ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ถาม การทบทวนที่ พอจ กล่าวอคือ อะไร  (อ่าน 2169 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7283
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
ถาม การทบทวนที่ พอจ กล่าวอคือ อะไร
« เมื่อ: เมษายน 01, 2018, 06:30:13 am »
0
ถาม การทบทวนที่ พอจ กล่าวอคือ อะไร

ตอบ......

ขณะเข้าสมาธิ ก็ได้รับกระแสจิต จากหลายท่านส่งเข้ามาหา ในเมื่อวานนี้ก็ได้รับกระแสจิต ที่ปรากฏจนเป็นนิมิต ในเวลา 10.30 น. หนึ่งท่าน ก็นับว่า จิตฝึกได้ดี พอสมควร จึงได้ทำการทักทายไป ให้เป็นที่ประหลาดใจ กันนิดหน่อย

หลายท่านอย่ามัวแต่เพลิดเพลิน ตัววิชากรรมฐานสอนไว้ ในขั้นพื้นฐาน ระดับกลางไว้ มากมายแล้ว ถึงแม้จะไม่โพสต์ ข้อธรรมให้อ่าน ก็ควรรักษามาตรฐานการภาวนาไว้

1. สวด สวดอะไร ?
สวด พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คาถาพญาไก่แก้ว สวดให้เป็นอุปนิสัย สวดจนไม่ต้องรู้ว่าสวดไป เพื่อเรื่องโลกธรรม นั่นแหละสมควรอย่างยิ่ง สวดอย่างนี้เรียกว่า สวดไปสู่ความเจริญ ส่วนคนที่สวด แบบ ขอโน่น ขอนี่ ในโลกธรรม อยู่อันนี้เรียกว่า กำลังใจยังมีน้อยก็ต้อง ขอบ้าง ขอนั่น ขอนี่ ขอบารมีธรรม มาช่วย ขอมาก ๆ ก็ระวังจะหมด คนที่ขออย่างเดียวแต่ไม่สร้างบารมีธรรม ขอมากก็หมด เพราะถอนออกมาใช้อย่างเดียว มันก็จะลำบาก ดังนั้น คนที่สวดขอ ต้องหมั่นสร้างทานบารมีประกอบไปด้วย จะได้ไม่หมด ยามมีเยอะก็ฝากไว้ให้ไม่มาก ยามไม่มี ขอใช้ถอนออกมาช่วยยามลำบาก ไม่ใช่ถอนอย่างเดียว ถอนจนหมดเกลี้ยง มันก็ไม่มีอะไร ช่วย มันก็จะถึงฐานะ ท้อแท้ ว่า ทำแล้วไม่เกิดผล นั่นแหละ บางคนก็ขอเกินตัว ขอให้พ่อ แม่ เพื่อน พี่นอ้ง ขอให้คนนั้นคนนี้ ขอแจกไปอย่างไม่มีรู้จบ ขอทุกวัน นั่นแหละ บารมีหมด ขอเฉพาะตนมันก็ลำบากแล้ว นี่ถ้าขอเผื่อแผ่ ไปเป็นร้อย ๆๆ คนอย่างนี้ หมดเกลี้ยงไม่เหลือ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ มีเมตตาเดินแจกเงิน แจกเท่าไหร่ ถึงจะพอแก่คนทั้งโลก เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ พิจารณาที่ตนเองก่อน แล้วถ้าเหลือแล้วจริงก็พิจารณาคนข้างเคียง แต่อย่าลืมเนื้อนาบุญสำคัญมาก

2. หมั่นภาวนา สมาธิกรรมฐาน
ภาวนาอะไร ก็พระธรรมปีติ เอาให้คล่องแคล่ว ไม่ต้องไป ยุคลธรรมก็ได้ เอาแค่ 5 ฐาน สลับไปมา เข้าคืบ เข้าสับ เป็นอนุโลม เป็น ปฏิโลม เท่านี้ก็เหลือเฟือแล้ว ทำให้ได้ ทำให็เป็น สมาธิ เป็นชม เป็นวัน ใครทำได้น้อย ก็อย่าท้อ เพราะเก่ง ๆ นี่ต้องทำเกิน 24 ชม ถ้าไม่ถึง 24 ชม ในสายตา พอจ ก็คือไม่เก่ง แต่ ได้สักสองสาม ชม ก็ยังอยู่ในสายตา ( ไม่ใช่นอกสายตา ) ใครทำได้แย่แค่ 30 นาที แล้วบ่น ต้องแก้นิสัย ส่วนนี้ ต้องหมั่นเดินจงกรม จตุรธาตุ บ้าง สลับการนั่ง ไม่ใช่นั่งอย่างเดียว บางคนก้เอาแต่นอนดูหนัง ดูละครหมดไปอีกวัน ทุกวันมันก็เป็นอย่างนี้ เกิดชาติหน้าต่อไป มันก็เป็นอย่างนี้ ดังนั้น มันเป็นก็อกสุดท้าย ที่ พอจ จะสอนคนขี้เกียจได้ ก็ต้องให้มาดูลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ในขณะที่ไม่ได้สำเร็จ อุปจาระสมาธิ ถ้าสอนให้อย่างนี้ อันนี้เป็นก๊อกสุดท้ายที่สอนให้คนขี้เกียจ จะพูดอย่างไร มันก็เป็นอย่างนั้น เพราะอย่างน้อยก็ยังมีสติ อยู่บ้าง ไม่ลืมหลง โดยเฉพาะ ไม่ลืมครูอาจารย์ ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญ ก็ยังไม่หลุด แต่ถ้าลืมแล้วมันก็หลุด บางคนสนใจแต่ ขนมเค้ก วันเกิดหมา แต่ไม่เคยใส่ใจในครูอาจารย์ ( มีหลายคนชอบทำแบบนี้ ) ไม่ได้ว่าหรอกนะ แต่มันก็เหมือนทำอะไร โง่ ๆ อยู่ไม่รู้สึกตัว

3. หมั่นเจริญ วิปัสสนา
วิปัสสนา อะไร ถ้าพูดตรง ๆ ก็คือ หมั่นพิจารณา ความแปรปรวน คือ ความไม่เที่ยง ให้มากขึ้น ไม่ว่า ปัจจัย 4 งาน อายุ ชีวิต สารพัด ล้วนแล้ว มีแต่ความไม่เที่ยง พิจารณา ให้ครบ 25 อย่าง เริ่มตั้งแต่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไปเรื่อย ๆ ไม่เข้าใจก็ไปอ่านเอาในหนังสือ อานาปานสติ ปฏิสัมภิทามรรค อ่านให้มันบ่อย ไม่เข้าใจก็อ่านซ้ำ เพราะว่า วิปัสสนา นั้นไม่ใช่เรื่องของคนทั่วไป ปุถุชน ที่จะมาสนใจ วิปัสสนา คนที่จะทำวิปัสสนา มันต้องมีพื้นฐาน 2 ข้อด้านบนมาก่อน มีศีล มีธรรม มีความคิด ความอ่าน มีสติ ดังนั้น คนที่เจริญ วิปัสสนา ส่วนตัวยกนิ้วให้ เพราะว่า ท่านเป็นคนที่ยังอยู่ในทำนอง คลองธรรม ถ้ายังอยู่ในทำนอง ( กระทำตามมรรค ) คลองธรรม ( กระแสพระนิพพาน ) ก็ยังมีโอกาส มากกว่าคนที่ไม่รู้จัก นิพพานเลย นี่ถือว่า มีโชค มีวาสนา อยู่แล้ว ขาดแต่ ความขยัน เท่านั้่น

4. ทำทานบารมี
เรื่องธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา เพราะคนที่ไม่รู้จัก ธรรม ไม่มีจิตปราณีต ไม่มีทางเลยที่จะสละทาน คนที่สละทรัพย์ สละแรงงาน สละเวลา มาช่วยงานธรรมทาน มาช่วยวัตถุทาน นั้นไม่ได้มีมากหรอก โลกนี้ เพราะว่ามันเป็นจิตระดับสูง ไหนเลยใครจะสละทานบารมีให้กับ พระสงฆ์ ที่ไม่ใช่ญาตมิตรได้ สละทรัพย์ ปัจจัย วัตถุ ให้กับญาต พ่อแม่ ถือเป็นเรือ่งธรรมดา ใคร ๆ ก็ทำได้แต่ สละ ทรัพย์ปัจจัยให้พระสงฆ์ นี้ ไม่ใช่เรือ่งที่ใคร ๆ ก็จะทำได้ เพราะ ว่า ปฏิคาหก ที่ดีนั้น ที่เราศรัทธา เคารพ เป็นพระอริยะ ก็หายาก เหลือเกิน การที่จะสละปัจจัยเป็นทานได้ ก็ต้องมีจิตประเสริฐ มาก่อนถึงจะทำได้

ดังนั้น ธรรม 4 ประการ นี้ ศิษย์ จริง ๆ ไม่ควรขาดเลย ไม่ทำมากก็ต้องทำอย่างน้อย เป็นพื้นฐาน เพราะสังสารวัฏ นี้มีความแปรปรวน โอกาสไม่ได้มีแก่ท่าน กันบ่อยนัก โอกาส บุญก็ไม่ได้มีบ่อยนัก

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7283
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
Re: ถาม การทบทวนที่ พอจ กล่าวอคือ อะไร
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: เมษายน 01, 2018, 06:30:40 am »
0
ทบทวน 4 อย่างอย่างนี้ ต้องทบทวนทุกวัน วันไหนทำได้แค่ สองอย่าง ก็คือเสมอตัว ดังนั้น ในวันหนึ่ง ศิษย์ที่ดี ต้องทำให้ได้ อย่างน้อย 3 อย่าง หรือทำได้ ทั้ง 4 อย่าง

แบบฟอรมที่ให้กรอก ตรวจความประพฤติ อุปนิสัยตน อันนั้นสำคัญมาก เพราะถ้าสำรวจตนเองไม่ได้ มันก็หลอกตัวเองทุกวัน หลอกว่า นั่งนอนยืนเดิน มีกรรมฐานแล้ว ดังนั้น แบบฟอร์มความประพฤติ ที่ให้ไว้ ก็เพื่อสำรวจ ว่า เพราะอะไร จึงไม่ก้าวหน้าในการภาวนา นั่นเพราะว่า ทบทวนแล้วไม่เต็ม 100 คะแนน เลย มันก็ภาวนาไม่สำเร็จเสียที ทำขาด ๆ อย่างนี้เสมอ ทำเกินไม่มี ยังไม่เคยเห็นใครทำเกิน เห็นแต่ทำขาด บกพร่องคือไม่ครบเสียมากกว่า

ดังนั้นเปิดสมุดมา บันทึกเรื่องไร้สาระ ทุกข์ นั่้น นี่ เลิกบันทึกซะ หันมาบันทึกการสร้างกุศล ดีกว่า จะดีกว่า บางคนขยันเขียนบันทึกันทุกวันหลายหน้า เขียนแต่ รักคนนั้น เกลี่ยดคนนี้ ซะเป็นส่วนใหญ่ อย่างนี้สำหรับ สายธรรม เลิกบันทึกแบบนี้ กลับมาบันทึก เรือ่ง กุศล ให้เป็นกรรมฐาน ( จาคานุสสติกรรมฐาน และ เทวตานุสสติกรรมฐาน )

เจริญธรรม / เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ