นิทานเรื่อง บัณฑิตจอบเหี้ยน บวช ๗ ครั้งบรรลุอรหันต์
โดย พระมหามนตรี ขนฺติสาโร ป.ธ. ๙ ; พ.ม. ; พธ.บ. (ครุศาสตร์); M.A. (English)
เล่ากันมาว่า กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง โคของเขาหายไปตัวหนึ่ง จึงไปเที่ยวหา พบโคตอนเที่ยงวันแล้วปล่อยให้เข้าไปในฝูง คิดว่า “จักได้อาหารรับประทานที่วัดนี้” ด้วยความหิว จึงเข้าไปหาพระไหว้แล้วได้ยืนอยู่ในวัดนั้น
เวลานั้น เมื่อพระภิกษุทั้งหลายกระทำภัตกิจแล้ว ยังมีอาหารเหลืออยู่อีกมากมาย พระภิกษุทั้งหลายจึงเรียกให้เขาเข้าไปรับอาหารเอาไปรับประทาน เขาเห็นอาหารเหลืออยู่มากมาย จึงถามว่า “วันนี้พระภิกษุทั้งหลายไปงานนิมนต์ของชาวบ้านมาหรือจึงมีอาหารมากมายอย่างนี้” ได้รับคำตอบว่า “ในวัดนี้มีอาหารเหลืออยู่มากมายอย่างนี้เป็นปกติ โยม” เขาคิดว่า “เราทำงานตัวเป็นเกลียว ตั้งแต่เช้าจนค่ำ ยังได้อาหารพอเพียงแต่ยังท้องให้อิ่มได้เท่านั้น แต่พระภิกษุทั้งหลายอยู่กันอย่างสุขสบาย มีอาหารฉันเหลือเฟือ เออ ถ้าเป็นเช่นนี้ เราน่าจะเข้ามาบวชเป็นพระบ้าง คงจะดีละ” รับประทานอารหารอิ่มแล้ว จึงเข้าไปหาพระสังฆเถระ แล้วกราบเรียนว่า “กระผมจะขออนุญาตบวชเป็นพระได้ไหม” ได้รับคำตอบว่า “ถ้าคุณโยมมีศรัทธาปสาทะใคร่จะบวช ก็บวชได้นี่นา” เขาจึงได้บวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
หลายวันต่อมา เขามีร่างอ้วนพีขึ้นจากอาหารบิณฑบาตที่ชาวบ้านถวายมา เริ่มจะเบื่อหน่ายในสมณเพศ จึงขอลาสิกขาเป็นคฤหัสถ์ต่อไป
หลายวันต่อมา เขาเบื่อหน่ายชีวิตของคฤหัสถ์ จึงเข้าไปขอบวชอีก ไม่นานก็ลาสิกขา วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ถึง ๖ ครั้ง เพราะฉะนั้น เขาจึงได้รับนามขนานว่า “จิตตหัตถะเถระ (พระเถระผู้มีจิตอยู่ในมือ)” เมื่อลาสิกขาออกมาเป็นครั้งที่ ๖ แล้ว ภรรยาก็ตั้งครรภ์ วันหนึ่งหลังจากเขาไปทำนากลับมาบ้านเวลาหลังเที่ยงวัน วางสิ่งของลงแล้ว ก็เข้าไปสู่ห้อง ด้วยคิดว่า “เราจักไปนำเอาผ้ากาสาวะของตนมา”
ขณะนั้น ภรรยาผู้มีครรภ์อยู่กำลังนอนหลับอยู่ภายในห้อง ผ้าผ่อนหลุดลุ่ย น้ำลายไหลออกจากปาก หายใจเข้าออกจมูกดังครืดคราด ๆ นอนอ้าปาก กัดฟันกรอด ๆ เวลานั้นนางปรากฏดังซากศพขึ้นอืด เขาถือเอาผ้ากาสาวะเดินไปวัด พิจารณาอยู่ว่า “ร่างกายของภรรยานี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เราบวชอยู่ตลอดกาลเท่านี้ อาศัยร่างกายของภรรยานี้ จึงไม่สามารถจะดำรงความเป็นพระภิกษุอยู่ได้” เอาผ้ากาสาวะพันท้องเดินออกจากเรือนไป
เวลานั้นแม่ยายของเขาแลเห็นบุตรเขยถือเอาผ้ากาสาวะเดินออกจากเรือนไป จึงเข้าไปในห้องของลูกสาว แลเห็นลูกสาวนอนเปลือยกาย จึงใช้มือตบลูกสาวเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “อีนางกาฬกัณณี เพราะเห็นแกนอนเปลือยกายอยู่อย่างนี้ รู้ไหม ผัวของแกฉวยเอาผ้ากาสาวะหนีจากแกไปบวชเสียแล้ว”
ลูกสาวจึงบอกแม่ว่า “แม่จ๋า ผัวของดิฉันจะไปบวชได้สักกี่วัน ประเดี๋ยวก็ต้องกลับมาหาลูกอีก เชื่อเถอะ แม่จ๋า เขามีสันดานอย่างนี้มานานแล้ว ลูกรู้ทันเขาละ”
เขาเดินพิจารณาไปว่า “อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่เป็นตัวของตัวเอง” จิตดิ่งเป็นเอกัคคตา ได้บรรลุโสดาปัตติผล แล้วเข้าไปหาพระสังฆเถระ ขออนุญาตบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา
พระสังฆเถระบอกว่า “เธอบวชอยู่ไม่นานแล้วก็ลาสิกขา จากนั้นก็มาบวชอีก บวช ๆ สึก ๆ อยู่อย่างนี้ ไม่เอาแล้ว รำคาญจริง ๆ”
เขาวอนขอแล้ว ๆ เล่า ๆ ด้วยความที่เขาเป็นผู้มีอุปการคุณต่อพระภิกษุทั้งหลายภายในวัด จึงได้รับอนุญาตให้บวชอีก บวชแล้วเพียรพยายามเจริญสมาธิภาวนาก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พระภิกษุทั้งหลายเห็นพฤติกรรมของเธอมาตั้งแต่ต้น ใคร่จะทราบความเป็นมาในอดีตชาติของเธอ จึงกราบทูลวิงวอนขอทราบเรื่องนี้จากพระศาสดา พระพุทธองค์จึงทรงนำเรื่องราวในอดีตมาตรัสเล่าว่า
ในอดีตกาล บัณฑิตคนหนึ่งบวชเป็นฤษีอยู่ที่หิมพานต์นาน ๘ เดือน พอถึงหน้าฝน พื้นดินชุ่มชื่น จึงคิดว่า “ในเรือนของเรา มีข้าวฟ่างและลูกเดือยประมาณ ๘ ทะนาน มีจอบเหี้ยนอยู่ เราละเพศฤษีไปเป็นคฤหัสถ์จะดีกว่า” จากนั้นเขาไถนา หว่านข้าวฟ่างและลูกเดือย พอออกผล ก็เก็บเกี่ยวเอาไว้ในยุ้งฉาง ขายส่วนที่เหลือไป จากนั้นคิดว่า “ยามนี้ว่าง เราไปบวชเป็นฤษีดีกว่า” จึงไปบวชเป็นฤษีนาน ๘ เดือน แล้วก็ละเพศฤษีไปเป็นคฤหัสถ์อีก บวช ๆ สึก ๆ อยู่อย่างนี้ถึง ๖ ครั้ง เขาบวชเป็นฤษีในครั้งที่ ๗ แล้วคิดว่า “เราอาศัยข้าวฟ่างและลูกเดือย และจอมเหี้ยน จึงละเพศฤษี แล้วก็บวชเป็นฤษีอีก เอาละ ต่อจากนี้ไป เราจะไม่เห็นของพวกนี้อีก”
จึงเอาผ้าห่อข้าวฟ่างและลูกเดือย ผูกติดกับปลายจอบเหี้ยน เดินมุ่งหน้าไปที่ฝั่งคงคา หลับตา ชูสิ่งของขึ้นเหนือศีรษะ หมุนตัว ๓ รอบ แล้วขว้างสิ่งของทิ้งลงไปในน้ำ ตะโกนลั่น ๓ ครั้งว่า “ชิตํ เม (เราชนะแล้ว) ชิตํ เม (เราชนะแล้ว) ชิตํ เม (เราชนะแล้ว)” ขณะนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล หลังจากยกทัพไปปราบข้าศึกศัตรูแล้ว ยกทัพกลับมาตั้งค่าย ณ บริเวณใกล้กับสถานที่มีการแสดงพระธรรมเทศนาอยู่นั่นแล ได้สดับเสียงของพราหมณ์นั้นว่า เราชนะแล้ว ๆ ๆ ก็ทรงสงสัยอยู่ว่า เราปราบข้าศึกศัตรูจนราบคาบแล้ว กลับมา แต่ไฉนเจ้าคนนี้จึงตะโกนว่า เราชนะแล้ว ๆ ๆ ด้วยความสงสัยจึงใช้ให้คนไปเรียกพราหมณ์นั้นมา สอบถามได้ความว่า ที่เขาร้องว่า เราชนะแล้ว ๆ ๆ เพราะเขาสามารถเอาชนะโจรภายในคือกิเลสได้
เรื่องนี้มาธรรมบท อรรถกถา (ธ.อ. ๒/๑๓๓-๑๔๐).
ที่มา http://www.watpaknam.org/knowledge/view.php?id=7