ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเซ็งเรื้อรัง เป็นภัยชีวิต ทำให้สุขภาพกายเสื่อมได้คร้า...  (อ่าน 2275 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมวยจ้า

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +40/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 1336
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
หญิงเป็นมากกว่าชาย 4 เท่า


วันนี้ ดูเหมือนไปที่ไหนๆ ก็จะพบผู้คนที่ยิ้มแห้งๆ และบอกว่า "เซ็ง"โดยเป็นที่รู้กันว่า คำว่า "เซ็ง" กินขอบเขตไปถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่ในความหมายของโรคเซ็งเรื้อรังที่มีการพูดถึงมากในวงการแพทย์ขณะนี้คือ กลุ่มอาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง หรือ Chronic Fatigue Syndrome (CFS) ซึ่งในที่นี้ขอเรียกว่าโรคเซ็งเรื้อรัง เพื่อให้เข้ากับยุคสมัย
 

          'เซ็ง' เป็น เรื่องธรรมชาติพวกเราคงเคยมีความรู้สึกเซ็งๆ หรือเบื่อหน่าย อ่อนเพลีย ไม่อยากลุกไปทำงานหรือกิจวัตรประจำวัน เมื่อคิดว่าต้องไปพบกับอะไรกันมาบ้างแล้ว แต่อาการเซ็งของเราจะเป็นๆ หายๆ ตามสภาวะแวดล้อมซึ่งไม่เป็นอยู่นานนัก
 

          ผู้ ที่ป่วยด้วยกลุ่มอาการ "เซ็งเรื้อรัง"ที่ว่านี้จะมีอาการอ่อนเพลียและเหนื่อยอ่อนอยู่เป็นระยะเวลา นาน อาจเป็นเดือน หลายเดือน หรือเป็นปี ภายหลังจากที่ต้องพบกับภาวะเครียดอย่างรุนแรง หรือภายหลังการเจ็บป่วย เช่นไข้หวัดใหญ่ ท้องเดินอย่างแรง เป็นต้นอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงของคนปกติมักจะหายไปภายหลังการได้พัก หรือนอนหลับให้เต็มที่ สัก 2-3 วัน แต่ผู้ที่เป็นโรคเซ็งเรื้อรัง ไม่ว่าจะพักผ่อนขนาดไหนหรือบำรุงร่างกายมากเพียงใด ก็ยังมีอาการอ่อนเพลียอย่างมากอยู่ โดยที่ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้
 

          'เซ็งเรื้อรัง' อาการเกินธรรมดา นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ กล่าวว่าโรคเซ็งเรื้อรัง หรือ CFS นี้ มีผู้รายงานในชื่อของอาการอื่นมานานกว่า 1 ศตวรรษโดยในปี ค.ศ. 1860 นพ.จอร์จ เบียร์ด เรียกชื่อกลุ่มโรคนี้ว่า Neurasthenia โดย เชื่อว่าเป็นโรคประสาทชนิดหนึ่งที่มีอาการอ่อนเปลี้ย เหนื่อยง่ายโดยไม่พบสาเหตุ แพทย์อีกหลายคนวินิจฉัยผู้มีอาการเหล่านี้ว่าเป็นโรคโลหิตจางบ้างหรือน้ำตาล ในเลือดต่ำบางครั้งเลยไปถึงคิดว่า เป็นโรคเชื้อราแคนดิดาทั้งตัวก็มี
 
          ต่อเมื่อวิวัฒนาการทางการแพทย์เลยเจริญขึ้น ในกลางทศวรรษที่ 1980 โรคนี้ถูกขนานนามว่าเป็น "Chronic EBV"โดย เชื่อว่าเป็นกลุ่มอาการที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอ็บสไตน์ บาร์ แต่ในปัจจุบันทฤษฎีนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก เพราะเราสามารถตรวจพบระดับแอนติบอดีของไวรัสอีบีวี ที่เพิ่มขึ้นทั้งในผู้มีอาการและคนปกติ และในทางกลับกันผู้ที่มีอาการกลับไม่พบระดับของไวรัสอีบีวีแอนติบอดี หรือไม่เคยติดเชื้อไวรัสอีบีวีเลย
 
          ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเซ็งเรื้อรัง มักจะมีอาการอย่างรวดเร็ว เริ่มต้นโดยอาการปวดศีรษะ เจ็บบริเวณต่อมน้ำเหลือง ปวดตามข้อและกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย และขาดสมาธิ เป็นอาการที่คล้ายกับไข้หวัดใหญ่แต่คงจะอยู่นานกว่า ส่วนใหญ่จะมีอาการภายหลังการเจ็บป่วยด้วยโรคทางกาย เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบตับอักเสบ บางรายอาจเกิดขึ้นหลังจากมีอาการของโมโนนิวคลีโอซิส หรือโรคจูบ(Kissing Disease) ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้พละกำลังของ วัยรุ่นถดถอยลงไปชั่วระยะหนึ่ง ในบางรายอาการจะค่อยเป็นค่อยไปโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน ผู้ป่วยบางรายบอกว่า เริ่มมีอาการหลังจากพบกับความเครียดมากๆ

 
          น่าแปลกที่ว่า โรคเซ็งเรื้อรังจะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 2-4 เท่า อย่างไรก็ตาม แพทย์ทั่วไปยังคิดถึงโรคนี้น้อยกว่าที่ควร เนื่องจากการวินิจฉัยค่อนข้างยากเพราะมีอาการที่อาจเป็นได้หลายโรคแพทย์ต้อง วินิจฉัยแยกโรคทางกาย ที่มีอาการอ่อนเพลียคล้ายๆ กันไปก่อน เช่นLupus หรือ Multiple Sclerosis ผู้เชี่ยวชาญได้ให้ความเห็นว่า โรคเซ็งเรื้อรังอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของโรคที่เป็นติดต่อกันโดยมีภาวะอ่อนเพลียเป็นอาการสำคัญ
 
          โรคเซ็งเรื้อรังยังไม่มีการรักษาที่เฉพาะลงไปได้ มีการให้ยาต้านไวรัสยาต้านอารมณ์เศร้า ยาเพิ่มภูมิคุ้มกันรวมทั้งการให้อิมมูโนโกลบูลินในขนาดสูงๆ บางรายใช้ยาสงบประสาทพวกBenzodiazepine ร่วมด้วย เพื่อลดอาการวิตกกังวลและช่วยให้หลับ นอกจากนี้ ยังใช้ยาเพื่อรักษาอาการ เช่น ยาระงับปวด หรือยาแก้โรคภูมิแพ้
 
          อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า ผู้ที่มีอาการเรื้อรัง ควรพยายามรักษาสุขภาพของตนเอง รับประทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายพอสมควร ที่จะไม่ให้เกิดอาการอ่อนเพลียอีก ผู้ป่วยควรรู้จักที่จะดูแลตนเองให้เหมาะทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา เพราะความเครียดจะทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น
 
          ในยุคที่ชีวิตแวดล้อมด้วยเรื่อง "ชวนเซ็ง" อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ การรู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง และชวนคนรอบตัวหันไปมองเรื่องดีๆ ที่ให้กำลังใจ ประกอบกับศึกษาหลักความเป็นธรรมดาของโลกน่าจะเป็นวัคซีนที่ดีที่สุดในการ ป้องกันตนเองและคนรอบตัวให้ปลอดภัยจากโรคที่ไม่มียารักษา แต่มีอานุภาพบั่นทอนสุขภาพได้อย่างรุนแรง
 
          เหนือ ขึ้นไปกว่านั้น การคิดและทำในสิ่งที่ดี บนหลักของการไม่เบียดเบียนและให้ความเคารพต่อเพื่อนร่วมสังคมอยู่เสมอ จะช่วยสร้างภูมิต้านทานการแพร่ระบาดของ "โรคเซ็งเรื้อรัง" ให้แก่สังคมไทยของเราทุกคน
บันทึกการเข้า
ถึงเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่ก็ยังสู้ได้อยู่ด้วยตัวคนเดียว
พุทโธ พุทโธ พุทโธ ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึกถึง