ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความทุกข์ ของ "คนเก่ง"  (อ่าน 903 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ความทุกข์ ของ "คนเก่ง"
« เมื่อ: มิถุนายน 13, 2018, 05:55:50 am »
0



ความทุกข์ ของ "คนเก่ง"

พบกับความเป็น “อกาลิโก” แห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าผ่านเรื่องราวของผู้หญิงเก่งคนหนึ่ง ซึ่งเกิดความทุกข์จากการเรียนในต่างแดนและการถูกคุกคามทางเพศโดยไม่คาดฝัน เธอจะหาวิธีคลายทุกข์ได้หรือไม่ ธรรมะจะรักษาใจเธอได้หรือเปล่า โปรดติดตาม

ความทุกข์ของฉัน เริ่มต้นมาจากการเรียน…พ่อแม่ของฉันมีลูกสามคน ฉันเป็นคนกลางและเป็นลูกผู้หญิงคนเดียวในครอบครัว บ้านของเราเป็นร้านขายยา ตอนเด็กๆพ่อแม่ไม่ได้บังคับหรือใส่ใจเรื่องเรียนของพวกเรามากนัก  เพราะมัวแต่กังวลเรื่องทำมาหากิน

ทว่าในช่วงที่พี่ชายกำลังจะสอบเข้าปริญญาตรี งานของพ่อเริ่มอยู่ตัวจึงมีเวลาดูแลลูกมากขึ้น พ่อพยายามบังคับให้ลูกเรียนในสิ่งที่พ่ออยากให้เรียน คือคณะเภสัชกรรม ในที่สุดฉันจึงต้องสอบเข้าเรียนคณะนี้ตามความปรารถนาของพ่อ แม้จะฝืนใจตัวเองมากก็ตาม


@@@@@@

สองปีแรกของการเรียนเป็นไปอย่างทุลักทุเล แต่เมื่อขึ้นปี 4 และได้ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือคนไข้ ฉันก็เริ่มหลงเสน่ห์คณะนี้เข้าจนได้ สุดท้ายฉันก็เรียนจนจบและได้เห็นพ่อยิ้มแฉ่งด้วยความภาคภูมิใจในวันรับปริญญา

หลังจากทำงานได้ไม่นานฉันก็ตัดสินใจไปเรียนต่อปริญญาโทด้านการตลาดที่ซิดนีย์ประเทศออสเตรเลีย

การใช้ชีวิตในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเรียนในต่างประเทศนั้นยากยิ่งกว่า หลังจากที่ฉันส่งหัวข้อเพื่อทำงานวิจัยเสร็จ ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งก็เดินมาบอกว่างานที่ฉันส่งไป หากปรับโครงสร้างอีกนิดก็จะสามารถต่อยอดไปเรียนปริญญาเอกได้เลย

ความทุกข์เข้ามาเยือนชีวิตของฉันตอนนี้เอง…

@@@@@@

ฉันมีเวลาเพียง 3 เดือนที่จะปรับโครงงานและปรับโมเดลงานใหม่ หากทำไม่สำเร็จก็หมายความว่า ปริญญาโทฉันก็พลาด ปริญญาเอกฉันก็อด และฉันคงต้องกลับบ้านมือเปล่า

ช่วงเวลานั้นฉันคิด คิด และคิดตลอดเวลา ทว่ายิ่งคิด งานก็ยิ่งไม่ออกฉันจึงแบกความเครียดนี้ไปด้วยทุกที่ ไม่ว่าจะกินข้าว คุยกับเพื่อน ไปเรียน เข้าห้องน้ำแม้แต่ตอนนอน ฉันก็ยังไม่สามารถหยุดคิดเรื่องงานที่จะทำได้

ระยะเวลา 3 เดือนจึงรู้สึกนานเหมือน 3 ปี…

เมื่อคิดมากเข้าๆ จนแทบจะกลายเป็นโรคประสาท ฉันจึงลองหาทางออกจากความคิด จู่ๆฉันก็นึกถึงคำว่า “ว่าง” ที่มักแปะไว้ตามท้ายรถบรรทุก แล้วจึงตัดสินใจลองนั่งสมาธิดู เผื่อจะมีโอกาส “ว่าง” และ“หยุด” ได้บ้าง

ดังนั้นตอนไหนที่ “อยากว่าง” ฉันก็จะหันกลับมานั่งสมาธิทุกครั้ง หลังจากนั้นฉันเริ่มหันมากินเจและถือศีล 5 ในวันเกิดและถือศีล 8 ในช่วงเข้าพรรษา

@@@@@@

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ฉันยังคงทำสมาธิทุกวันและเกือบทุกเวลา แล้ววันหนึ่งขณะกำลังอาบน้ำ ฉันก็เกิดอาการ “ปิ๊ง”ขึ้นมา พร้อมกับสามารถเขียนโมเดลออกมาได้ในที่สุด

และแล้วความทุกข์เรื่องการเรียนก็ผ่านไป แต่ความทุกข์อีกอย่างก็มาเยือนจนได้…

วันหนึ่งขณะที่กำลังคุยโทรศัพท์กับเพื่อนอยู่ในห้องพัก พนักงานรักษาความปลอดภัยประจำตึกก็ขึ้นมาเคาะประตูห้องพร้อมกับบอกว่า จะขึ้นมาดูห้องของฉันเพราะจะปรับปรุงตึกใหม่

ฉันเปิดประตูให้เขาเข้ามา ก่อนจะคุยโทรศัพท์กับเพื่อนต่อ และโดยไม่ทันจะรู้ตัวชายคนนั้นก็เดินเข้ามาประชิดตัวจนได้กลิ่นลมหายใจของเขาซึ่งมีแต่กลิ่นเหล้า!

“คุณจะทำอะไร นี่เพื่อนฉันยังอยู่ในสายนะ!” ดูเหมือนเขาจะได้สติ จึงถอยออกไป ก่อนจะยิ้มให้ฉันด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ฉันหวาดกลัว ฉันรีบวิ่งหนีออกจากตึก พร้อมกับร้องไห้โฮออกมา

@@@@@@

ตั้งแต่วันนั้นฉันก็จมอยู่กับอาการหวาดระแวง วันใดเจอคนที่อายุเท่าชายคนนั้นมาใกล้ๆ ฉันจะเริ่มหายใจไม่ออกตัวแข็งเป็นหิน ทำอะไรไม่ถูก

เพื่อนทุกคนช่วยส่งเรื่องไปถึงมหาวิทยาลัยและพาไปแจ้งความ สุดท้ายชายคนนั้นก็ถูกไล่ออก ส่วนฉันถูกส่งตัวไปเยียวยากับจิตแพทย์ซึ่งใช้เวลากว่าสองเดือนอาการจึงดีขึ้น…

หลังเรียนจบและเดินทางกลับประเทศไทย ฉันได้ไปทัวร์ที่ประเทศอินเดียและมีโอกาสได้รู้จักกับ พระอาจารย์นวลจันทร์กิตติปัญโญ ที่นั่น เมื่อกลับมาแล้ว ฉันก็ได้เป็นส่วนหนึ่งของ วงด้วงแมง ซึ่งเป็นทีมนักร้องประสานเสียงธรรมของลูกศิษย์พระอาจารย์

@@@@@@

วันหนึ่งพระอาจารย์ไปเทศนาประกอบเสียงธรรมในงานจิตตนคร ซึ่งจัดขึ้นที่สยามพารากอน ในวันนั้นมีการร้องประสานเสียงเพลง “ครึ่งหนึ่งของชีวิต” ของ คุณเสาว-ลักษณ์ ลีละบุตร และพระอาจารย์ก็ได้พูดถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดว่า “คนเราเกิดมาก็เรียนหนังสือ ชั้นอนุบาล ประถมมัธยม ปริญญาตรี โท เอก หลังจากนั้นก็แต่งงาน มีลูกตาย แล้วเกิดอีก…” ท่านพูดอย่างนี้วนไปวนมาสามรอบ จนฉันต้องถามตัวเองว่า “เราจะเป็นแบบนี้ไปอีกกี่ชาติกัน”

เมื่อเริ่มร้องเพลงประสานเสียง น้ำตาฉันก็ค่อยๆไหลออกมา พร้อมกับเห็นว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมา ฉันมัวแต่ทำทุกอย่างตามโลก พ่อบอกให้เรียนเภสัช ฉันก็เรียน พอทำงานแล้วเห็นว่าวุฒิปริญญาตรีไม่พอจึงดั้นด้นไปต่อโทต่อเอกตามค่านิยมของสังคม…ฉันมัวแต่ค้นหาสิ่งประดับตัวภายนอกจนลืมสำรวจภายในใจตัวเอง

ดังนั้นตั้งแต่นี้ไป ครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เหลือ ฉันจึงขอเดินทางธรรม คำว่า“รักแท้” ในเพลง อาจหมายถึงความรักระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง แต่สำหรับฉัน มันหมายถึงรักของคนคนหนึ่งที่ออกไปค้นหาสัจธรรมความจริง เพื่อช่วยเหลือตนเองและคนอื่นๆ น้ำตาของฉันไม่ใช่น้ำตาจากความทุกข์ หากแต่เป็นน้ำตาแห่งความสุขที่ได้รู้ว่าครึ่งชีวิตที่เหลือ ฉันจะใช้มันอย่างคนที่ค้นพบ “รักแท้” แล้ว

@@@@@@

ตั้งแต่วันนั้นชีวิตฉันก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะภายในใจที่เริ่มเปลี่ยนแปลง ฉันไม่ได้ทุกข์น้อยลงหรือสุขมากขึ้น  เพียงแต่ “ได้ทำความรู้จัก” กับความทุกข์ความสุขมากขึ้นและตัดได้เร็วขึ้นเท่านั้น

จากคนที่เคยให้ค่าตัวเองด้วยการเอาสลิปเงินเดือนมาโชว์พ่อเสมอว่าได้เงินมากแค่ไหน วันนี้คุณค่าของชีวิตฉันไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินอีกแล้ว แต่มันมาจากคุณค่าของงานที่ได้ทำประโยชน์ต่อผู้อื่น

ขอบคุณธรรมะที่ทำให้ฉันได้พบ “รักแท้” ในที่สุด



BY Minou ,20 July 2017
เรื่อง ทานหญ้า  เรียบเรียง ผั่นพั้น 
http://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/30392.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ