บทบาทของพระในอดีต ภาพถ่ายราวสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจาก สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร)
บวชนาค ต้องทำขวัญนาค : ประเพณีของ “นาค” อุษาคเนย์ ที่ไม่มีในอินเดีย-ลังกานาค เป็นคำใช้เรียกคนผู้ชายที่จะขออุปสมบท คือบวชเป็นพระภิกษุ แต่ไม่เคยพบหลักฐานว่า ถ้าคนผู้หญิงขออุปสมบทเป็นภิกษุณีจะมีคำเรียกว่าอะไร.? จะเรียกนาคีไหม.? ประเพณีไทยแต่โบราณนานมาแล้วไม่เรียก พิธีอุปสมบทว่า "บวชคนให้เป็นพระ" แต่เรียกบวชนาค(ให้เป็นพระ)
ในพระวินัยของพระพุทธเจ้าไม่มีเรื่องบวชนาค(ให้เป็นพระ) ฉะนั้นพิธีบวชนาค จึงไม่มีในชมพูทวีป (คืออินเดียโบราณ) แต่เป็นประเพณีพื้นเมืองของภูมิภาคอุษาคเนย์ โดยเฉพาะบริเวณผืนแผ่นดินที่เป็นพม่า (มอญ) เขมร ลาว และไทย
ปัจจุบันที่ลังกามีบวชนาค แต่เขาอธิบายไม่ได้ว่า คือ อะไร.? มาจากไหน.? ชี้ให้เห็นว่า พิธีบวชนาคในลังการับไปจากกรุงศรีอยุธยา เมื่อคราวพระอุบาลี(จากวัดธรรมาราม อยุธยา) รับนิมนต์ไปประดิษฐาน “สยามวงศ์” ที่ลังกาทวีป เมื่อ พ.ศ. ๒๒๙๕
แต่ครั้นไต่ถามความจริงจากผู้คนในอุษาคเนย์แท้ๆ ก็อธิบายไม่ได้ว่า พิธีบวชนาคคือ อะไร.? มาจากไหน.? แล้วพากันโยนกลับไปที่อินเดีย ตามความเคยชินที่ว่า “คิดอะไรไม่ออกบอกว่ามาจากอินเดียไว้ก่อน” ทั้งๆ ที่ในอินเดียไม่เคยมีบวชนาค
ถ้าอย่างนั้น เรามาช่วยกันขุดคุ้ย แล้วค้นคว้าหาร่องรอยทีละน้อยทีละเล็กไปก่อน
@@@@@@นาค-เป็นอะไร.? มาจากไหน.?
นาค (Naga) อยู่ในภาษาตระกูลอินโด-ยุโรป มีรากเดิมมาจากคำว่า นอค (Nog) แปลว่า เปลือย, แก้ผ้า แล้วภาษาอังกฤษรับมาใช้ว่า Naked
เป็นอันรู้แล้วว่านาคไม่ใช่คำไทย-ลาว และไม่ใช่คำมอญ-เขมร แต่ทั้งตระกูลไทย-ลาว กับมอญ-เขมร รับมาใช้ในความหมายว่า งู เพราะงูเป็นสัตว์เปลือยไม่มีขนปกปิด แล้วสร้างจินตนาการเพิ่มเติมต่อมาว่า หัวหน้างูทั้งหลายคือ พญานาค มีถิ่นที่อยู่ใต้ดิน เรียก บาดาล
เมื่อ นาค มาจาก นอค หมายถึง เปลือยหรือแก้ผ้า ต่อมาจึงเป็นคำของพวกมีวัฒนธรรมสูงกว่าที่รู้จักทอผ้านุ่งห่มแล้ว ใช้เรียกพวกมีวัฒนธรรมต่ำกว่า คือยังไม่รู้จักทอผ้านุ่งห่ม ยังเป็นคนเปลือย หรือคนแก้ผ้า อย่างดีก็เอาใบไม้มามัดผูกเป็นเครื่องนุ่งห่ม ดังนิทานกำเนิดรัฐพนันในอุษาคเนย์ที่ตระกูลพราหมณ์(โกณฑัญญะ) มาทางทะเล แล้วปราบปรามชนเผ่าพื้นเมืองที่มีหัวหน้าเป็นผู้หญิง เอกสารจีนเรียก นางลิวเย่ แปลว่า นางใบมะพร้าวคือไม่นุ่งผ้า แต่เอาใบมะพร้าวมาห่อหุ้มร่างกายเท่านั้น
@@@@
นางลิวเย่ ก็คือ นางนาค หมายถึง นางเปลือย นางแก้ผ้า ตามทัศนะของคนภายนอก คือ พวกพราหมณ์จากชมพูทวีป จนที่สุดเรียกคนพื้นเมืองหมดทั้งหญิงและชายอย่างดูถูกและเหยียดหยามว่า นาคทั้งนั้น ไม่มีละเว้น มีตำนานและนิทานพื้นเมืองพูดถึงบ่อยๆ เช่น อุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนม ระบุว่า คนพื้นเมืองบริเวณสองฝั่งโขงที่ยังไม่รู้จักศาสนาจากชมพูทวีปล้วนเป็นนาค
นอกจากมีร่องรอยอยู่ในตำนานและนิทานพื้นเมืองแล้ว คำว่า นาค ที่หมายถึง คนพื้นเมือง คนป่า คนดอย คนดง ยังเหลืออยู่กับชนเผ่ากลุ่มหนึ่งในอินเดีย ทุกวันนี้เรียกตัวเอง(ด้วยคำของคนอื่น) ว่า เผ่านาค มีดินแดนของเองเรียกรัฐนาค(Nagaland) คำอธิบายของจิตร ภูมิศักดิ์ มีอยู่ในหนังสือความเป็นมาของคำสยาม, ไทย, ลาว, และขอมฯ (พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๑๙) ดังต่อไปนี้
@@@@
“พวกนาคเป็นชนชาติส่วนน้อยทางตะวันออกสุดของอินเดียติดพรมแดนพะม่า อยู่ ณ บริเวณเทือกเขานาค (Naga Hills). เดิมเป็นส่วนหนึ่งของอัสสัม. แต่พวกนาคได้ร่วมกันต่อสู้มานานปีจนใน พ.ศ. ๒๕๐๗ ได้มีการยินยอมจากรัฐบาลกลางแห่งสหภาพอินเดียให้จัดตั้งเป็นรัฐนาค (Nagaland) ขึ้น.
ชนเผ่านาคเป็นชนชาติในตระกูลภาษาธิเบต-พะม่า. เป็นชนชาติที่ล้าหลังตลอดมาในอดีต และลือชื่อในประเพณีล่าหัวมนุษย์เช่นเดียวกับพวก ‘วาฮ้าย’ (ละว้าร้าย) ในภาคเหนือของพะม่า. แต่นั่นก็เป็นเรื่องอดีต. ขณะนี้ชนในรัฐนาคเจริญก้าวหน้าไปมากแล้ว.
@@@@
ชาวอารยันยุคโบราณ, สมัยที่ยังไม่เกิดรัฐประชาชาติ, เหยียดหยามดูถูกพวกนาคมาก ถือเป็นมิลักขะพวกหนึ่ง และคำเรียกชื่อชนชาตินี้ก็กล่าวกันว่ามาจากภาษาอัสสัมซึ่งเขียน (naga) แต่ออกเสียงอ่านเป็น นอค (noga) แปลว่า เปลือย, แก้ผ้า. บ้างก็มาจากภาษาฮินดูสตานีว่า นัค (nag) แปลว่า คนชาวเขา.
แต่อย่างไรก็ดี มีนักศึกษาบางคนค้นพบว่า คำว่า นอก (nok) นั้นมีใช้อยู่ในภาษาของชาวนาคตะวันออกบางเผ่า แปลว่า “คน” (ในความหมายว่า people ไม่ใช่ human being) (Peal, อ้างถึงใน Hutton, The Angami Nagas, London 1921, p. 5, ft.)
@@@@
และยังมีผู้อื่นอีกที่ได้ค้นพบว่าคำที่เขาเรียกตนเองว่า นาค (นอค) นั้นแปลว่า คนแข็งแรง. ชนเผ่านาคนั้นเป็นชาตินักสู้ไม่กลัวเสือ และยกย่องความแข็งแรงของร่างกายเป็นอย่างยิ่ง.
ทรรศนะในความงามของเขาขึ้นอยู่กับร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีกล้ามเนื้อและมีความสามารถในการทำงาน. หญิงของชนเผ่านาคออกทำงานเพาะปลูกตามไร่ลาดเขาเคียงคู่กับชาย, บนหลังของเธอมีตะกร้าไม้สานเป็นรูปกลมยาวเหมือน “ก๋วย” (กรวย) ของไตลื้อสิบสองปันนา, บรรทุกของหนักๆ.
@@@@
ในการชมหญิงงาม ชาวหนุ่มนาคจะกล่าวชมว่า ‘เธอมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ สวยเหลือเกิน” แทนที่จะชมว่า “ดวงตาของเธอเหมือนประกายดาวบนท้องฟ้า’ หรืออะไรทำนองนั้น (Dillon Ripley, Roaming India”s Naga Hills, The National Geographical Magazine, Feb. 1955)
ทรรศนะความงามของชนเผ่านาคเป็นความงามที่ผูกพันอยู่กับชีวิตและการทำงาน เป็นความงามที่เผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต ตรงข้ามกับทรรศนะความงามของพวกสังคมกรุงที่มองความงามจากทรรศนะทางกามเป็นแกน ซึ่งมองดูแต่ว่าใครจะอ้อนแอ้น แขนเรียว เอวเล็ก สโพกผาย อกใหญ่ อวบอัด ฯลฯ.
@@@@
ตามความเห็นของข้าพเจ้า ถ้ามองดูปัญหาจากพื้นฐานทางสังคมแล้ว ความหมายของชื่อ นาค (นอค) ที่แปลว่า “คน” น่าจะเป็นความหมายดั้งเดิมที่สุด. เพราะเขาถูกดูถูกเหยียดหยามมานานนับพันปีว่าเป็นคนป่า เป็นลิงค่าง ฯลฯ นั่นเอง เขาจึงได้เรียกตนเองว่า “คน” (นาค) เพื่อยืนยันตอบโต้ผู้ที่ดูถูกเขา.
ปฏิกิริยาตอบโต้เช่นนี้ได้พบอีกในเผ่าอื่น เช่นพวก “คาโร”(Garo) ซึ่งอยู่ทางอัสสัมตะวันตกและเบงกอลเหนือแถบเทือกเขา Garo Hills, เป็นชนตระกูลเดียวกับนาคเหมือนกัน ชนเผ่านี้เรียกชื่อตัวเองว่า มันดี ซึ่งแปลว่า คน เช่นเดียวกับนาค. ชื่อที่เขาประกาศตนเองว่าเป็นคน (มันดี) นี้เป็นชื่อเรียกมานานนมเนแล้ว เพราะมีปรากฏในโยคินีตันตระ เรียกเทือกเขาคาโรที่ชนพวกนี้อาศัยอยู่ว่า ภูเขามันดะ (มนฺท ไศล)
@@@@
ปฏิกิริยาตอบโต้ที่พยายามประกาศตัวเองว่า เราเป็นคนไม่ใช่สัตว์ ; เราเป็นคนสังคม (people), ไม่ใช่คนป่าคนดอย; ดังกล่าวนี้, มีปรากฏขึ้นหลายแห่งหลายชนชาติแม้ในเมืองไทยเรา ดังจะได้เห็นต่อไปข้างหน้า.
แต่อย่างไรก็ดี แม้ชาวนาคจะประกาศว่าเขาเป็น คน(นาค) ชื่อที่เขาประกาศออกมา"นาค" ในที่สุดก็ตกไปอยู่ในภาษาอัสสัม แปลว่า เปลือย, และภาษาฮินดูสตานีว่า นัค แปลว่า คนป่าชาวเขา”.
ขบวนแห่เพื่อนำนาคไปอุปสมบทที่วัด(จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร เขียนสมัยรัชกาลที่ ๕)
คนพื้นเมือง คือ นาค นับถือศาสนาผีนาค ไม่ใช่คำในภาษาพื้นเมืองของภูมิภาคอุษาคเนย์ แต่เป็นคำต่างประเทศ เป็นภาษาตระกูลอินโด-ยุโรปหมายถึงคนเปลือย คนป่า คนดอย คนดง เป็นพวกล้าหลัง คำนี้ติดมากับพวกพราหมณ์จากอินเดียโบราณใช้เรียกคนพื้นเมืองทั้งหมดของอุษาคเนย์ที่ล้าหลังทางเทคโนโลยี (กว่าอินเดีย)
ก่อนการติดต่อกับอินเดียโบราณ บรรดาคนพื้นเมืองในอุษาคเนย์ยังมีไม่มาก และตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนหมู่บ้านกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนที่สูงในหุบเขา และในทุ่งราบตามลำน้ำและแอ่งน้ำที่เป็นห้วย หนอง บึง
คนพื้นเมืองพวกนี้ยังไม่รู้จักศาสนาพุทธ-พราหมณ์ (ฮินดู) แต่ก็มีศาสนาของตัวเองเป็นศาสนาพื้นเมือง เรียกรวมๆ ว่า ศาสนาผี เพราะนับถือผีพื้นเมืองของแต่ละเผ่า และอำนาจเหนือธรรมชาติ
@@@@
ผีพื้นเมืองมีหลายระดับ เริ่มแต่ระดับเล็กๆ คือ ผีเรือน แล้วขยายเป็นผีของหมู่บ้าน เรียก ผีบ้าน จนถึงผีของเผ่าพันธุ์ เช่น ผีฟ้าหรือผีแถน แล้วภายหลังเรียกรวมๆ ว่า ผีฟ้าพญาแถน แต่บางเผ่าพันธุ์นับถือผีเจือง ที่รู้จักแพร่หลายในเอกสารสมัยหลังว่า ท้าวฮุ่งหรือขุนเจือง ของพวกลัวะกับพวกข่า
วัตถุชิ้นสำคัญที่คนพื้นเมืองสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาผีเมื่อราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว คือ กลองทองแดง หรือฆ้องทองแดง ที่รู้จักทั่วไปในชื่อ มโหระทึก มีรูปสัตว์สัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์หลายอย่าง เช่น นก ตะกวด แต่ที่สำคัญคือ กบ เพราะยกย่องเป็นสัตว์ให้น้ำ ทำให้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
@@@@
นอกจากนั้นยังนับถืองูกับตะเข้ ที่เป็นสัตว์เลี้อยคลานอยู่กับน้ำ ยกย่องเป็นพวกบันดาลให้เกิดน้ำท่า และเป็นผู้มีฤทธิ์ขุดคุ้ยควักแผ่นดินเป็นแม่น้ำลำคลองหนองบึงต่างๆ เป็นเหตุให้ทำไร่ทำนา ทำมาหากินได้อิ่มหนำทั้งปี
ผีพวกนี้ติดต่อสื่อสารกับคนได้ โดยผ่านหมอผีที่เป็นผู้หญิง ซึ่งเรียกกันว่า คนทรงหรือร่างทรง ดังนั้นผู้หญิงจึงเป็นหัวหน้า หรือเจ้าของพิธีกรรมเกี่ยวกับผีของเผ่าพันธุ์ ย่อมได้รับยกย่องให้เป็นใหญ่เสมือนหัวหน้าเผ่าพันธุ์นั่นเอง ทุกคนในเผ่าพันธุ์หรือในหมู่บ้านและในท้องถิ่นเดียวกัน ย่อมอยู่ภายใต้อำนาจทางพิธีกรรมของหมอผีที่เป็นผู้หญิง ซึ่งภายหลังมีคำเรียกผู้หญิงว่า เมหรือแม่ แปลว่า ผู้เป็นใหญ่หรือหัวหน้า ต่อมาใช้เรียกสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งว่าแม่ เช่น แม่น้ำ คือ สายน้ำที่ยิ่งใหญ่ แต่บางท้องถิ่นเรียก น้ำแม่ เช่นทางล้านนาเรียก น้ำแม่ปิง เป็นต้น
@@@@
ระบบความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนาผี และถือเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวัน คือ ความเชื่อเรื่องขวัญ คนไทยกลุ่มต่างๆ ที่มีหลักแหล่งอยู่ทั้งในและนอกดินแดนประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน ล้วนมีความเชื่อเหมือนกันมาช้านานแล้วว่า คนเรามีส่วนประกอบสำคัญอยู่ ๒ ส่วนคือ ส่วนที่เป็นตัวกับส่วนที่ไม่เป็นตัวตน
ส่วนที่เป็นตัวตน ได้แก่ร่างกาย และ ส่วนที่ไม่เป็นตัวตน ได้แก่ “ขวัญ” (เอกสารเก่าเขียนว่า “ขวัน”) ซึ่งมีเพียงส่วนเดียว แต่ฝังกระจายอยู่ทั่วทุกแห่งหรือทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่เกิดมา เช่น ขวัญหัว ขวัญตา ขวัญมือ ขวัญแขน ขวัญขา ฯลฯ และมีความสำคัญมากเท่าๆ กับส่วนที่เป็นตัวตนหรือร่างกาย
@@@@
ทั้งยังมีความเชื่อร่วมกันอีกว่า ถ้าขวัญอยู่คู่กับร่างกาย เจ้าของขวัญจะมีความสุขสบาย แต่ถ้าขวัญออกจากร่างกายไป เจ้าของขวัญจะไม่เป็นปกติ อาจเจ็บไข้ได้ป่วยจนถึงตาย
เมื่อใดก็ตามที่เจ้าของขวัญเจ็บป่วยมาก แสดงว่าขวัญไม่ได้อยู่กับตัว ผู้ใหญ่ในครอบครัวจำเป็นต้องจัดพิธีเรียกขวัญให้กลับเข้าสู่ตัว เพื่อความเป็นสิริมงคลและความอยู่ดีมีสุขของเจ้าของขวัญ
ขวัญต่างจากวิญญาณ เพราะคนไทยแต่ก่อนเชื่อว่า แม้เจ้าของขวัญจะตายไปแล้วก็ตาม แต่ขวัญยังมีอยู่ได้ และเมื่อคนตายได้ ๗ วัน ขวัญของผู้ตายจะพยายามหาหนทางกลับเหย้าเรือนเดิมของตน (ครั้นได้รับคติทางพระพุทธศาสนาแล้วความเชื่อก็ปรับเปลี่ยนไปว่าขวัญ จะมีอยู่กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เมื่อคนตายไปแล้วก็ไม่มีขวัญ แต่จะมีวิญญาณแทน ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับพิธีทางศาสนา)
@@@@
สัตว์และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการทำมาหากินของคนล้วนมีขวัญทั้งนั้น เช่น ขวัญวัว ขวัญควาย ขวัญเรือน ขวัญข้าว ขวัญเกวียน ขวัญยุ้ง ฯลฯ
คนไทยมีพิธีกรรมเกี่ยวกับขวัญ เรียกว่าทำขวัญหรือสู่ขวัญ หรือเรียกขวัญในทุกช่วงสำคัญของชีวิต ตั้งแต่เกิดจนถึงวาระสุดท้ายก่อนตาย เพื่อให้ผู้รับทำขวัญพ้นจากความวิตกกังวลหวาดกลัวหรือตกใจ ต่อเหตุการณ์เคราะห์หามยามร้ายและต่อการเปลี่ยนแปลงสู่สภาพแวดล้อมใหม่ หรือเท่ากับสร้างความมั่นใจและมั่นคงอันเป็นสิริมงคลแก่ผู้รับขวัญ
@@@@
เหตุที่ต้องทำขวัญ มีทั้งเหตุดีและเหตุไม่ดี
- เหตุดี เช่น ได้แต่งงาน ได้ลูก ได้ลาภ ได้เลื่อนยศถาบรรดาศักดิ์ รวมทั้งได้บวช ได้ข้าวปลาอาหาร ได้ขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ
- เหตุไม่ดี เช่น ลูกตายเสีย ผัวหรือเมียตายจาก ฝันร้าย รวมทั้งเจ็บไข้ได้ป่วย ฯลฯ
ทำขวัญหรือสู่ขวัญหรือเรียกขวัญเป็นพิธีกรรม ที่แสดงความผูกพันและความสัมพันธ์ในระบบเครือญาติระหว่างบุคคลกับครอบครัว และบุคคลกับชุมชนในสังคมเกษตรกรรม ฉะนั้นพิธีทำขวัญจึงเริ่มจัดให้มีขึ้นอย่างง่ายๆ โดยพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดเท่านั้น
@@@@@@“พุทธ” ปะทะ “ผี” แล้วปราบนาคราว ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ชาวชมพูทวีปที่เป็นพราหมณ์พ่อค้า เป็นนักเผชิญโชค ฯลฯ เดินทางเข้ามาติดต่อกับคนพื้นเมืองในอุษาคเนย์แล้วเริ่มค้าขายกับชาวสุวรรณภูมิ
ตำนานพงศาวดารลังกาบันทึกว่า ต่อมามีพระสงฆ์ ๒ รูป เดินทางมาที่ดินแดนสุวรรณภูมิ แลัวประดิษฐานพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุที่คนพื้นเมืองยังล้าหลัง ทำให้พระกับพราหมณ์ชมพูทวีปเรียกคนพื้นเมืองของสุวรรณภูมิว่า นาค ล้วนเป็นพวกนับถือศาสนาผีมาแต่ดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ การเผยแผ่ศาสนาครั้งแรกๆ จึงไม่ราบรื่น มีการปะทะและขัดแย้งกันทางระบบความเชื่ออยู่นานกว่าจะเป็นที่ยอมรับนับถือทั่วไป
แรกทีเดียว พระสงฆ์จากชมพูทวีปในราชสำนักพระเจ้าอโศก ยังไม่ได้สอนพุทธศาสนาต่อคนพื้นเมืองทั่วไป แต่สอนเฉพาะกลุ่มหัวหน้าเผ่าพันธุ์(Chiefdom)ก่อน เมื่อหัวหน้าเผ่าพันธุ์ยอมรับนับถือแล้วถึงแผ่ขยายไปสู่คนทั่วไปทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างพุทธกับผี
@@@@
ร่องรอยความขัดแย้งระหว่างพุทธกับผีมีอยู่ในตำนานและนิทาน หนังสือสำคัญที่บันทึกเรื่องนี้ไว้ คือ อุรังคธาตุ หรือตำนานพระธาตุพนม จังหวัดนครพนม เล่าว่า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงดินแดนอีสาน ก็พบกับบรรดานาคที่มีอิทธิฤทธิ์ควบคุมพื้นที่อยู่ บรรดานาคไม่ยอมอ่อนน้อมนมัสการแถมยังกระทำอาการอวดอภินิหารข่มขู่ ทำให้พระพุทธเจ้าต้องทรงแสดงปาฏิหาริย์ปราบบรรดานาค จนที่สุดนาคทั้งหลายก็ยอมเข้าหาพระศาสดา มีศรัทธาต่อพุทธศาสนา แล้วทูลขอรอยพระพุทธบาทไว้สักการบูชา
นิทานอย่างนี้มีทั่วไปหมดทั้งภูมิภาค ตั้งแต่พม่า มอญ ไทย ลาว เขมร จนถึงเวียดนาม แต่เรื่องความขัดแย้งสมัยแรกๆ คงไม่ง่ายอย่างนิทานปราบนาค เพราะยังมีนิทานสำคัญอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวข้องกับพิธีบวชนาค แล้ว จิตร ภูมิศักดิ์ อธิบายไว้ในหนังสือความเป็นมาของคำสยามฯ (๒๕๑๙) ดังนี้
@@@@
“ในการบวชเป็นภิกษุของพุทธศาสนา, มีการห้ามมิให้พวกนาคบวช. เล่ากันว่า นาค นั้นคือ พญางูใหญ่ หรือ พญานาค, และว่าพญานาคเคยปลอมตัวเข้ามาบวชด้วย. แต่ภายหลังถูกจับได้จึงถูกขับให้ลาสิกขา, พญานาคจึงขอร้องต่อพระพุทธเจ้าว่า ต่อไปภายหน้าแม้นาคจะบวชไม่ได้ก็ขอให้ผู้ที่กำลังเตรียมตัวเพื่อจะบวชนั้นมีชื่อเรียกว่า นาค, ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของประเพณีเรียกว่า ทำขวัญนาค, ขานนาค, บวชนาค มาในทุกวันนี้.
จากการนี้จึงได้มีการตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ที่จะมาบวชนั้น มิใช่พญานาคหากเป็นคนแน่นอน, ในการบวชจึงมีระเบียบว่า พระคู่สวดสององค์จะต้องพาผู้บวชออกไปสอบสวนนอกประตูพระอุโบสถ ในคำสอบสวนนั้นมีคำถามหนึ่งถามว่า ‘มนุสฺโส สิ"?’ (เจ้าเป็นคนหรือเปล่า).
@@@@
เรื่องปรัมปราที่ว่า พญานาคปลอมมาบวชนั้นตัดทิ้งไปได้.
ทำไม, พระคู่สวดแต่โบราณนั้นดูไม่ออกเจียวหรือ ว่าคนที่มาขอบวชและยืนอยู่ตรงหน้าตนนั้นเป็นคนหรือเปล่า.? และยังไม่ยอมเชื่ออีกหรือว่าผู้มาขอบวชนั้นพูดจาภาษาบาลีกันได้รู้เรื่องขนาดนี้ แล้วยังอาจจะไม่ใช่คน.?
ปัญหามิใช่อยู่ที่ว่าพระคู่สวดไม่รู้ หรือดูไม่ออกว่าสิ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตนนั้นเป็นตัวแมงกะแท้หรือเป็นคน, หากความเป็นจริงอยู่ที่ว่า สังคมอินเดียยุคนั้นมีการเหยียดหยามคนบางเผ่าที่ระดับสังคมล้าหลังให้เป็นผี เป็นลิงค่างบ่างชนี เป็นสัตว์ เป็นยักษ์, ไม่ยอมรับว่าเป็นคนหรือเป็นมนุษย์.
ในยุคพุทธกาลนั้น สังคมอินเดียทั่วไปจะต้องไม่ยอมรับชนเผ่านาคาหรือนาคว่า เป็นคน, คงถือเป็นลิงค่างหรือแมงกะแท้ป่าเถื่อน, แม้จะพูดภาษากันรู้เรื่องก็ยังหายอมรับว่าเป็นคนไม่, ฉะนั้นจึงไม่ยอมรับให้เข้าบวชในพุทธศาสนา.
@@@@
ในสมัยพุทธกาล พุทธศาสนาเผยแพร่อยู่ในบริเวณภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย, นับแต่เนปาลลงไป. ในยุคนั้นชนเผ่านาคคงจะยังไม่ถูกขับไล่จนไปตันอยู่ที่ทิวเขานาคติดพรมแดนพะม่าทั้งหมด คงจะมีกระจายอยู่ในแถบตะวันออกของอินเดียทั่วไป วงการของพุทธศาสนาจึงรู้จักดีและกีดกันพวกนี้ออกนอกความเป็นคน. อันที่จริงพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นสกุลศากยะแห่งนครรัฐกระเป๋ากบิลพัศดุ์ในเขตเนปาลนั้น ก็มิใช่ชาวอารยัน, หากเป็นชนเผ่ามองโกล,
พวกศากยะที่ยังมีอยู่บัดนี้ก็ยังมีใบหน้าและรูปร่างไม่ทิ้งเค้ามองโกลมากนัก, แต่พวกสกุลศากยะคงจะถือตัวว่าเป็นผู้เจริญอย่างเดียวกับอารยัน จึงได้เหยียดหยามพวกนาคลงเป็นอมนุษย์. ประเพณีอันนี้ของสังคมในขณะนั้น จึงได้มีอิทธิพลเข้ามาในพุทธศาสนาด้วย. ในข้อนี้ถ้าหากจะมองพุทธศาสนาแบบงมงาย คือถือว่าไม่มีอิทธิพลของสังคมในยุคนั้นวางปูเป็นพื้นฐานอยู่เลย ก็อาจจะไม่สามารถเข้าใจได้.
@@@@
แต่ถ้ามองพุทธศาสนาเป็นปรัชญาของยุคที่อินเดียกำลังก้าวหน้ามาสู่ยุคศักดินา เป็นปรัชญาที่เกิดขึ้นคัดค้านปรัชญาของศาสนาพราหมณ์อันเป็นหัวใจของชนชั้นปกครองอารยันแห่งยุคสังคมทาส, พุทธปรัชญาเกิดขึ้นคัดค้านปรัชญาของศาสนาพราหมณ์ แต่คัดค้านบนพื้นฐานของสังคมในยุคนั้นและก้าวไปไกลที่สุดเท่าที่สภาพสังคมยุคนั้นจะอำนวยให้ไปได้,
ส่วนหนึ่งก้าวล้ำยุคไปข้างหน้า และก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังคงรับรองความสำนึกขั้นพื้นฐานของสังคมยุคนั้นอยู่, ถ้ามองอย่างนี้จึงจะเข้าใจได้ว่า ทำไมวงการพุทธศาสนาจึงไม่ยอมรับว่า นาคคือคน. และทำไมจึงต้องถามก่อนบวชเสมอว่า เจ้าเป็นคนหรือเปล่า.? (มนุสฺโส สิ).
สาเหตุอยู่ที่ว่า ในความสำนึกพื้นฐานของสังคมอินเดียยุคนั้นไม่ยอมรับเอา homo species ว่าเป็น คน-มนุสโส ทั้งหมดนั้นเอง.! และก็เพราะเหตุนี้ จึงได้มีชนบางเผ่าแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ขึ้นโดยประกาศชื่อเผ่าพันธุ์ทางชีววิทยาของตนออกมาว่า นี่เว้ย ‘คน’.! และบางเผ่าก็ประกาศลักษณะที่มีการจัดตั้งทางสังคมของตนออกมาด้วยว่า นี่เว้ย คนเมือง.!“