ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: วังคีสะ หมอดูผู้พยากรณ์ชาติหน้า ของคนตายด้วยหัวกะโหลก  (อ่าน 1181 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



วังคีสะ หมอดูผู้พยากรณ์ชาติหน้า ของคนตายด้วยหัวกะโหลก

สมัยพุทธกาลมีหมอดูที่มีวิธีการทำนายที่ประหลาดมาก เขาจะพยากรณ์ว่าคนตายไปเกิดเป็นอะไรอยู่ที่ไหนด้วยหัวกะโหลกของคนตายคนนั้น  หมอดูคนนี้มีชื่อว่า ” วังคีสะ ” เขาเกิดในตระกูลพราหมณ์ ศึกษาพระเวทจนแตกฉาน นับว่าเป็นคนหนึ่งที่เก่งมากเลยทีเดียว

แต่ด้วยความชอบศึกษาเรื่องอาถรรพ์ จึงเชี่ยวชาญในการพยากรณ์คนตายว่าตายแล้วไปเกิดเป็นอะไรเพียงแค่ใช้นิ้วเคาะลงที่กะโหลกเท่านั้น เขายึดวิชานี้หาเลี้ยงชีพจนร่ำรวย สามารถตั้งเป็นกลุ่มช่วยกันทำงานตระเวณไปตามเมืองต่าง ๆ ในชมพูทวีป

ใครๆ ก็สนใจเพราะเป็นศาสตร์พยากรณ์ที่แปลก แล้วแถมยังได้รู้อีกว่าคนที่ตนเองรัก ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ตอนนี้ไปเกิดอยู่ที่ไหน


@@@@@@

วันหนึ่งกลุ่มของวังคีสะเดินทางมาถึงกรุงสาวัตถี แล้วพักอยู่ในบริเวณที่ไม่ไกลจากพระเชตวันวิหาร ซึ่งเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้ามากนัก กลุ่มของวังคีสะแปลกใจที่เห็นชาวบ้านถือถาดดอกไม้ และข้าวของเดินทางผ่านกลุ่มตนไป จึงตะโกนถามชาวบ้านไปว่า

“พวกท่านกำลังจะไปที่ใดกัน”

ชาวบ้านตอบกลับว่า
“เรากำลังไปฟังเทศน์ที่พระเชตวันวิหาร”

@@@@@@

กลุ่มของวังคีสะจึงชักชวนว่า “นำเครื่องสักการะเหล่านั้นมาให้ท่านวังคีสะเสียดีกว่า ท่านเป็นผู้ที่สามารถพยากรณ์ได้ว่า คนตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร แล้วไปเกิดอยู่ที่ไหน”

ชาวบ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“ไม่มีผู้ใดรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าของเราได้หรอก”

ทันใดนั้นจึงเกิดการตอบโต้จนกลายเป็นการวิวาทอย่างไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะยอมเลิกรา กลุ่มของวังคีสะก็อยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงรู้แจ้งถึงเรื่องการเกิดของคนตายอย่างวังคีสะหรือไม่ จึงรีบพากันไปพระเชตวันวิหาร



พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบด้วยญาณถึงการมาเยือนของกลุ่มวังคีสะ ผู้พยากรณ์เรื่องชาติหน้าด้วยหัวกะโหลกของคนตาย จึงทรงโปรดให้นำหัวกระโหลกของคนตายมา  5 กระโหลกด้วยกัน

เมื่อวังคีสะมาถึงที่ประทับของพระพุทธองค์ ก็พบว่าเบื้องหน้ามีกะโหลกคนตายจัดวางไว้อยู่แล้วถึง 5 กะโหลก พระพุทธองค์ทรงวานให้วังคีสะพยากรณ์ผู้ล่วงลับเจ้าของกะโหลกเหล่านี้ว่า เวลานี้เขาไปเกิดเป็นอะไรและอยู่ที่ใดกันบ้าง

วังคีสะไม่รอช้า เริ่มเคาะกะโหลกแรกทันที ก็พยากรณ์ถูกจนกระทั่งมาถึงหัวกะโหลกอันสุดท้าย ปรากฏว่าเขากลับไม่สามารถพยากรณ์ได้ จึงสร้างความสงสัยให้กับวังคีสะเป็นอย่างมาก

@@@@@@

พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “หัวกะโหลกอันที่ 5 นี้ เจ้าของไปเกิดเป็นอะไร แล้วอยู่ที่ใดในตอนนี้”
“ข้าพเจ้าไม่รู้” วังคีสะตอบ
“เราตถาคตรู้ “
“พระองค์ทรงทราบวิธีพยากรณ์ที่สูงกว่าข้าพเจ้าเช่นนั้นหรือ”
“ใช่”

วังคีสะทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงสอนศาสตร์การพยากรณ์หัวกะโหลกชั้นสูงให้ตน แต่พระพุทธเจ้าทรงมีข้อแม้ว่า วังคีสะต้องบวชเป็นพระภิกษุในสำนักของพระองค์ วังคีสะหลงคิดว่าหากตนได้ครอบครองศาสตร์ชั้นสูงนี้แล้วจะทำให้ตนมีแต่ความมั่งคั่งเป็นทวีคูณ และเหนือกว่าผู้ใดในปฐพี


@@@@@@

เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนพระวังคีสะด้วยพระกรรมฐาน มี อาการ 32 เป็นอารมณ์ ไม่นานนัก สิ่งที่พระวังคีสะได้รับกลับไม่ใช่ศาสตร์พยากรณ์กระโหลกคนตายชั้นยอด แต่กลับเป็นการบรรลุอรหัตตผลแทน

เรื่องของพระวังคีสเถระ อดีตหมอดูหัวกะโหลกคนตาย สะท้อนให้เห็นว่าในสังคมอินเดียโบราณที่ร่วมสมัยกับพระพุทธศาสนา มีความเชื่อเรื่องชาติหน้าเหมือนพระพุทธศาสนา สังเกตจากศาสตร์การพยากรณ์ของวังคีสะ ที่สามารถทำนายชาติหน้าของคนตายได้



ส่วนกระโหลกอันที่ 5 ที่วังคีสะทำนายไม่ได้นั้น เป็นหัวกะโหลกของพระอรหันต์ ทำไมศาสตร์พยากรณ์ของวังคีสะไม่สามารถทำนายกะโหลกอันนี้ได้ เป็นเพราะเจ้าของกะโหลกนี้ได้เข้าสู่พระนิพพานไปแล้ว โดยเป็นสภาวะที่ไร้ตัวตน ไม่เหลือดวงจิตให้วังคีสะล่วงรู้ถึงชาติถัดไปของผู้ตายได้อีก

ส่วนการที่ชาวบ้าน หรือพุทธศาสนิกชน กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าของเราได้หรอก” อันนี้สะท้อนให้เห็น ซึ่งก็เป็นตามจริงเพราะมีปรากฏตามคัมภีร์พระพุทธศาสนาอยู่หลายครั้งว่า พระพุทธเจ้าล่วงรู้เรื่องชาติหน้าของสัตว์โลกได้อย่างแม่นยำ


@@@@@@

ครั้งหนึ่งพระอานนท์เคยทูลถามพระพุทธเจ้าถึงชาติหน้าของพุทธบริษัท 4 ท่านว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สาฬหเถระ นันทาเถรี สุทัตตอุบาสก และสุชาดาอุบาสิกาได้ล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้ว ตอนนี้พวกเขาไปเกิดเป็นอะไรและอยู่ที่ใด”

พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า “เดี๋ยวก่อนอานนท์ สาฬหเถระ ได้ทำให้ตนแจ้งด้วย เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ ทำให้ไร้ซึ่งอาสวกิเลส เพราะการสิ้นไปแห่งกิเลสด้วยปัญญาในปัจจุบัน (ขณะ) จึงเข้าถึงอยู่ (นิพพาน)

นันทาเถรี เมื่อมรณภาพแล้วเกิดเป็นอุปปาติกะ (เกิดเองโดยปราศจากพ่อแม่ เป็นเทวดา พรหม นาคและครุฑบางจำพวก) แล้วจะนิพพานในภพนั้น (แสดงว่านันทาเถรีเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส เพราะเป็นที่สถิตของพระอนาคามี เมื่อสิ้นอายุขัยก็เข้าสู่พระนิพพานทันที)

สุทัตตอุบาสก สำเร็จเป็นพระสกทาคามี เพราะละสังโยชน์ 3 มีกิเลส 3 เบาบาง ต้องกลับมาเกิดบนโลกอีกครั้งจึงจะพบพระนิพพาน ส่วนสุชาดาอุบาสิกา สำเร็จเป็นพระโสดาบัน เพราะละสังโยชน์ 3 (เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติจึงเข้าพระนิพพาน)”

@@@@@@

การทูลถามของพระอานนท์เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน คิญชกาวสถสูตร สังเกตว่า การจากไปของพุทธบริษัททั้ง 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ต่างสำเร็จในขั้นของพระอริยบุคคลทั้ง 4 คือ พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกคามี และพระโสดาบัน

แม้แต่พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเข้าเฝ้าเพื่อทูลถามว่า พระนางมัลลิกาเทวี พระมเหสีผู้เป็นที่รัก ไปเกิดอยู่ที่ใดเช่นกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงล่วงรู้ความเป็นไปของสัตว์โลกอย่างแท้จริง


ที่มา : อรรถกถานิโครธกัปปสูตร , คิญชกาวสถสูตร
ภาพ  : https://pixabay.com
ขอบคุณ : https://goodlifeupdate.com/healthy-mind/157259.html
By nintara1991 ,1 June 2019
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ