ธรรมอันเป็นกำลัง 5 ประการพุทธภาษิตหรือธรรมะทั้งปวง ที่ประพุทธเจ้าทรงแสดงสอนมีความหมายหลายระดับ ตั้งแต่ระดับตื้นมีคุณในระดับนั้น ถึงระดับลึกซึ้ง เป็นคุณอย่างยิ่ง ยังให้พ้นความพ้นทุกข์ได้เป็นลำดับ ตั้งแต่ทุกข์น้อย ทุกข์ใหญ่ จนถึงความพ้นทุกข์ได้สิ้นเชิงจริง สำคัญที่ผู้มีบุญได้สดับรับฟังแล้ว จะต้องใคร่ครวญพิจารณาอย่างประณีตรอบคอบ ประกอบพร้อมด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา อันเป็นกำลัง 5 ผู้มีธรรมอันเป็นกำลังทั้ง 5 ประการนี้ ย่อมสามารถเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีคุณลักษณะ 3 ประการ คือ ทรงสอนเพื่อให้มีผู้รู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น ทรงสอนมีเหตุที่มีผู้อาจครองตามให้เห็นจริงได้ และทรงสอนเป็นอัศจรรย์ คือ ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์ควรแก่ความปฏิบัติ
ศรัทธา : ความเชื่อ ความเลื่อมใสในธรรมศรัทธา คือ ความเชื่อ ความเลื่อมใสในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
ศรัทธา คือ ความเชื่อมั่นในประพุทธเจ้า ว่าทรงตรัสรู้ คือ ทรงรู้แจ้งในทุกสิ่ง ทรงรู้แจ้งโลก ไม่มีผิดแม้แต่น้อยในสิ่งที่ทรงตรัสรู้ สิ่งใดที่รับสั่ง สิ่งใดทีทรงแสดงสอน สิ่งทั้งปวงนั้นล้วนเป็นสัจจะ ล้วนเป็นความจริง ล้วนเป็นความถูกต้องวิริยะ : ความเพียรบากบั่นในธรรมวิริยะ คือ ความเพียรความบากบั่นในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
วิริยะ คือ ความบากบั่นพากเพียรพยายามศึกษา ใคร่ครวญตรึกตรอง ทำความเข้าใจปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงสอนให้ได้ผลสำเร็จ
สติ : ความระลึกได้ในสิ่งที่ทำ คำที่พูดสติ คือ ความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดแล้วแม้นาน ในธรรม เป็นกำลัง 5 ประการ
สติ คือ ความระลึกได้ถึงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ และความระลึกได้ถึงสิ่งที่ทำ คำที่พูดของตน และของผู้อื่นทั้งนั้น ที่เคยได้พูดได้ทำได้ยินได้ฟังได้รับรู้ อันเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อประกอบความคิดของตนให้เกิดปัญญา หนึ่งในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
สติเปรียบดั่งหางเสือควบคุมเรือชีวิต
ผู้ขยันอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทขยันแล้วก่อให้เกิดความสำเร็จ ความเจริญ และประเภทขยันแล้วก่อให้เกิดความล้มเหลว ความเสื่อม
ผู้ขยันจึงต้องมีสติ สติเป็นตัวสำคัญ ท่านเปรียบสติเป็นหางเสือเรือที่จะควบคุมเรือชีวิตให้ดำเนินไปอย่างสวัสดี แม้จะมีมรสุมชีวิตหนักบ้างเบาบ้างผ่านเข้ามาตามแรงแห่งกรรมของตน
สติเป็นความระลึกได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต
ผู้มีสติ คือ ผู้มีความระลึกได้ถึงเหตุถึงผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ประสบพบผ่าน เกี่ยวกับเรื่องที่ได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็น เกี่ยวกับสิ่งที่ทำคำที่พูดแล้วแม้นานในอดีต มีสติระลึกได้ถึงเหตุถึงผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังประสบพบผ่าน เกี่ยวกับเรื่องราวที่กำลังได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็นเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำคำกำลังพูดในปัจจุบัน มีสติระลึกได้ถึงเหตุถึงผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะต้องประสบพบผ่าน เกี่ยวกับเรื่องที่จะต้องได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็น เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องทำคำที่จะต้องพูดในอนาคต สติเป็นความระลึกได้ทั้งสามกาล
ความมีสติทั้งปวงที่เกิดขึ้น
เป็นเหตุแห่งความรอบคอบ ใคร่ครวญ
ความมีสติระลึกได้ในเหตุในผลในเรื่องทั้งปวง ที่เกิดขึ้น ที่ประสบพบผ่าน และที่พูดที่ทำด้วยตนเอง ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ย่อมเป็นเหตุให้รอบคอบใคร่ครวญก่อนที่จะพูดจะฟังจะทำการทั้งปวง
เพราะสติความระลึกได้ ย่อมจักทำให้ระลึกได้ว่า การพูดการทำสิ่งใดเป็นคุณหรือเป็นโทษอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการพูดการทำของตนเอง หรือการพูดการทำของผู้อื่นใดที่ตนประสบพบผ่านก็ตาม
ความมีสติระลึกได้ จะทำให้เว้นจากการพูดการทำสิ่งที่เป็นโทษ จะพูดจะทำแต่สิ่งที่เป็นคุณ เป็นการไม่ทำให้ความไม่ดีเกิดซ้ำรอย เป็นการทำให้ความดีเกิดเนือง ๆ
ความมีสติระลึกได้จะทำให้เว้นการการพูดการทำสิ่งที่เป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ จะพูดจะทำแต่สิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ สติความระลึกได้เช่นนี้มีคุณนัก เปรียบได้ทั้งหางเสือเรือคอยบังคับเรือชีวิตให้สวัสดี และเป็นได้ทั้งครูผู้อบรมสั่งสอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักพาล รู้จักบัณฑิต คือ รู้จักคนชั่วคนดี
คนมีสติ ทำให้มีธรรมของคนดีบริบูรณ์
สติความระลึกได้จักยังสัปปุริสธรรม ธรรมของคนดีให้มีบริบูรณ์ทั้งความรู้จักเหตุ ความรู้จักผล ความรู้จักตน ความรู้จักประมาณ ความรู้จักกาล ความรู้จักประชุมชน ความรู้จักบุคคล ความมีสติระลึกอยู่ในเหตุผลทุกกาลเวลา ทั้งเหตุทั้งผลในอดีต ในปัจจุบัน และในอนาคต คือ ความมีสัปปุริสธรรม ธรรมของคนดี จักเป็นเหตุให้มีการงานสะอาด เพราะผู้มีสตินั้น ก่อนจะทำการใด จักใคร่ครวญด้วยดี เว้นการเป็นโทษ ทำแต่การเป็นคุณ และมีสติเตือนตนอยู่เสมอให้สำรวมทั้งกายวาจาใจในความดีงาม ความสงบเรียบร้อย และถูกต้อง จึงอาจกล่าวได้ว่า ความมีสติจะทำให้เป็นผู้อยู่ในธรรม ไม่อยู่ในความประมาทอันเป็นทางแห่งความตาย
สมาธิ : ความตั้งจิตมั่นสมาธิ คือ ความตั้งจิตมั่น ในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
สมาธิ คือ ความสำรวมใจมั่นคงในศรัทธา ในวิริยะ ในสติ คือ มีใจเชื่อมั่นคงจริงในพระพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้จริงแล้ว มีใจตั้งมั่นจริงที่จะพากเพียรศึกษา ปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีใจมั่นแน่วแน่สำรวมสติรู้สึกตัวอยู่เสมอ ในการคิดในการพูดในการทำ รวมทั้งในการดูในการฟังเพื่อสามารถระลึกได้ทุกเวลา ถึงสิ่งที่ทำคำที่พูดแล้ว...แม้นาน ทั้งของตน ทั้งของผู้อื่น พร้อมระลึกได้ถึงเหตุถึงผลของการพูดกรทำนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระลึกได้ทุกเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ อันจักนำมาซึ่งปัญยานั่นเอง
ปัญญา : ความรอบรู้ปัญญา คือ ความรอบรู้ ความฉลาดเกิดแต่เรียนและคิดในธรรมเป็นกำลัง 5 ประการ
ปัญญา คือ ความคิดใคร่ครวญข้อธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสอนเป็นการใช้ปัญญาพิจารณาพระปัญญาของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดปัญญาเป็นความรู้ความเข้าใจจริงของตน มิใช่เป็นพระปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ตนจดจำไว้
ผู้ใดเพียงรับฟังมาและจดจำไว้ ซึ่งความรู้จริงของผู้อื่น แต่มิได้รู้จริงด้วยในเรื่องใด ผู้นั้นยังไม่มีปัญญาในเรื่องนั้น
http://larndham.net/index.php?showtopic=24135