ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: เศรษฐีตระหนี่ ทำบุญแล้วเสียดายทรัพย์  (อ่าน 973 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29288
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



เศรษฐีตระหนี่ ทำบุญแล้วเสียดายทรัพย์
โดย ส.เขมรังสี (หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรํสี – เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)

บางคนเกิดมาร่ำรวยก็จริง แต่ไม่ได้ใช้ทรัพย์เหล่านั้นอย่างมีความสุข เป็นเศรษฐีแต่ไม่มีความสุขในทรัพย์ ไม่ได้กินได้ใช้อย่างมีความสุข ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเป็นการให้แล้วเกิดความหวงภายหลัง ให้ไม่เด็ดขาด เกิดความตระหนี่ขึ้นมา เลยเกิดมามีทรัพย์ แต่ได้กินได้ใช้ในสิ่งที่ดี ๆ เศรษฐีตระหนี่

ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าประทับ ณ วัดเชตวัน มีเศรษฐีท่านหนึ่งอยู่ที่เมืองสาวัตถี ชื่อ อปุตตกเศรษฐี (เศรษฐีที่ไม่มีบุตร) เขามีทรัพย์มาก แต่จะไม่กินอาหารดี ๆ คนนำอาหารดี ๆ ใส่ถาดทองคำมาให้ก็จะไล่ตะเพิดทันที ขว้างปาด้วยก้อนดิน ท่อนไม้ หาว่ามาเยาะเย้ย บางทีบริวารก็นำสิ่งของเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มดี ๆ มาให้ อปุตตกเศรษฐีก็จะตะเพิดไปหมด

เขาจะบริโภคแต่ปลายข้าวกับน้ำผักดอง เป็นเศรษฐี ทรัพย์มีมาก แต่ไม่ได้กินอาหารดี ๆ สวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ นุ่งแต่ผ้าป่าน ร่วมดี ๆ มีคนนำมาให้ใช้ก็ไม่ใช้ ใช้แต่ร่มใบไม้ ยานพาหนะดี ๆ ก็ไม่ใช้ ใช้รถเก่า ๆ เรียกว่ามีชีวิตอยู่เหมือนคนแร้นแค้น กระทั่งสิ้นชีวิตลง บุตรก็ไม่มี ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มีอยู่จึงต้องขนเข้าท้องพระคลังหลวง ใช้เวลาขนอยู่นานถึง 7 วันกว่าจะหมด


@@@@@@

พระเจ้าปเสนทิโกศล พระราชา เสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเชตะวัน แล้วกราบทูลเล่าเรื่องอุปตตกเศรษฐีให้พระพุทธองค์ฟังพร้อมกับถามว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า

“จริงอย่างนั้นแหละมหาบพิตร ชื่อว่าบุคคลที่มีปัญญาทราม ได้โภคะทั้งหลายแล้วย่อมไม่แสวงหานิพพาน อนึ่งตัณหาซึ่งเกิดขึ้นเพราะอาศัยโภคะทั้งหลาย ย่อมฆ่าคนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน” แล้วพระองค์ได้ตรัสเป็นคาถาว่า หนนฺติ โภคาทุมฺเมธํโน จ ปารคเวสิโน โภคะทั้งหลายย่อมฆ่าคนทรามปัญญา แต่ไม่ฆ่าคนผู้แสวงหาฝั่ง โดยปกติคนทรามปัญญาย่อมฆ่าตนเหมือนฆ่าผู้อื่น เพราะความทะยานอยากในโภคะ เศรษฐีนั้นเป็นผู้ทรามปัญญา ตรัสอย่างนี้แล้วพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ได้กราบทูลถามต่อว่า แล้วทำไมเศรษฐีมีทรัพย์แต่ไม่ได้ใช้บริโภคอย่างมีความสุข พระพุทธเจ้าตรัสว่า “นี่เป็นเพราะบุพกรรมของเขา กรรมเก่าที่เขาทำไว้”

@@@@@@

เนื่องจากพระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงทราบหมดว่าวิบากกรรมแบบนี้เกิดจากกรรมชนิดไหน เคยทำไว้ในชาติใด พระพุทธองค์จึงได้ตรัสเล่าประวัติในอดีตชาติของอุปตตกเศรษฐีให้ฟังว่า

ในอดีตชาติหนึ่งของอปุตตกเศรษฐี ก็เป็นคนที่เคยบริจาคทรัพย์แด่พระปัจเจกพุทธเจ้า คือครั้งหนึ่งเมื่อเขาได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงนิมนต์ให้มารับอาหารในบ้านของตน โดยบอกภรรยาให้จัดอาหารมาถวาย แล้วตัวเองก็ออกไปนอกบ้าน ภรรยาก็ดีอกดีใจ เพราะว่าตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมานาน สามีไม่เคยทำบุญทำทานเลย ทั้ง ๆ ที่มีทรัพย์ พอมาอนุญาตให้ทำบุญก็ดีใจ เพราะตนเองมีศรัทธาเลื่อมใสต่อการบำเพ็ญทานอยู่แล้ว จึงได้รับบาตรจากพระปัจเจกพุทธเจ้ามาคดอาหารใส่อย่างประณีต จัดอาหารอย่างดีมาถวายจนเต็มบาตร

ขณะนั้นเศรษฐีผู้เป็นสามีก็กลับมา แล้วถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า ท่านได้รับอาหารเรียบร้อยแล้วหรือ พอเห็นในบาตรมีอาหารอันประณีตเต็มบาตรก็รู้สึกร้อนใจ รู้สึกเสียดาย จึงบ่นว่าภรรยาไม่น่าจะต้องทำให้ถึงขนาดนี้ อาหารประณีตอย่างนี้ถ้าจะให้ก็ให้กับคนงาน คนรับใช้ของเรายังดีกว่า เพราะเขาทำงานให้ ส่วนพระรูปนี้เอาไปฉัน แล้วท่านก็นอน อปุตตกเศรษฐีมีความคิดอย่างนั้น ความที่รู้สึกไม่ได้ยินดีหรือว่าไม่ปลื้มใจในทานของตัวเอง เห็นว่าให้มากไป ความรู้สึกไม่พอใจนี้เองคือเหตุ

@@@@@@

ในชาตินั้นเศรษฐีผู้นี้ยังได้ฆ่าลูกของพี่ชาย เนื่องจากเด็กจะชอบเดินตามเศรษฐีผู้นี้ไปไหนมาไหนอยู่เรื่อย แล้วมักจะพูดว่า ยานพาหนะนี่เป็นของบิดา ส่วนทรัพย์นั้นเป็นของท่าน เศรษฐีฟังเด็กพูดอย่างนั้นก็นึกกลัว ระแวงว่า ขนาดเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ยังพูดแบบนี้ ถ้าโตขึ้นมาจะไม่เอาทรัพย์ของเราเชียวหรือ แล้วใครจะป้องกันทรัพย์ของเราได้ จึงลวงเด็กเข้าไปในป่า แล้วบิดคอฆ่าทิ้งหมกไว้ ความหวงทำให้คนเราทำบาป

เมื่อเศรษฐีตายจากชาตินั้นไป ก็ต้องตกอยู่ในนรกเป็นแสนปีที่ได้ไปฆ่าเด็ก แล้วถึงได้ไปอยู่บนสวรรค์ 7 ชาติ เกิดเป็นมนุษย์เป็นเศรษฐีอีก 7 ชาติ ในชาติปัจจุบันที่มาเกิดในเมืองสาวัตถีก็มีทรัพย์มาก แต่ก็ไม่ได้กิน ไม่ได้ใช้ทรัพย์ที่มีมากมาย แม้มีอาหารดี ๆ ก็ไม่อยากกิน กินแต่ข้าวปลายเกวียนกับน้ำผักดองเท่านั้น ด้วยอำนาจที่เคยได้ถวายทานพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้แล้วเกิดเสียดาย ไม่พอใจ ไม่ยินดีในภายหลังนั่นเอง

@@@@@@

ครั้นพอเศรษฐีสิ้นชีวิตลง พระพุทธเจ้าตรัสว่า ขณะนี้ก็กำลังไปเสวยผลกรรมอยู่ในมหาโรรุวนรกอีก ฉะนั้น โภคะทั้งหลายย่อมฆ่าคนทรามปัญญา คนที่ไม่มีปัญญาแต่มีทรัพย์ ทรัพย์นั้นก็กลับเป็นพิษกับตัวเอง ไม่ได้เอาทรัพย์ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ คนมีปัญญาเท่านั้นจึงจะรู้จักนำทรัพย์ไปใช้ให้ได้ประโยชน์ อย่างน้อยก็ได้กินได้ใช้ สมค่ากับทรัพย์ที่มี แล้วยังแบ่งทรัพย์ส่วนหนึ่งทำบุญทำกุศล ทรัพย์เหล่านั้นจึงจะเป็นประโยชน์ต่อตนเอง แต่ถ้าขาดปัญญา มีทรัพย์แล้วหวงแหน แถมหวงด้วยอำนาจความตระหนี่ ด้วยความทะยานอยาก เลยไปทำร้ายชีวิตผู้อื่นด้วย เพราะกลัวเขาจะมาแย่งทรัพย์ของตน ฉะนั้น การฆ่าตนเองก็เหมือนกับการฆ่าผู้อื่น เพราะกรรมเหล่านั้นจะตกมาที่ตนเอง

ดังนั้น หากเราเห็นใครที่มีทรัพย์มาก แต่ทำไมกินอยู่อย่างอัตคัด ของดี ๆ ไม่กิน เสื้อผ้าดี ๆ ไม่ใช้ ไม่ได้รับความสุขอย่างเต็มที่ ก็คงเกิดจากทำนองเดียวกันกับเรื่องที่เล่าให้ฟังในสมัยพุทธกาล คือให้ทานแล้วจิตยังไม่ได้สละอย่างแท้จริง ยังเสียดาย ยังไปหวง ถึงมีทรัพย์แต่ก็ไม่ได้ใช้ทรัพย์นั้นอย่างมีความสุข

 

ที่มา : ตื่น รู้ เบิกบาน โดย ส.เขมรังสี สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ
Image by Bruno Glätsch from Pixabay
Secret Magazine (Thailand) ,IG @Secretmagazine
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/dhamma/156245.html
By ying ,24 May 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ