดบุพพาราม” ถวายแด่พระพุทธเจ้าอันเป็นวัดที่พระพุทธองค์ได้เสด็จมาประทับจำพรรษาอยู่ 6 พรรษา
       
       และเป็นเมืองที่มหาอุบาสกผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง คือ “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” ได้สร้าง “วัดพระเชตวันวรมหาวิหาร”ที่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญทางการท่องเที่ยวของเมืองสาวัตถี ที่นักแสวงบุญผู้มาเยือนเมืองนี้ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
       
     
       (อ่าานต่อด้านล่าง)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 13, 2017, 11:39:20 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29399
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ซากโบราณสถาน รอยอดีตอันรุ่งโรจน์ของวัดเชตวัน

        วัดเชตวัน

        “วัดพระเชตวันวรมหาวิหาร”หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า“วัดเชตวัน” ในสมัยพุทธกาลวัดแห่งนี้เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุด(สูง 7 ชั้น) และเป็นมีความสำคัญที่สุด เนื่องจากพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับจำพรรษาอยู่ถึง 19 พรรษา ทำให้มีเรื่องราวสำคัญๆต่างเกิดขึ้นที่วัดแห่งนี้มากมาย
       
       วัดเชตวัน เป็นวัดที่มหาอุบาสก อนาถบิณฑิกเศรษฐี สร้างถวายแด่พระพุทธองค์ด้วยความศรัทธายิ่ง ตามตำนานในพุทธประวัติได้กล่าวเอาไว้ว่า


เส้นทางเดินตามรอยธรรมแห่งพระพุทธองค์ในวัดเชตวัน

        ...มหาเศรษฐีแห่งกรุงสาวัตถีชื่อ“สุทัตต์” ผู้ใจบุญ ได้ตั้งโรงทานเลี้ยงอาหารและบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือคนอนาถาผู้ยากไร้อยู่เสมอ จึงได้รับการเรียกขานให้เป็น “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” ที่แปลว่าเศรษฐีผู้มีก้อนข้าวเพื่อคนอนาถา
       
       ครั้งหนึ่งอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้เดินทางไปค้าขายที่กรุงราชคฤห์และได้พบกับพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดา เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพุทธธรรมอย่างยิ่ง จึงได้ทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เสด็จไปประทับจำพรรษาที่กรุงสาวัตถี โดยอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ขอซื้อพื้นที่ป่าไม้ของ “อุทยานเชตวัน”(สวนเจ้าเชต) จาก“เจ้าชายเชต” พระญาติของพระเจ้าปเสนทิโกศล


วัดเชตวัน อีกหนึ่งแดนธรรมแห่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา

        เจ้าชายเชตแม้ไม่เต็มใจ แต่ก็พูดอย่างเสียไม่ได้ว่า ถ้าท่านเศรษฐีสามารถนำเหรียญกหาปณะ(บางตำนานว่าเป็นเหรียญเงิน บางตำนานว่าเป็นเหรียญทอง โดย 1 กหาปณะ เท่ากับ 1 ตำลึง หรือ 4 บาท) มาวางเต็มพื้นที่ที่จะสร้างวัดจึงจะขายที่ให้
       
       อนาถบิณฑิกเศรษฐีเมื่อได้ฟังก็ดีใจ จึงนำเหรียญกหาปณะมาวางเกือบเต็มพื้นที่ เหลือเพียงพื้นที่บางส่วน สุดท้ายเจ้าชายเชตเห็นถึงพลังอันศรัทธาอย่างแรงกล้าของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงยอมลดราคาขายที่ให้ เป็นเงินเท่ากับ 18 โกฏิกหปาณะ(1 โกฏิ เท่ากับ 10 ล้าน)


วัดเชตวัน อีกหนึ่งแดนธรรมแห่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา

        หลังจากนั้นอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ใช้เงินอีก 18 โกฏิกหปาณะ สร้างมหาวิหาร และเงินอีก 18 โกฏิกหปาณะ ทำการเฉลิมฉลอง รวมแล้วอนาถบิณฑิกเศรษฐีใช้เงินในการสร้างอารามที่กรุงสาวัตถีไปทั้งสิ้น 54 โกฏิกหปาณะ พร้อมทั้งได้ตั้งชื่ออารามแห่งนี้ตามชื่อเจ้าของว่า “วัดพระเชตวันวรมหาวิหาร”...
       
       รอยอดีตแห่งมหาศรัทธา


วัดเชตวัน อีกหนึ่งแดนธรรมแห่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา

        หลังผ่านความเจริญรุ่งโรจน์เป็นอย่างยิ่งในสมัยพุทธกาล หลังจากนั้นในยุคต่อมาวัดเชตวันก็ถึงกาลล่มสลาย เมื่อถูกกลุ่มคนในศาสนาอื่นรุกรานทำลายหมดสิ้นในราวปี พ.ศ. 1671
       
       ปัจจุบันวัดเชตวัน ได้รับการบูรณะฟื้นฟูให้เป็นหนึ่งในโบราณสถาน(พุทธสถาน)สำคัญแห่งเมืองสาวัตถี ที่มีเนื้อที่กว้างขวางกว่า 90 ไร่ ภายในเขตโบราณสถานวัดเชตะวัน(ที่มีเจ้าลิงจ๋อปรากฏอยู่ในหลายจุดของวัด) แบ่งเป็น(ซาก)อาคาร และกลุ่มอาคารต่างๆ ที่สำคัญๆก็มี


วัดเชตวัน อีกหนึ่งแดนธรรมแห่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา

        -“กเรริกกุฎิ”(กะ-เร-ริ-กะ-กุด-ติ) ที่เปรียบได้กับพระอุโบสถ เป็นที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้โอวาทแด่พระภิกษุ(ผู้บริสุทธิ์)
       
       -“แท่นแสดงธรรมและห้องฟังธรรม” ของพุทธอุบาสก-อุบาสิกา ซึ่งในสมัยพุทธกาลเจ้าพระพุทธเจ้าจะเทศน์แยกกันระหว่างฆราวาสกับบรรพชิต


ซากโบราณสถาน รอยอดีตอันรุ่งโรจน์ของวัดเชตวัน

        -“เจดีย์อรหันต์ 8 ทิศ” มีลักษณะเป็นซากเจดีย์ทรงกลม
       
       -“ธรรมราธิการ” หรือสถานที่ตัดสินคดีความเปรียบได้ดังศาล(มี 2 ศาล คือ ศาลชั้นต้น-ศาลฎีกา) ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นพระประธาน ร่วมด้วยคณะลูกขุนที่เป็นพระอัครสาวก พระเถระ พระอรหันต์ และอุบาสก-อุบาสิกา ผู้บรรลุโสดาบัน เมื่อตัดสินคดีความสิ้นสุดจะโยนคำตัดสินลงบ่อบาดาลเพื่อไม่ให้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาอีก


ปิดทองที่กุฏิพระสวลี

        -“กลุ่มกุฏิสำคัญ” ของพระอัครสาวก พระอรหันต์ พระเถระ บุคคลสำคัญอันได้แก่ กุฎีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระอนุรุทธ องคุลีมาล และกุฎีพระสิวลีที่อยู่แยกตัวไปไม่ไกล “พระสิวลี”ได้ชื่อว่าเป็นพระแห่งโชคลาภ จึงมีผู้คนนิยมนำทองคำเปลวมาปิดที่ซากอาคารกุฏิของท่าน เพื่อขอในโชคลาภกันเป็นจำนวนมาก

อานันทโพธิ์ ยืนต้นเด่นตระหง่านมากว่า 2,500 ปีที่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี

        นอกจากนี้ภายในวัดเชตวันยังมี 2 จุดไฮไลท์สำคัญ คือ “อานันทโพธิ์” และ “พระมูลคันธกุฏี”
       
       อานันทโพธิ์ หรือ “ต้นโพธิ์พระอานนท์” เป็นต้นโพธิ์ที่พระอานนท์ได้เป็นผู้ดำเนินการปลูก เพื่อเป็นดังสัญลักษณ์แทนพระพุทธองค์


ดร.มหาน้อย นั่งบรรยายใต้ต้นอานันทโพธิ์

        โพธิ์ต้นนี้เป็นหน่อเดียวกับ“ต้นโพธิ์ตรัสรู้”ที่พระพุทธองค์ได้ประทับนั่งตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ที่“พุทธคยา” โดยพระโมคคัลละได้นำจีวรไปรับลูกโพธิ์สุกของต้นโพธิ์ตรัสรู้ที่ยังหล่นไม่ถึงพื้นมาถวายแด่พระอานนท์ แล้วพระอานนท์ได้ถวายให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงปลูก แต่พระเจ้าเจ้าปเสนทิโกศลได้ส่งต่อให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีปลูกอีกที พร้อมกับดำริว่า ความเป็นพระราชามิได้ดำรงคงอยู่ตลอดไป
       
       ตามตำนานเล่าว่า เมื่ออนาถบิณฑิกเศรษฐีวางเมล็ดโพธิ์ลงในหลุม ลูกโพธิ์ก็งอกเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ในทันที


ใบโพธิ์อ่อน หน่อเนื้อที่สืบทอดมาจากต้นโพธิ์ตรัสรู้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล

        ปัจจุบันอานันทโพธิ์ เป็นต้นโพธิ์ที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,500 ปี ที่ยังหลงเหลืออยู่รอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่ละวันจะมีผู้คนเดินทางไปสักการะโพธิ์โบราณต้นนี้ บ้างก็ไปกราบไหว้ บูชา สวดมนต์ นั่งสมาธิ วิปัสสนา ใต้ต้นอานันทโพธิ์ กันเป็นจำนวนมาก

ศรัทธา สงบ เยือกเย็น ใต้ร่มอานันทโพธิ์

        อานันทโพธิ์ที่แผ่กิ่งก้านสยายร่มรื่น แม้จะแผ่กิ่งก้านสาขาแผ่สายร่มรื่น แต่ใต้ต้นโพธิ์กลับไม่มีใบโพธิ์ร่วงหล่นเกลื่อนกลาดให้เห็น เนื่องจากใบโพธิ์ กิ่งโพธิ์ ที่ร่วงหล่นมาจากต้น จะถูกผู้คนที่มาที่นี่เก็บไปบูชา รวมถึงมีคนในพื้นที่คอยเก็บใบโพธิ์ที่ร่วงหล่นขายให้กับนักท่องเที่ยว ใบโพธิ์บางใบ เมื่อปลิดขั้วปลิวหล่นจากต้นยังไม่ทันจะถึงพื้นด้วยซ้ำก็มีผู้ไปรอรับเก็บใบกันกลางอากาศแล้ว
       
       ตัวผมเองเมื่อมีโอกาสได้ไปยืนอยู่ใต้อานันทโพธิ์ที่แผ่กิ่งก้านสยายร่มรื่น เราก็รู้สึกร่มเย็นและสงบนิ่งขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่แดดภายนอกยังคงร้อนเปรี้ยงอยู่


ศรัทธาจากชาวพุทธที่มีต่อพระมูลคันธกุฏี

        จากอานันทโพธิ์ มาปิดท้ายกันที่อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญ คือ “พระมูลคันธกุฏี” อันเป็นกุฏิที่ประทับของพระพุทธเจ้า ซึ่งในตำนานพุทธประวัติระบุว่า เป็นสถานที่ต้นกำเนิด “มงคลสูตร 38 ประการ” ที่พระพุทธเจ้าได้แสดงธรรมอันเป็นมงคลสูงสุดแก่เทวดาและปวงมนุษย์ทั้งหลาย

ศรัทธาจากชาวพุทธที่มีต่อพระมูลคันธกุฏี

        พระมูลคันธกุฏี เป็นซากมหากุฏิที่ประทับของพระพุทธองค์ ตั้งอยู่ในบริเวณกลุ่มกุฏิ 4 หลัง 3 ฤดู ด้านหน้าพระมูลคันธกุฏีมีเจดีย์ทรงกลมเล็กๆ 7 ชั้นตั้งอยู่ ซึ่งวันนี้ถูกปิดทองเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งองค์ เช่นเดียวกับบนฐานพระมูลคันธกุฏีที่ถูกปิดทองเหลืองอร่ามในหลายจุดด้วยกัน

ศรัทธาจากชาวพุทธที่มีต่อพระมูลคันธกุฏี

        ขณะที่พระมูลคันธกุฏีวันนี้แม้จะเหลือเพียงแต่ซากอาคารอิฐเก่า แต่ว่าก็มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมากราบไหว้สักการบูชากันไม่ได้ขาด แสดงให้เห็นถึงพลังแห่งศรัทธาที่มีต่อวัดเชตวันแห่งนี้

ศรัทธาจากชาวพุทธที่มีต่อวัดเชตวัน

        วันนี้แม้วัดพระเชตวันวรมหาวิหาร หรือวัดเชตวันแห่งเมืองสาวัตถี จะเสื่อมสลายหลงเหลือไว้แค่เพียง ซากอาคาร กองอิฐ มูลดิน แต่รอยอดีตของวัดแห่งนี้ยังคงทิ้งเรื่องราวอันวิจิตรเพริศแพร้ว ไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงพลังจากมหาศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ซึ่งนักแสวงบุญจากทั่วโลกต่างเดินทางมาตามรอยพระพุทธเจ้า ให้ธรรมะขัดเกลาจิตใจอันนำไปสู่การตื่นรู้เป็นผู้เบิกบานตามหลักธรรมคำสอนขององค์พระบรมศาสดา
       
       ...สรรพสิ่งต่างๆในโลกหล้า แม้มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แต่คำสอนของพระพุทธองค์ยังคงจริงแท้ และดำรงคงอยู่อย่างจีรังยั่งยืนตลอดไป...


เพื่อนร่วมโลกที่อยู่ร่วมกันในวัดเชตวัน

        เมืองสาวัตถีนอกจากจะมีวัดพระเชตวันวรมหาวิหารเป็นไฮไลท์สำคัญแล้ว เมืองนี้ยังมีพุทธสถานที่สำคัญๆอีกได้แก่ สถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ บ้านของอนาถบิณฑิกเศรษฐี บ้านเกิดขององคุลีมาล(บ้านปุโรหิตย์บิดาองคุลีมาล) และวัดไทยเชตะวันมหาวิหาร (ซึ่งจะนำเสนอในโอกาสต่อไป)
       
       สำหรับการเดินทาง “ตามรอยพระพุทธเจ้า : อินเดีย-เนปาล : ลัคเนา-สาวัตถี-ลุมพินี-กุสินารา-ลัคเนา” จากเมืองไทยบินตรงสู่เมือง “ลัคเนา” เมืองหลวงแห่งรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเมืองอื่นๆเป็นวงรอบ



ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
http://manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9600000036268
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ